'ศิริชัย'โวพร้อม ลงลุยการเมือง! ขอปรับประเทศ


เพิ่มเพื่อน    

    อดีตประธานศาลอุทธรณ์ผู้พลาดเก้าอี้ประธานศาลฎีกา สนใจอยากเล่นการเมือง โวปรับประเทศใหม่ทั้งหมด
    เมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา นายศิริชัย วัฒนโยธิน อดีตประธานศาลอุทธรณ์ ได้เปิดเผยผ่านรายการ Over View ที่ออกอากาศทางช่อง Voice TV โดยกล่าวถึงปัญหาการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบันว่า เป็นคนสนใจการเมืองมานาน จึงมองว่าประเทศไทยมักประสบปัญหาเรื่องการทุจริต โดยเฉพาะนักการเมืองจะถูกกล่าวอ้างว่าทุจริตอยู่เรื่อย ซึ่งในต่างประเทศก็มีการกล่าวกันว่า ถ้าไม่มีนักการเมือง ประเทศก็จะเจริญ ซึ่งความหมายของนักการเมืองก็คือคนที่ทำงานเกี่ยวกับการเมือง คสช. นายกรัฐมนตรี และ สนช. ซึ่งขณะนี้มาทำหน้าที่บริหารงานและออกกฎหมาย ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือไม่ ก็ถือเป็นนักการเมือง รัฐบาลเปรียบเสมือนเรือหรือรัฐนาวา แต่ทุกวันนี้คณะรัฐมนตรีเหมือนเป็นคนพายเรือ ซึ่งต่างคนต่างพาย ไม่ได้มีการประสานงานว่าจะดำเนินการกันอย่างไร เลยทำให้งานไปคนละทิศทางทำให้บ้านเมืองไม่ได้เดินต่อไป
     นายศิริชัยกล่าวว่า การปกครองบริหารบ้านเมืองในขณะนี้นั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากตอนมีรัฐธรรมนูญสักเท่าไหร่ บางจุดอาจจะดูด้อยกว่าเสียด้วยซ้ำ อย่างข้าราชการที่ถูกลงโทษวินัยไปแล้ว แต่พอ คสช.เข้ามา ก็ประกาศให้พ้นโทษ แม้กระทั่งในศาลยุติธรรมเองก็มีผู้พิพากษาที่ถูกให้ออกไปแล้ว ก็มีประกาศ คสช.ให้กลับมาเป็นข้าราชการธุรการ อย่างที่จะสังเกตกันว่า หลักนิติธรรมมันจะต้องมีมาตรฐาน 
    "ทุกวันนี้ต้องดูว่าองค์กรอิสระมันดีหรือไม่ ถ้าเซตซีโร ก็ต้องทำทั้งหมด แต่กลับไปเซตซีโรเฉพาะบางองค์กรแล้วเราจะตอบคำถามใครได้อย่างไร ตรงจุดนี้มองว่าเป็นจุดด้อยของยุคนี้" นายศิริชัยกล่าว 
    อดีตประธานศาลอุทธรณ์กล่าวหลังถามว่า การเลือกตั้งจะเป็นทางออกของประเทศหรือไม่ในเวลานี้ นายศิริชัยกล่าวว่า หากพูดกันตรงๆ ยังไม่ใช่ทางออกของประเทศ เพราะหากว่ารัฐธรรมนูญยังมีโครงสร้างแบบนี้ อำนาจอธิปไตย ที่แบ่งเป็น นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เป็นเรื่องดี ถ้าหากมันสามารถที่จะแบ่งกันได้จริงๆ เพราะมันจะตรวจสอบกันอยู่ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ เราจะเห็นได้ว่าอำนาจนิติบัญญัตินั้นเป็นลูกน้องของอำนาจบริหาร นายกรัฐมนตรีก็เคยพูดเองว่าเป็นคนตั้ง สนช.ด้วยตนเอง อย่างที่มี สนช.หลับก็พูดเองว่า ต่อไปจะไม่ตั้งคนที่หลับให้มีตำแหน่งอะไรอีกแล้ว ตรงนี้แสดงว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายดูแลนิติบัญญัติ และการที่เรามีองค์กรอิสระ ก็เพื่อจะให้มีการตรวจสอบอีก แต่ฝ่ายบริหารก็ไปควบคุมโดยส่งคนของตัวเองเข้าไปในองค์กรอิสระ ซึ่งทุกยุคก็พยายามที่จะเป็นแบบนี้ เพราะถ้าควบคุมองค์กรอิสระได้ ตัวเองก็จะปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานที่ฟอกการกระทำได้ดี เพราะถ้า ป.ป.ช.ไต่สวนแล้วชี้ว่าคดีไม่มีมูล ถือว่าเป็นอันจบเลย คนคนนั้นเหมือนว่าไม่ได้กระทำความผิด ถ้าเขาจะมีการช่วยกัน เขาก็ชี้ว่าไม่มีมูล ก็จบ เว้นแต่จะมีคนที่มีพยานหลักฐานใหม่เข้ามา เรื่องบางเรื่อง ป.ป.ช.ควรจะชี้แจงว่ามันช้าเพราะอะไร เราควรจะต้องมีการแก้กฎหมายว่าการชี้คดีของ ป.ป.ช.มันควรจะไม่ถึงที่สุด ควรที่จะมีหน่วยงานหรือองค์กรอิสระคอยตรวจสอบอีก อาจจะเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือสำนักผู้ตรวจการแผ่นดินขึ้นมาดูอีกทีว่ามันถูกต้องหรือไม่ คล้ายกับอัยการที่คอยตรวจสอบจากพนักงานสอบสวน 
    "เดิมคนที่จะเป็นนายกฯ ได้ก็จะต้องเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง แต่ทุกวันนี้อย่างที่เรารู้กัน มันก็เป็นเหมือนเดิม เพียงแต่นายกฯ ตอนนี้มันไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งช่วงนี้จะเป็นการจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อเตรียมเลือกตั้ง ก็อยากจะสมัครเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง หากมีพรรคไหนมาติดต่อผมจะทำให้ เพราะผมคิดว่าจะต้องแก้ปัญหาบ้างเมืองที่มันค้างคา"
    เมื่อถามว่า หากเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง จะต้องเจอกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะกล้าลุยหรือไม่ นายศิริชัยกล่าวว่า เป็นคนตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ก็ไม่ได้กลัวอะไร การที่จะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เราต้องมีนโยบายที่ให้ประชาชนเลือก ถ้าประชาชนอยากได้ของใหม่ ก็เลือกผม ผมจะปรับประเทศใหม่ทั้งหมด แก้ไขทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา ที่เราจะมาสอนให้ท่องจำอย่างเก่าไม่ได้ เราต้องสอนให้เด็กคิด สอนการปฏิบัติ หลักสูตรจะต้องเปลี่ยน ประเทศไทยเราใช้เวลาเรียนกันหนัก แต่คุณภาพการเรียนของเราเป็นอันดับท้ายของอาเซียน เราปล่อยกันมาเป็นแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเลือกตั้งหรือทหาร การศึกษาก็ยังเป็นแบบนี้ ทำไมมันถึงแก้ไม่ได้ 
    นายศิริชัยกล่าวว่า ตามหลักแล้ว ตามสมัยดั้งเดิม ผู้พิพากษาเราจะเก็บตัวจะไม่มีการเข้ามาเปิดตัวแบบนี้ เวลาโยกย้ายสถานที่ทำงานจะไม่มีการเลี้ยงส่ง ซึ่งเมื่อถามว่าเป็นสิ่งที่ดีมั้ย บางคนก็กล่าวไว้ว่าศาลไม่ควรเก็บตัว ควรจะต้องสัมผัสกับประชาชน แต่จริงๆ แล้วศาลไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับประชาชน เพราะชาวบ้านธรรมดาไม่ได้เข้ามาหาเรา มีแต่พ่อค้าผู้มีอิทธิพล ซึ่งพอเข้ามาสนิทกัน ก็จะมีการมาขอกันถึงเรื่องคดี ซึ่งความเป็นมนุษย์ปุถุชนก็ทำให้ศาลทำงานไม่สะดวก อย่างตนเองตอนที่พิจารณาพิพากษาคดี ตนจะไม่ดูเลยว่าทนายเป็นใคร กลัวจะเป็นคนรู้จักหรือเพื่อน เพราะกลัวว่าตัดสินไปแล้วเพื่อนจะมาว่าทีหลัง ศาลควรจะต้องอยู่ในที่ตั้ง จะต้องพยายามไม่ไปยุ่งเกี่ยวใคร 
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศิริชัย วัฒนโยธิน อดีตประธานศาลอุทธรณ์ เคยเป็นผู้ที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอบัญชีรายชื่อขึ้นเพื่อแต่งตั้งเป็นประธานศาลฎีกา คนที่ 44 แทนนายวีระพล ตั้งสุวรรณ ซึ่งเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2560 เนื่องจากอาวุโสสูงสุดตามหลักธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติของศาล แต่ในครั้งนั้น อนุ ก.ต.มีมติเสียงข้างมาก 19 เสียงไม่ผ่านคุณสมบัติ จากปมเรื่องการโอนสำนวนคดียาเสพติด และส่งขึ้นให้ ก.ต. 15 คน เป็นผู้พิจารณาเห็นชอบขึ้นดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา แต่สุดท้ายแล้ว ก.ต.ก็มีมติเสียงข้างมากไม่เห็นชอบให้นายศิริชัยขึ้นดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา และหลังจากนั้นก็มีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องการโอนสำนวนดังกล่าว ซึ่งนายศิริชัยระบุในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ว่าระยะเวลาผ่านไม่ 15 เดือนแล้ว แต่ผลสอบข้อเท็จจริงยังไม่ได้ปรากฏออกมา. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"