
ปรากฏการณ์ “ทีมหมูป่า 13 ชีวิต” นับว่าได้รับความสนใจจากคนทั้งโลกอย่างล้นหลาม ตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มการค้นหา จนถึงภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจไปแล้ว ในส่วนของประเทศไทยเอง นอกจากที่ชาวโลกจะรู้จักประเทศไทยมากขึ้น เหตุการณ์ดังกล่าวได้ช่วยให้เรามีบทเรียนแน่ๆ อย่างน้อยอีก 1 เรื่อง คือกรณี “สวัสดิภาพของเด็กและเยาวชนที่ไปเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ” ซึ่งในบางกรณี เด็กๆ ที่พบเหตุการณ์เดียวกับทีมหมูป่าอาจไม่โชคดีเหมือนทีมหมูป่า และผลลัพธ์ที่ออกมาอาจไม่ใช่ภาพแห่งความปีติยินดี แต่กลับกลายเป็นตรงกันข้าม อย่างไรก็ดี เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว โดยมีความสูญเสียเกิดขึ้นน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นับว่าเป็นความสำเร็จของทุกฝ่ายที่ร่วมมือร่วมใจกันช่วยทั้ง 13 ชีวิตออกมาได้ และกลายเป็นวีรกรรมที่จะถูกยกย่องไปอีกนาน
ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ประกอบกับอุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุบัติเหตุ “เด็กจมน้ำ” ทั้งในทะเลหรือแม่น้ำลำคลอง ทางคณะกรรมาธิการสังคม เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีการจัดการสัมมนาในหัวข้อ “ความปลอดภัยของเด็กและเยาวชน ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ” เมื่อเร็วๆ นี้ ที่อาคารรัฐสภา 2 เพื่อให้หน่วยงานทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและแก้ไขปัญหาความปลอดภัยของเด็กและเยาวชน พร้อมสร้างจิตสำนึกแก่สังคมกรณีเกิดอุบัติเหตุ และหาวิธีการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายทั้งทางน้ำและทางบก ซึ่งแต่ละแห่งมีความแตกต่างกัน ทั้งทิวทัศน์ ความสวยงาม เช่นเดียวกับการให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
ผู้ร่วมสัมมนา ประกอบด้วย นพ.ฉัตรชัย อิ่มอารมย์ อาจารย์ประจำศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี, นายประชัน มีบุญ ผอ.ส่วนกู้ภัยและมวลชนสัมพันธ์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายพรหมเมธ ถมทอง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), นาวาโทประเสริฐ ทองชิว ตัวแทนศูนย์การประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.)
อุบัติเหตุทางน้ำ...มาแรง
นพ.ฉัตรชัยกล่าวว่า เด็กมีสรีระต่างกับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะขนาดหัวและกำลังแขน ที่ทำให้การทรงตัวไม่ดีเท่ากับผู้ใหญ่เมื่อเกิดอุบัติเหตุจมน้ำ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กอายุ 1-14 ปี จากข้อมูลปี 2543-2559 พบว่า เด็กในช่วงอายุน้อยตั้งแต่ 1-9 ปี ส่วนใหญ่มีอัตราเสียชีวิตลดลง เป็นไปได้จากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เด็กอยู่ห่างจากน้ำมากขึ้น เว้นแต่ช่วงอายุ 10-14 ปี ที่มีอัตราการเสียชีวิตแทบจะเท่าเดิม ซึ่งอุบัติเหตุส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดที่แหล่งน้ำใกล้บ้าน แต่เกิดในสถานที่ท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่
“ผมอยากให้มีหน่วยงานที่ตรวจสอบและรับผิดชอบอย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะบรรจุหน้าที่ในหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว มีการรับรองคุณภาพด้านความปลอดภัยของสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่ง มีการจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันการบาดเจ็บ อุปกรณ์นิรภัย รวมทั้งกำหนดให้มีพื้นที่เล่นที่ได้มาตรฐาน กำจัดสัตว์พิษออกจากพื้นที่ มีการจำกัดมาตรฐานในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ อาทิ อายุ ส่วนสูง การตรวจสอบเครื่องเล่น มีป้ายให้คำแนะนำสำหรับผู้ปกครองและเด็ก เพื่อสร้างความเข้าใจถึงเรื่องที่ควรและไม่ควรปฏิบัติ พร้อมใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วม อาทิ การใช้ GPS ในการติดตาม โดยเป็นการดำเนินการอย่างครอบคลุม มาตรฐานเดียวกัน”
นายประชันกล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลปี 2560 จะมีคนไทยจมน้ำเสียชีวิตเฉลี่ยเดือนละ 100 คน หรือปีละ 1,000 คน ซึ่งในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ 131 แห่งทั่วประเทศ เรามีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต 39 ราย ปี 2561 เสียชีวิตไปแล้ว 37 ราย โดยเป็นเด็กปีละ 3 ราย ซึ่งเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางน้ำทั้งหมด โดยนักท่องเที่ยวที่เสียชีวิตเยอะที่สุดคือชาวจีน ในส่วนของคนไทยที่เสียชีวิตนั้น สาเหตุไม่ได้เกิดจากการที่พวกเขาว่ายน้ำไม่เป็น แต่เป็นเพราะขาดทักษะการช่วยเหลืออย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องปลูกฝัง อาทิ การกระโดดลงไปช่วยคนจมน้ำโดยไม่มีอุปกรณ์ ซึ่งมีหลายรายที่มีปัญหาเรื่องดังกล่าว ทำให้ผู้พยายามช่วยเหลือเสียชีวิตเพิ่มไปโดยปริยาย
“ในปี 2561 เราได้ดำเนินการตั้งศูนย์กู้ภัยและมวลชนสัมพันธ์ขึ้นมา 7 ศูนย์ ดูและอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ มีการทำเอ็มโอยูร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งอาศัยความร่วมมือจากชาวบ้านในพื้นที่ บริษัทนำเที่ยว และตัวนักท่องเที่ยวเอง เพื่อสร้างองค์ความรู้ที่ถูกต้องแก่นักท่องเที่ยวที่เข้าไปเยี่ยมชมอุทยาน รวมทั้งการประสานงานกับหน่วยงานด้านการศึกษา เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่เด็กและเยาวชนในโรงเรียนถึงเรื่องดังกล่าว”
นายพรหมเมธกล่าวว่า อุบัติเหตุจากการท่องเที่ยวที่เกิดอย่างต่อเนื่องมาจากปัญหาหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องการเดินทาง โดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัยเรื่องการเดินทางที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนที่พัฒนาแล้ว เช่นเดียวกับการเตรียมตัวของระบบขนส่งสาธารณะที่ยังไม่ได้มาตรฐาน การเกิดอุบัติเหตุรถทัวร์ รถตู้ หรือเรือประสบอุบัติเหตุ เป็นผลมาจากไม่มีการตรวจสภาพความเรียบร้อย และการเชื่อฟังคำแนะนำและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
“สำหรับเยาวชนนั้น ผมมองว่าความรู้ของตัวเยาวชนเองที่เราต้องสร้างความตระหนักแก่พวกเขา โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางในเชิงลึก ผ่านชุดข้อมูลสำเร็จรูปที่มีความแตกต่างกันไปในสถานที่แต่ละแห่ง อาทิ ภูเขา แม่น้ำ หรือทะเล รวมทั้งเงื่อนไขในแต่ละช่วงเวลา ไม่ใช่เพียงแค่บอกว่าแหล่งท่องเที่ยวเหล่านั้นมีความสวยงามอย่างไร”
นาวาโทประเสริฐกล่าวว่า กรณีเหตุการเรือฟีนิกซ์ ที่ภูเก็ต ทำให้เกิดมาตรการสำหรับผู้โดยสารเรือทุกคนต้องสวมเสื้อชูชีพ อย่างไรก็ตาม อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในทะเล ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และผู้สูงวัย มีโอกาสเสียชีวิตเท่ากัน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากความบกพร่องหลายส่วน ทั้งประสบการณ์ของผู้คุมเรือ รูปทรงเรือที่ผิดแบบ และการที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก เมื่อเรือพลิกคว่ำ แม้ผู้โดยสารจะสวมเสื้อชูชีพทุกคน แต่ชูชีพที่ยังเหลืออยู่ภายในเรือลอยมาปิดเหนือผิวน้ำ ทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนไม่สามารถขึ้นสู่ผิวน้ำได้
“ทาง ศรชล.เองเน้นการแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น ผู้ใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นส่วนสำคัญในการพาคนอื่นเอาชีวิตรอด คนเหล่านี้ต้องเข้าใจทักษะการเอาตัวรอดในแต่ละสถานการณ์ เพื่อสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้”
ท้ายที่สุด ความเห็นของทุกฝ่ายล้วนไปในทิศทางเดียวกัน สิ่งสำคัญคือการเตรียมความพร้อมโดยการให้ความรู้ เช่นเดียวกับวิธีการรับมือที่ถูกต้องเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นนั่นเอง.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |