ลูก้า โมดริช คว้ารางวัลนักฟุตบอลชายยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า ไปครองจากผลงานในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เอาชนะคู่แข่งได้อย่างราบคาบ ไมว่าจะเป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ ลิโอเนล เมสซี่ รวมถึง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ 
        โมดริช มิดฟิลด์ชาวโครแอต วัย 33 ได้รางวัลนี้อย่างไร้ข้อโต้แย้งจากผลงานในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเขามีส่วนสำคัญต่อการที่ เรอัล มาดริด สโมสรต้นสังกัด คว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก ติดต่อกันเป็นสมัยที่สามได้ จากนั้นก็ยังนำทีม"ตราหมากรุก"โครเอเชีย ทะลุเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศ ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เวิลด์คัพ
         ในการขึ้นรับรางวัล อดีตเพลย์เมกเกอร์สเปอร์ส ยังได้กล่าวขอบคุณเพื่อนร่วมทีมเป็นภาษาอังกฤษ, สเปน และ โครเอเชีย โดยบอกว่าเขารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลนี้ต่อหน้า ซโวนิเมียร์ โบบัน เลขาฟีฟ่า และสตาร์ทีมชาติโครเอเชีย ในฟุตบอลโลก ปี 1998
        โมดริช ยังกลายเป็นคนแรก ที่สามารถขึ้นมาผงาดคว้ารางวัลนี้ ที่มี เมสซี่ กับ โรนัลโด้ ผลัดกันครองมาในรอบ 10 ปีหลังสุด และ รางวัลนี้ ก็ตามหลังจากที่เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนท์ ใน รัสเซีย 2018 และรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า เมื่อเดือนที่แล้ว
        ส่วนนักฟุตบอลหญิงยอดเยี่ยมแห่งปีตกเป็นของ มาร์ต้า นักเตะบราซิเลี่ยน วัย 32 ที่ได้รางวัลนี้เป็นครั้งที่ 6 เวลานี้เธอเล่นให้กับ ออร์ลันโด ในสหรัฐ โดยซัดไปแล้ว 110 ประตูให้ บราซิล 
        ส่วนประตูยอดเยี่ยมฟีฟ่า หรือ ปุสกัส อวอร์ด ปีนี้ตกเป็นของ ซาลาห์ สำหรับการทำประตูสุดสวยของเขาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่ดูเหมือนจะมาจากพลังโหวตมากกว่าที่ทำให้ลูกยิงที่ถูกยกให้เป็นยอดเยี่ยมอันดับ 7 ของฤดูกาล เอาชนะ ลูกยิงของ แกเร็ธ เบล จากเรอัล มาดริด ที่ถูกยกให้เป็นลูกยิงที่ดีที่สุดตลอดการลูกหนึ่งในแชมเปี้ยนส์ลีก ที่เกิดขึ้นในเกมกับ ลิเวอร์พูล เมื่อเดือน พ.ค.ได้ แม้แต่เพื่อนๆร่วมทีม อย่างเช่น เจมส์มิลเนอร์ ยังแซวที่ประตูสวยแค่อันดับ 7 ดันไปได้รางวัลปุสกัส อวอร์ด แต่สำหรับบางคน บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ รางวัลนี้ขาดความน่าเชื่อถือไปแล้ว