ลั่นตั้งสนธยาไม่เกี่ยวเป๊าะ ‘แป๊ะ’ฟิตโอ่ดัน‘พัทยาโลก’


เพิ่มเพื่อน    

  “วิษณุ-ไก่อู” ประสานเสียง ตั้ง “สนธยา” ไม่ขัดคุณสมบัติ กรณี “กำนันเป๊าะ” จบไปแล้ว เป็นเรื่องส่วนตัว อัดพวกโจมตีเข้าข่ายกล่าวหา “นายกแป๊ะ”  ฟิตจัดเข้าทำงาน ตั้ง 4 รองนายกฯ แล้ว ลั่นทำพัทยาเป็นเมืองของคนทั้งโลก

    เมื่อวันศุกร์ ยังคงมีผลพวงจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 15/2561 เรื่องการแก้ไขปัญหาระบบบริหารราชการเมืองพัทยา ที่แต่งตั้งนายสนธยา คุณปลื้ม เป็นนายกเมืองพัทยา แทน พล.ต.ต.อนันต์ เจริญชาศรี โดยเฉพาะกรณีนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน  (คปต.) ที่ตั้งข้อสังเกตว่า นายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ บิดานายสนธยา ถูกศาลจังหวัดพัทยาสั่งให้ชดเชยความเสียหายกับเมืองพัทยาจากคดีทุจริตซื้อที่ดินเขาไม้แก้ว
    โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การใช้มาตรา 44 แต่งตั้งนายสนธยา ไม่ใช่เรื่องผิดคุณสมบัติ หรือเข้าข่ายลักษณะต้องห้าม ไม่เช่นนั้นจะตั้งไม่ได้ เช่นเดียวกับข้าราชการการเมือง ส่วนเรื่องการยึดทรัพย์บังคับคดีชำระหนี้ของนายสมชายนั้น ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้าม จึงแต่งตั้งได้ ส่วนที่หลายคนมีการคาดหมายกันว่านายสนธยาจะปฏิบัติหน้าที่โดยบกพร่อง ทุกคนจะจ้องจับผิด ก็ควรจะจับผิดกันต่อไป แต่ปัญหามันไม่เกิดอย่างที่กลัวกัน 
นายวิษณุกล่าวต่อว่า ศาลตัดสินให้นายสมชายชำระหนี้ให้เมืองพัทยามูลค่ากว่าร้อยล้านบาทตั้งแต่ปี 2555 ในสมัยนายอิทธิพล คุณปลื้ม เป็นนายกพัทยา ได้มีการนำกรมบังคับคดีไปยึดทรัพย์เป็นที่ดิน 40 แปลง ซึ่งถ้าขายทอดตลาดตามมูลค่าที่ประเมินจะมากกว่ามูลค่าที่ศาลสั่งให้ชดใช้ ขณะขายไปแล้วบางส่วน และกำลังทยอยขายต่อไป จึงไม่มีเรื่องตกมาถึงนายสนธยา และถ้าขายหมดแล้วได้มูลค่าไม่ถึงตามจำนวนหนี้ ก็เป็นหน้าที่ของเมืองพัทยา ที่ต้องนำยึดทรัพย์บังคับคดีให้ครบถ้วน ซึ่งอายุความบังคับคดี 10 ปี จึงไม่มีปัญหากระทบกระทั่งอะไร
    “เป็นเรื่องความคาดหมายว่าอาจบกพร่อง ซึ่งถ้าบกพร่องจริง ก็เป็นความรับผิดชอบนายกเมืองพัทยาคนนั้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับหัวหน้า คสช.ที่แต่งตั้ง เพราะเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ของคนคนนั้น เหมือนเลือกตั้งหรือแต่งตั้งใครมา ถ้าเขาบกพร่องอะไรก็รับผิดชอบ แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องการขัดคุณสมบัติแล้วไปแต่งตั้ง หัวหน้า คสช.ถึงต้องรับผิดชอบ เพราะถือว่าแต่งตั้งคนขัดคุณสมบัติ แต่เมื่อคุณสมบัติครบแล้วปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีตามที่ควรปฏิบัติ ถือเป็นความรับผิดชอบของนายกเมืองพัทยา อย่างน้อย คสช.ก็มีอำนาจปลด” นายวิษณุกล่าว
    พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเช่นกันว่า รัฐบาลต้องการผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ให้เป็นรูปธรรม ซึ่งเมืองพัทยาและ จ.ชลบุรี เป็นส่วนหนึ่งของอีอีซี จึงได้แต่งตั้งนายสนธยา เนื่องจากเป็นคนในพื้นที่และมีประสบการณ์มาก ยืนยันว่าไม่ใช่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ใดๆ ระหว่าง คสช.กับตระกูลคุณปลื้ม พร้อมทั้งขอให้สังคมเปิดใจกว้าง อย่ามีอคติ เชื่อมโยงให้เกิดความเสียหาย
    พล.ท.สรรเสริญย้ำว่า การแต่งตั้งนายกเมืองพัทยาได้พิจารณาจากคุณสมบัติของนายสนธยาอย่างรอบคอบ โดยนายสนธยามีคุณสมบัติเหมาะสม และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามข้อกำหนดใน พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา ส่วนการที่นายสมชายถูกพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่เมืองพัทยาเป็นเหตุส่วนตัวของนายสมชาย ซึ่งไม่ใช่การกระทำและไม่เกี่ยวข้องกับนายสนธยาแต่อย่างใด
    “การตั้งประเด็นเช่นนี้จึงเป็นการมุ่งโจมตีโดยปราศจากข้อเท็จจริงหรือเหตุผลอันสมควร และอาจเข้าข่ายกล่าวหาหรือใส่ความได้ แทนที่จะให้กำลังใจในการทำงานเพื่อความเจริญของประเทศ ซึ่งพี่น้องประชาชนสามารถติดตามและตรวจสอบการทำงานได้ตลอดเวลา เพราะรัฐบาลคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ โดยมุ่งขจัดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันและผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างเด็ดขาด” พล.ท.สรรเสริญระบุ
       วันเดียวกัน ตั้งแต่ช่วงเช้า นายสนธยาเดินทางมายังที่ทำการศาลาว่าการเมืองพัทยา เพื่อทำพิธีถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก่อนเข้าห้องทำงานพร้อมลงนามแต่งตั้งรองนายกเมืองพัทยา 4 คน ประกอบด้วย นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์, นายพัฒนา บุญสวัสดิ์, นายรณกิจ เอกะสิงห์ และนายบรรลือ กุลละวณิชย์ ขณะเดียวกันก็มีตัวแทนจากภาครัฐ เอกชน และประชาชนจำนวนมากเดินทางมอบดอกไม้แสดงความยินดีกับนายสนธยา
         ต่อมา เวลา 09.30 น. สภาเมืองพัทยาได้เปิดประชุมสมัยสามัญที่ 3 ครั้งที่ 3 ประจำปี 2561 โดยมีนายอนันต์ อังคณาวิศัลย์ ทำหน้าที่เป็นประธาน และมีนายสนธยาพร้อมคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และสมาชิกสภาเมืองพัทยา รวมทั้งประชาชนและสื่อมวลชนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง ซึ่งนายสนธยาแถลงนโยบายต่อที่ประชุมสภาเมืองพัทยาว่า จะผลักดันเมืองพัทยาเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางของอีอีซีอย่างเต็มที่ โดยโจทย์สำคัญคือการดำเนินการแผนของภาครัฐ รวมทั้งการกระจายโอกาสด้านการพัฒนาต่างๆ และการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น 
“เมืองพัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก ที่ไม่ใช่เป็นคนของพัทยาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเมืองของคนทั้งโลก ซึ่งจากนี้จะต้องยกระดับด้านการมีส่วนร่วม ความรู้ ในทุกชนชั้น เชื้อชาติ และยกระดับให้เป็นสากลมากขึ้น”
          ช่วงท้ายการแถลง นายสนธยายังชี้แจงถึงกรณีพาดพิงนายสมชายว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับการมาดำรงตำแหน่งว่า กรณีดังกล่าวถือว่าชัดเจนและจบสิ้นในกระบวนการยุติธรรมไปแล้วในชั้นศาล ตั้งแต่สมัยนายอิทธิพลดำรงตำแหน่งเป็นนายกเมืองพัทยา ปัจจุบันเป็นเรื่องนำสืบเพื่อชดใช้ทรัพย์สินตามคำสั่งที่ส่งให้กรมบังคับคดีไปแล้ว และไม่เกี่ยวกับเมืองพัทยาแต่อย่างใด ดังนั้นในฐานะที่ตนเองมาทำหน้าที่เป็นผู้บริหาร และในฐานะบุตร จึงมาด้วยความบริสุทธิ์ โปร่งใส และตั้งใจ
       “ที่สำคัญมีการนำข้อมูลไปเสนอคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง กรณีที่ใช้คำว่าปลดนายอิทธิพลตาม ม.44 ตั้ง พล.ต.ต.อนันต์แทนนั้น เพราะนายอิทธิพลลงจากตำแหน่งเพราะครบวาระ ถือว่าผิดจากข้อเท็จจริง เรื่องนี้ต้องขอแจ้งว่าการใช้สิทธิ์การให้ข้อมูล ถ้าไปลิดรอนสิทธิ์ของผู้อื่นจนเกิดความเสื่อมเสีย ในฐานะผู้เสียหายก็ต้องรักษาสิทธิ์เช่นกัน ขณะที่ส่วนตัวและทีมงานเน้นการทำงานแบบโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพราะเป็นคนทำงานจริง ในอดีตมีงานที่ทั้งสำเร็จหรือล้มเหลว ซึ่งจะถือว่าเป็นแนวทางของประสบการณ์และบทเรียนสำคัญ เพื่อนำมาทำวันนี้ให้ดีที่สุด และในอนาคตที่ดีกว่าเดิม”นายสนธยากล่าว.


 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"