ว่าด้วยบท 'เห่บ้าน-กล่อมเมือง'


เพิ่มเพื่อน    

    ปัญหา "กวนเมือง" วันนี้........
    ดูให้ดีเถอะ 
    มันไม่ได้มาจากเรื่อง "การเมือง" โดยตรงหรอก!
    การเมืองเรื่อง "เลื่อนเลือกตั้ง" นั่นน่ะ ขี้ผง
    เรื่อง "นาฬิกาเพื่อน"...........
    ที่วนกันใส่บนข้อมือ "พลเอกประวิตร" พี่ใหญ่ของรัฐบาล คสช.นั่นตะหาก
    เรื่องใหญ่!
    ยิ่ง ป.ป.ช.บอก "นาฬิกาเพื่อนไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน" จากเรื่องใหญ่ กลายเป็นเรื่อง "ถึงตายยกแก๊ง" ไปเลย
    จำไม่ได้หรือ "คดีซุกหุ้น" นั่นน่ะ
    ทักษิณอ้าง "บกพร่องโดยสุจริต" ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเชื่อ 
    แต่ประชาชน ไม่เชื่อ! 
    และนั่น เป็นหนามฝังในเนื้อ "กลัดหนอง" ทำเอาสถาบันศาลสะเทือนศรัทธาไปยุคหนึ่ง 
    และตัวคนบกพร่องโดยสุจริต สุดท้าย ก็ต้องตายทางศรัทธาและความเชื่อถือของสังคม
    มาวันนี้ มีคำว่า "นาฬิกาเพื่อนไม่ต้องแจ้ง" เป็นวาทกรรมจากคนกระบวนการตรวจสอบทุจริตที่เรียก ป.ป.ช.ขึ้นอีก
    คำถามที่เกิดในสังคมตอนนี้ ก็คือ
    คำว่า "นาฬิกาเพื่อนไม่ต้องแจ้ง" กับคำว่า "บกพร่องโดยสุจริต" 
    มันต่างกันตรงไหน?
    นายกฯ ประยุทธ์ในฐานะ "องค์รัฏฐาธิปัตย์" ต้องตอบสังคมให้ชัดว่า ที่เข้ามาเพื่อล้างคอร์รัปชันให้ชาติ นั้น
    กรณีบิ๊กป้อม........
    จะยึด "มาตรฐานทักษิณ" โกงแล้วอ้างบกพร่องโดยสุจริต
    หรือจะยึด "มาตรฐาน คสช." แค่สงสัยว่าไม่สุจริตก็ผิดแล้ว?
    เรื่อง "พลเอกประวิตร" องค์รัฏฐาธิปัตย์อ้างว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ด้วยตรรกะนี้ เท่ากับเป็นว่า
    เรื่อง "ทักษิณซุกหุ้น" ก็เป็น "เรื่องส่วนตัว" ด้วยเหมือนกัน!?
    การรบ ถ้าส่งสัญญาณผิด ก็พ่าย 
    การเมืองเหมือนกัน ถ้าผู้นำส่งสัญญาณที่ผิดถึงประชาชน ก็พัง!
    คนกินเงินเดือนภาษีประชาชน เมื่อมีเหตุเข้าข่ายไม่สุจริต จะอ้าง "เป็นเรื่องส่วนตัว" แล้วตวาด
    "คนอื่นอย่าเสือก"!
    แบบนี้ เขาเรียกจนแต้ม แล้วออกลูกนักเลง ท่านว่าเสียบุคลิกผู้ใหญ่ อันวิญญูชนไม่ควรทำอย่างยิ่ง
    ว่ากันที่จริง ตอนนี้ การวางรากฐานสู่เศรษฐกิจ-สังคมใหม่ของประเทศ กำลังเข้ารูป-เข้ารอย
    เรียกว่านายกฯ ประยุทธ์ กำลังไปได้สวย ไปด้วยยุทธศาสตร์ ๔.๐ ว่าด้วยภาค อีอีซี อยู่ทีเดียว
    เรื่อง "นาฬิกาเพื่อน" เข้ามาเป็น "กรรมตัดรอน" จึ๊กเดียว และนายกฯ ประเมินอารมณ์สังคมผิดในการรับมือเท่านั้นแหละ
    "กองหนุน" หาย......
    "กองโจร" พรึ่บทันที!
    เหมือนกรณี "หมอแสง" เทพเจ้าของชนชาวผู้ป่วยโรคมะเร็ง เขาปรุงยาสมุนไพรชนิดหนึ่ง เดิมใช้เป็นหยูกยารักษาโรคชนิดอื่น
    แต่คนเป็นมะเร็ง กินแล้วกลับดีขึ้น 
    คือจากที่ตายแน่ กลับไม่ตาย ที่เริ่มเป็น กลับหาย ที่เป็นระยะปานกลาง กลับทรงตัว และมีพัฒนาการดีขึ้น ไม่ทรุดลง
    ก็เข้าใจว่าคงไม่กับทุกราย แต่ด้วยเปอร์เซ็นต์เฉลี่ย กินแล้ว "เห็นผล" ดีขึ้น มีจำนวนมากกว่า
    คนเป็นหมื่นๆ จึงหลั่งไหลไปรับแจกยาหมอแสง ที่ปราจีนบุรี ตามที่เห็นกัน
    ก็หลายเดือนมาแล้ว ถ้าไม่ได้ผลจริงตามร่ำลือ น่าจะซาลง แต่นี่ยิ่งนาน คนยิ่งยัดทะนานมากขึ้น
    แสดงว่า สมุนไพรสูตรหมอแสง เขา "เจ๋ง" จริง!
    เดือนกุมภาลงชื่อขอรับยาแล้วกว่า ๒ หมื่นราย!
    ก็แน่นอน........
    กรณียากลางบ้านหมอแสง ที่กระทรวงสาธารณสุข "ไม่ยอมรับ" แต่ชาวบ้าน "ยอมรับ" 
    กับยาแผนปัจจุบัน ที่กระทรวงสาธารณสุข "ยอมรับ" แต่ชาวบ้านเชื่อในผลทางรักษาจากยาหมอแสงควบคู่ นั้น
    ย่อมนำไปสู่คำว่า "ผิดกฎหมาย" กับ "ถูกกฎหมาย"
    ประเด็นสำคัญที่เป็นปัญหา อยู่ตรงว่า...........
    ยาหมอแสงที่ผิดกฎหมาย ใช้รักษาแล้ว หายมากกว่า ยาที่ถูกกฎหมาย ซึ่งใช้รักษามาก่อนแล้ว 
    "แต่ไม่หาย"!
    "กระทรวงสาธารณสุข" จะแก้ปัญหานี้ โดยการส่งสัญญาณที่ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งเชิงปฏิปักษ์ซึ่งกันและกัน และตัดรอน "ทางเลือก-ทางรอด" ของชาวบ้านได้แบบไหน อย่างไร?
    ตรงนี้สำคัญ........
    ในเมื่อ คนเป็นมะเร็ง เดิมพันสุดท้าย คือ "ตาย"
    แต่รักษาที่หมอโรงพยาบาลหรือรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันแล้ว ก็ได้แค่นี้ 
    ฉะนั้น รักษาก็ตาย ไม่รักษาก็ตาย แต่เมื่อมียา "อย.ไม่รับรอง" เป็น "ทางเลือก-ทางรอด" สุดท้าย
    ถ้าสาธารณสุขเป็นแบบ "พวกหัวลูกเต๋า" อ้างกฎหมาย อ้างยายังไม่ได้ผ่านการตรวจรับรอง 
    ห้ามผลิต ห้ามแจก ห้ามคนกิน โดยไม่คิดหาทางออกร่วมกัน ซึ่งมันมีอยู่แล้ว แต่สาธารณสุขหน่วยใด-หน่วยหนึ่งอาจ "หวงก้าง"
     แบบนั้น........
     เรื่องเป็นคุณสังคมชาติ จะกลายเป็นโทษไป และชาวบ้าน โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง แทนจะมีโอกาส กลับเป็นผู้เสียโอกาส
    และวิทยาศาสตร์อย่างสาธารณสุข จะกลายเป็นกระทรวงอุปสรรคในการพัฒนาชาติไปทันที
    โลกนี้ ไม่มีอะไรผิด-อะไรถูก 
    ผิด-ถูก ขึ้นอยู่กับว่า ขั้นต้น จะเอาปัญหามาเป็นปัญญาได้ขนาดไหน ก่อนเอาปัญหานั้นๆ กลับมาบริหารให้สอดคล้องความเป็นจริง ตามสถานการณ์ของเรื่องราว
    เหมือนตอนคนหิว........
    จะไปเทศน์ให้ฟัง เอาเพชรทั้งถุงไปเทให้เลือกว่าเม็ดนี้แท้นะ เม็ดนี้เก๊นะ เดี๋ยวก็ถูกกระทืบ
    นี่คือ อยู่ในสถานการณ์หิว การแก้ ก็ต้องทำให้เขาหายหิวก่อน จากนั้น ค่อยมาพูดกันเรื่องผิด-เรื่องถูก 
    และถกถึงทาง "ต่อยอด"
    ไม่ใช่ตีค่าสมุนไพร "ใช้ไม่ได้" เอะอะต้องยาฝรั่ง
     ก็ยาโรงพยาบาลกินแล้วไม่หาย.......
    ไหนๆ จะตาย กินยาหมอแสง ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องสูญเสียมากไปกว่านั้น เผลอๆ มันหาย 
    แล้วแบบนี้ ไม่ถือเป็น "ทางรอด" ในรูเข็ม........
    ที่สาธารณสุข ควรร่วมมือกับหมอแสงใช้งานวิจัย "ต่อยอด" ให้เป็น "เศรษฐกิจอุตสาหกรรม" ขับเคลื่อนด้วย "นวัตกรรม" ดอกหรือ?
    กรณียาหมอแสงนี้........
    น่าจะจัดอยู่ใน "กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์" ตามยุทธศาสตร์ ๔.๐ ของนายกฯ ประยุทธ์
    อย่าตั้งมุมลบ ด้วยดูแคลนสมุนไพร ยาฝรั่งทุกตัว ก็ไปจากสมุนไพร ต่อยอดด้วยงานวิจัยทั้งนั้น 
    ถ้าไม่มีแพทย์แผนโบราณ ไม่มีสมุนไพร ป่านนี้ไม่มีมนุษย์ไทยเหลือมานั่งหลับหู-หลับตาบูชายาฝรั่งตะพึด-ตะพือหรอก
    ต้องส่งเสริมยาสมุนไพร และควรอย่างยิ่งที่สาธารณสุขยกเคสหมอแสงเป็นตัวอย่าง
    ว่าหมอแผนโบราณ หมอไทย-ยาไทย หรือยาผีบอก อะไรก็ตามแต่ ใครมีตำรับ ไม่ต้องกลัวถูกจับ 
    ให้รีบมาพบปลัดสาธารณสุขหรือท่านรัฐมนตรีปิยะสกลได้เลย
    เพื่อเอาตัวยา-ตัวสมุนไพร ตามสูตรนั้นๆ เข้าสู่กระบวนการ "งานวิจัย"
    การพัฒนาเชิงนวัตกรรมนั้น........
    ถ้าขาดงานวิจัย ไม่ส่งเสริมงานวิจัย ก็เหมือนหมาขาดเขี้ยว อยากเคี้ยวเนื้อราชสีห์?
    แต่ยุคนี้ น่าดีใจ ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมของไทย หลายแห่งตื่นตัวและ "มองไกล" ที่ต้องแอบปลื้ม
    กลุ่มประเทศ CLMV เราอย่าไปมองในเชิงแข่งขัน ว่าใครจะเหนือใคร
    ควรต้องมองว่า เขมร-ลาว-พม่า-ญวน-ไทย ต้องโตแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และก้าวไปสู่อนาคตใหม่ที่แข็งแกร่งร่วมกัน
    อย่าไปมองใครเป็นตลาดของใคร, ใครได้เปรียบ-เสียเปรียบ, ใครก้าวหน้า-ใครล้าหลังกว่าใคร
    เขตแดนน่ะ ให้เป็นเรื่องของดิน
    แต่พื้นที่ค้าขาย ไปมาหาสู่ "ไทย-เขมร-ลาว-พม่า-ญวน" ควรเป็นอาณาจักรไร้พรมแดน 
    "เราขาดนี่-เขามีนั่น" กลุ่มประเทศ CLMV ก็แบ่งปัน เติบโตไปด้วยกัน แทนที่แต่ละประเทศจะค้าขายเฉพาะคน ๑๐ ล้าน ๑๐๐ ล้านในบ้านตน
    ก็มีคนเป็นพันล้านคน เพื่อค้า-เพื่อขาย พรมแดนขยายกว้างเท่าไหร่ ประโยชน์แต่ละประเทศที่ได้ ก็จะขยายกว้างเป็นเงาตามตัวไปเท่านั้น
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมอ่านข่าว........
    "องค์การเภสัชกรรม จับมือ ปตท.ศึกษาเตรียมการสร้างโรงงานผลิตยารักษาโรคมะเร็ง"
    ผมทึ่งวิสัยทัศน์ "พัฒนาข้ามสายพันธุ์" ของ ปตท.มาก!
    ปตท.บริษัทจัดหาพลังงานของประเทศ 
    วันนี้ แตกแขนง-แตกยอด สู่วงจรอุตสาหกรรมยาร่วมกับองค์การเภสัชกรรม
    นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผอ.องค์การเภสัชกรรม ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับ "นายอรรถพล  ฤกษ์พิบูลย์" ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมชั้นปลาย ปตท.
    ถึงไม่มีรายละเอียดให้ศึกษา ผมหลับตาเห็น "งานวิจัย" ต้องมาแน่นอน
    และที่พูดเชิงเหยียดว่า "ยาองค์การเภสัชฯ" ในอนาคต ด้วยงานวิจัยต่อยอด
    ด้วยแต้มต่อทุนเพื่องานวิจัย ด้วยคุณสมบัติแร่ธาตุสมุนไพร และด้วยงานทางยาที่องค์การเภสัชฯ มีประสบการณ์
    การวิจัยสู่การผลิต "ยารักษาโรคมะเร็ง" มีโอกาสสำเร็จสูง!
    ประเทศไทยเรา มีวัตถุดิบ "ค่าล้ำโลก" อยู่มาก แต่ขาดงานวิจัย วัตถุดิบจึงถูกนำมาใช้เหมือน "ลิงได้แก้ว"
    อย่างแก๊สธรรมชาติในอ่าวไทย มีสารตั้งต้นสูง ๑๐-๑๕% ในขณะที่แก๊สพม่า มีไม่เกิน ๕%
    แทนที่เราจะใช้งานวิจัยต่อยอดอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขึ้นไป เพื่อผลิตเม็ดพลาสติก สร้างอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ที่ได้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจมากกว่า
    กลับเอาไปใช้แค่ผลิตไฟฟ้า ขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม เหมือนเอาไม้สักไปทำเป็นฟืนหุงข้าว ประมาณนั้น
    แต่ดูเหมือน ปตท.อีกนั่นแหละ.....
    ตั้ง "สถาบันวิทยสิริเมธี" เป็นมหาวิทยาลัยมุ่งด้านงานวิจัย คัดเด็ก "หัวกระเด็น" ในประเทศไปเรียน
    เห็นว่า ๕ พันคน คัดเอา ๗๐ คน ไปสร้างเป็น "ไทยพันธุ์ใหม่" ศึกษาวิจัยเพื่อนวัตกรรมสู่ระดับต้นๆ ของโลก
    ครับ.....พ่อคุณ...แม่คุณทั้งหลาย 
    หัวหงอก เหนียงยาน จะตายกันวันนี้-วันพรุ่งอยู่แล้ว ยังจะเอาแต่กัดแย่งประเทศกันอยู่นี่แหละ
    เงยหน้าให้พ้นหัวแม่ตีนตัวเอง ดูโลกเขาบ้าง ว่าวันนี้ เขาไปถึงไหนกันแล้ว
    บิ๊กป้อมก็เหมือนกัน ตายวันไหน ก็อยากรู้ว่า จะเอานาฬิกาไปได้ซักกี่เรือน?


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"