คุกโชกุน4พันปี


เพิ่มเพื่อน    

    ศาลสั่งจำคุก 4,355 ปี “ซินแสโชกุน”  ตุ๋นประชาชนเที่ยวญี่ปุ่นลอยแพคาสนามบิน พ่วงลูกน้องคนสนิท 2 ราย แต่ติดจริงตามกฎหมายคนละ 20 ปี ปรับบริษัท เวลท์เอเวอร์ฯ กว่า 435 ล้าน พร้อมสั่งชดใช้ผู้เสียหายกว่า 51 ล้านบาท ยกฟ้อง 6 คนรวมทั้งแม่ ป้า   
    เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 12 กันยายน ที่ห้องพิจารณาคดี 906 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.2176/2560 ที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท เวลท์เอเวอร์ จำกัด จำเลยที่ 1, น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือซินแสโชกุน อายุ 30 ปี กรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ที่ 2, นางมณฑญาณ์ นิรันดร หรือจันทร์ฉาย นาคฤทธิ์ อายุ 55 ปี มารดาของซินแสโชกุน ที่ 3, นายก้องศรัณย์ แสงประภา อายุ 22 ปี ลูกพี่ลูกน้องของซินแสโชกุน ที่ 4, น.ส.ทัศย์ดาว สมัครกสิกรรณ์ อายุ 35 ปี เลขานุการและคนรักของซินแสโชกุน ที่ 5, นางประนอม พลานุสนธิ์ อายุ 40 ปี รองประธานบริษัท ที่ 6,  นางณิชมน แสงประภา อายุ 64 ปี ป้าของซินแสโชกุน และเป็นมารดาของนายก้องศรัณย์ ที่ 7, นางพารินธรญ์ หงส์หิรัญ ดัคกอร์ อายุ 35 ปี ผู้ดูแลการเงินและผู้ช่วยการโฆษณาของบริษัท ที่ 8, น.ส.สุดารัตน์ อเนกนวล อายุ 25 ปี ผู้ดูแลการขาย ที่ 9 และนายโกวิท ช่วยสัตว์ อายุ 30 ปี คนรักของ น.ส.สุดารัตน์ ที่ 10 เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 3, 4, 12
     นอกจากนี้ ยังฟ้องจำเลยที่ 2-10 ในความผิดฐานร่วมกันนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลนั้นเป็นเท็จน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 3, 14 (1) และเป็นซ่องโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210
     ขณะที่ บจก.เวลท์เอเวอร์ และ น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 1-2 ยังถูกฟ้องอีกในข้อหาร่วมกันจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ควบคุมฉลาก โดยแสดงฉลากไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 4, 6 (10), 51 และยังฟ้อง น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานซื้อหรือรับไว้ของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรฯ ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิ ด้วย 
    ท้ายฟ้อง อัยการยังขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 51 ล้านบาทเศษ คืนให้กับผู้เสียหาย 871 คน พร้อมดอกเบี้ยที่ผิดนัดชำระร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องคดีวันที่ 6 ก.ค.2560 หลังจากที่จำเลยชักชวนให้ผู้เสียหายเข้าเป็นสมาชิกของบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ระหว่างเดือน ม.ค.-เม.ย.2560 โดยอ้างว่าจะมีสิทธิได้เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศแถบเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง แต่มีผู้เสียหายหลายร้อยรายไม่ได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นตามที่จำเลยโฆษณา เนื่องจากไม่มีสายการบินเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นตามวันเวลาที่จำเลยกล่าวอ้าง จึงติดค้างอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
     คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปได้ว่า เมื่อระหว่างวันที่ 25 ม.ค.-11 เม.ย.2560 น.ส.พิสิษฐ์ หรือซินแสโชกุน  จำเลยที่ 2 ได้มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริม MASTERMIND ชนิดแคปซูล รวม 425 กระปุก กับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม GENESIS รวม 50 กระป๋อง รวมทั้งอาหารเสริม SMART KIDS รวม 31 กระป๋อง ซึ่งจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีแหล่งผลิตในต่างประเทศ โดยมีผู้อื่นนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังไม่ได้เสียภาษี หรือผ่านศุลกากรให้ถูกต้อง รวมมูลค่าสินค้าและอากรที่ต้องจ่าย 945,131 บาท
     แล้วจำเลยที่ 2-10 ได้สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป กระทำผิดเป็นซ่องโจร ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน แสดงข้อความอันเป็นเท็จ โฆษณาชักชวนประชาชนทั่วไปผ่านเพจเฟซบุ๊ก "WealthEver For Life" เว็บไซต์ยูทูบและแอปพลิเคชันไลน์กลุ่ม เชิญชวนให้ประชาชนสมัครเข้าเป็นสมาชิกและร่วมลงทุนกับพวกจำเลย จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมของบริษัท ALLYSIAN (แอลลี่เชี่ยน) ซึ่งเป็นบริษัทในต่างประเทศ รวมทั้งจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนสูง และมีการจัดโปรแกรมท่องเที่ยวให้สมาชิกเดินทางไปเมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 10 -15 เม.ย.2560 และ 11-16 เม.ย.2560 โดยเครื่องบิน Airbus A330-300 ขนาด 377 ที่นั่ง ของสายการบินคาร์เธ่ย์แปซิฟิก รวม 6 ลำ จนมีประชาชน 871 ราย หลงเชื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิกและร่วมลงทุนทำธุรกิจกับบริษัทจำเลยที่ 1 กับพวกได้รับความเสียหายจำนวนมาก เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธทั้งชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา
     ระหว่างนี้ จำเลยที่ 2-10 ไม่ได้รับการประกันตัว ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง วันนี้ศาลเบิกตัวจำเลยที่ 2-10 มาฟังคำพิพากษา โดยในห้องพิจารณาวันนี้มีทั้งญาติของจำเลยเดินทางมาให้กำลังใจ และผู้เสียหายส่วนหนึ่งเดินทางมาติดตามผลการพิพากษาเต็มห้องพิจารณาคดีกว่า 20 คน
     ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่อัยการโจทก์และจำเลยทั้ง 10 นำสืบหักล้างกันแล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัย ข้อที่ 1 ว่า น.ส.พสิษฐ์ หรือซินแสโชกุน จำเลยที่ 2 กระทำการซื้อหรือรับสินค้าที่นำเข้ามาโดยยังไม่ได้เสียภาษี หรือผ่านขั้นตอนศุลกากรโดยถูกต้องหรือไม่ ศาลเห็นว่า หลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักพอรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้นำเข้าหรือรู้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นนำเข้ามาโดยไม่เสียภาษี จึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร
     ข้อที่ 2 บจก.เวลท์เอเวอร์ และ น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ควบคุมฉลากโดยแสดงฉลากไม่ถูกต้องหรือไม่ ศาลเห็นว่าแม้จำเลยที่ 2 ซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมมาจำหน่ายตามปกติ แต่ผลิตภัณฑ์นั้นมีข้อความบนฉลากเป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีภาษาไทย ไม่มีเลขสารบบอาหาร ซึ่งตรงกับคำเบิกความของพยานเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตรวจสอบแล้วพบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ที่จำเลยต่อสู้ว่าผลิตภัณฑ์มีการรับรองจากต่างประเทศแล้ว สามารถนำมาจำหน่ายได้ เป็นข้อต่อสู้ที่ปราศจากเหตุผลและง่ายต่อการกล่าวอ้าง จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบในส่วนนี้มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1-2 ได้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.อาหาร
     ข้อที่ 3 จำเลยที่ 1-10 กระทำผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยจำเลยที่ 2-10 ร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือไม่ เห็นว่าตามทางนำสืบของโจทก์มีตำรวจ ปอท., ปคบ. และกองปราบปราม คณะพนักงานสอบสวนตามคำสั่งของ บช.ก. พนักงาน บจก.เวลท์เอเวอร์ บางราย และกลุ่มผู้เสียหาย เบิกความเป็นพยานเชื่อมโยงสอดคล้องกันถึงพฤติการณ์ว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น ได้ชักชวนกลุ่มผู้เสียหายมาสมัครสมาชิกและซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โดยจะให้สมาชิกลงทุนครั้งแรกคนละ 9,730 บาท แล้วจะได้ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น จึงทำให้กลุ่มผู้เสียหายส่วนใหญ่ที่ถูกชักชวนได้ตัดสินใจร่วมลงทุนเป็นสมาชิก เพราะอยากไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น แต่ผู้เสียหายในคดีนี้ 871 ราย ก็ไม่ได้เดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากไม่มีตั๋วเครื่องบิน ไม่มีการการจองห้องที่พักในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 2 นั้น ทำให้เกิดความเสียหายกว่า 51 ล้านบาท 
    ส่วน น.ส.ทัศย์ดาว เลขานุการและคนรักของซินแสโชกุน จำเลยที่ 5, นางพารินธรญ์ ผู้ดูแลการเงินและผู้ช่วยการโฆษณาของบริษัท จำเลยที่ 8 และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทนิติบุคคล รับฟังได้ปราศจากข้อสงสัยว่าร่วมกันกระทำผิดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน, ประมวลกฎหมายอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน มาตรา 343 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
     สำหรับนางมณฑญาณ์ จำเลยที่ 3 นายก้องศรัณย์ จำเลยที่ 4 นางประนอม จำเลยที่ 6 นางณิชมน จำเลยที่ 7  น.ส.สุดารัตน์ จำเลยที่ 9  และนายโกวิท จำเลยที่ 10  พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา ยังมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยร่วมกระทำความผิด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227
     ข้อที่ 4 จำเลยที่ 2-10 กระทำความผิดฐานซ่องโจรหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานซ่องโจร มาตรา 210 ต้องสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เมื่อศาลวินิจฉัยความผิดแล้วว่าการกระทำของจำเลยเป็นการร่วมกันของจำเลยที่ 2, 5, 8 ซึ่งกระทำผิดเพียง 3 คน จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดในฐานนี้ ดังนั้นจำเลยที่ 2-10 จึงไม่มีความผิดฐานซ่องโจร
     พิพากษาว่า การกระทำของ บจก.เวลท์เอเวอร์ จำเลยที่ 1, น.ส.พสิษฐ์ จำเลยที่ 2, น.ส.ทัศย์ดาว จำเลยที่ 5 และนางพารินธรญ์ จำเลยที่ 8 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม พ.ร.ก.กู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน มาตรา 4 วรรค 1, 5, 12 ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) และ พ.ร.บ.อาหาร มาตรา 6 เฉพาะจำเลยที่ 1-2 ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นความผิดไป ซึ่งการกระทำฐานฉ้อโกงและการนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้น ให้ลงโทษบทหนักสุดตาม พ.ร.ก.กู้ยืมฯ จำคุกจำเลยที่ 2, 5, 8 คนละ 871 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 4,355 ปี ให้ปรับบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 435,500,000 บาท และให้ปรับจำเลยที่ 1-2 รายละ 20,000 บาท ตามความผิด พ.ร.บ.อาหาร จึงรวมโทษปรับบริษัทจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 435,520,000 บาท ส่วนโทษจำคุกจำเลยที่ 2, 5, 8 เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 (2) แล้ว ให้จำคุกจำเลยได้สูงสุดคนละ 20 ปี
     ทั้งนี้ ศาลยังพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2, 5, 8 ร่วมกันชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 871 ราย มูลค่ากว่า 51 ล้านบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง 6 ก.ค.2560 เป็นต้นไป ริบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมของกลางจากรถยนต์ของจำเลยที่ 2 และจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับกุมจำเลยที่ 2, 5, 8 ร้อยละ 25 ของค่าปรับจำเลยที่ 1 เมื่อคดีถึงที่สุด ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3, 4, 6, 7, 9, 10
    สำหรับบรรยากาศภายหลังการพิพากษา จำเลยหญิงรายหนึ่งซึ่งถูกพิพากษาจำคุกได้ร่ำไห้สวมกอดกับครอบครัวและญาติที่เดินทางมาให้กำลังใจ ส่วนตัวซินแสโชกุนซึ่งเป็นทอม มีสีหน้าเรียบเฉย โดยหลังจากนี้จำเลยที่ศาลยกฟ้องจะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลางต่อไป เนื่องจากศาลไม่ได้สั่งขังระหว่างอุทธรณ์.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"