เปิดเวทีชำแหละ คดีข่มขืนเด็ก14 สังคมร่วมรับผิด


เพิ่มเพื่อน    


    คดีข่มขืนเด็กวัย 14 ปีที่เกาะแรดยังไม่จบ! วงเสวนาเผยมีผู้กระทำผิดอีกจำนวนมากยังลอยนวล จำเลยอุทธรณ์ต่อ สดุดีหัวใจแม่ปกป้องลูกสาวลุกขึ้นสู้แม้รู้ว่าต้องโดดเดี่ยวทิ้งรกราก สลด! เด็กจิตใจสุดบอบช้ำ ฝันร้ายภาพหลอนผวาต้องเร่งบำบัดเยียวยา เรียกร้องสังคมต้องร่วมกันรับผิดชอบ
    เมื่อวันอังคาร ที่เดอะฮอลล์บางกอก มีการเสวนา“มองรอบด้าน ..บทเรียนหลังคำพิพากษาคดีบ้านเกาะแรด จ.พังงา” จัดโดยโครงการปกป้องเด็กและเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยงทางสังคม มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิพิทักษ์สตรี มูลนิธิชนะใจ แผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมระหว่างเพศ เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนภิเษก
    น.ส.อรวรรณ วิมลรังครัตน์ ทนายโจทย์ร่วม กล่าวว่า ภายหลังศาลจังหวัดพังงามีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต 11 ชายฉกรรจ์รุมข่มขืนเด็กหญิงวัย 14 ปี เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งความยากของคดีเกาะแรดคือมีผู้ต้องหาจำนวนมาก และเหตุการณ์เกิดขึ้นจำนวนหลายครั้งมาก กรณีนี้ถือว่าเด็กผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานแค่คนเดียวในการชี้ว่าใครเป็นคนกระทำ ขณะที่ในส่วนของพยานแวดล้อมเป็นคนในพื้นที่ และไม่กล้าที่จะมาให้ปากคำ ซึ่งเป็นเรื่องของอิทธิพล ส่งผลให้ผู้เสียหาย ครอบครัวไม่สามารถที่จะอยู่ในพื้นที่ได้เลย  
    “คดีที่สามารถดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ ต้องนับถือครอบครัวของผู้เสียหายที่เขาลุกขึ้นมาต่อสู้ ถ้าเขาไม่สู้ เรื่องนี้ก็คงเป็นแค่จบตกลงจ่ายเงินเสียหายกันไป แต่แม่ของเด็กเลือกที่จะต่อสู้เพื่อลูกด้วยความเด็ดเดี่ยว แม้จะรู้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ไม่ได้ เขาก็สู้ กลับไปก็ไม่ได้ต้องย้ายรกรากหนีจากบ้านของตัวเอง”
    น.ส.อรวรรณระบุว่า ยังมีผู้กระทำผิดอีกจำนวนมากที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี ซึ่งน่ากังวลว่าครอบครัวนี้เขาจะอยู่กันอย่างไร สังคมต้องร่วมกันรับผิดชอบด้วย เพราะพวกเขาลุกขึ้นมาต่อสู้นี้คือสิ่งที่ถูกต้อง ควรช่วยกันให้พวกเขาต้องอยู่ได้ในสังคมใหม่ที่ไปตั้งรกรากใหม่ ส่วนในเรื่องคดีต่อจากนี้จะเป็นเรื่องจำเลยอุทธรณ์ เราในฐานะโจทย์ร่วมแม่และเด็ก ก็จะดำเนินการเรียกค่าเสียหายให้กับเด็ก ซึ่งต่อจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีกัน ขณะที่ผู้กระทำความผิดที่ยังลอยนวลอยู่ก็ต้องถือเป็นความสมัครใจ หรือความประสงค์ของผู้เสียหายว่าจะดำเนินการต่อหรือไม่ โดยยึดประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นตัวตั้ง
     นางดารารัตน์ สุเทศ หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพังงา กล่าวว่า บ้านพักถือว่าเป็นด่านแรกในการรับเคสนี้ แต่ในทางข้อมูลกลับมืดแปดด้าน มองไม่ออก เพราะข้อมูลขัดแย้งกันไปหมด ทั้งจากราชการ ชุมชน ครอบครัวเด็ก จนสุดท้ายตัดสินใจเบื้องต้นคือต้องดึงตัวเด็กออกจากพื้นที่โดยไม่แยกเขาออกจากครอบครัว ขณะที่เด็กมีความหวาดกลัวมาก เรื่องของความไม่ปลอดภัยต่อเธอและครอบครัว ภาวะพึ่งพิงของครอบครัวต่อชุมชน และมันกระทบไปถึงญาติพี่น้องของเขาด้วยที่ถูกคุกคาม ข่มขู่ตลอดเวลาแม้แต่ขณะนี้เองเด็กและครอบครัวยังคงได้รับผลกระทบอยู่
    “ทุกครั้งที่เด็กถูกเรียกตัวไปสอบสวน ให้การ หรือชี้ตัว เด็กจะมีอาการวิตก ผวา ความกลัวขนาดนอนละเมอและฝัน เขาบอกว่าเหมือนผู้กระทำเข้าไปในบ้าน ยืนจังก้าต่อหน้าเขาแล้วหัวเราะ หรือแม้หากมีใครเดินมาข้างหลังเขาก็จะผวาตลอด ซึ่งเราได้ปรึกษานักจิตวิทยาให้เข้ามาช่วยดูแล มันเป็นภาพคิดฝังใจอยู่ใต้จิตสำนึก ต้องเร่งบำบัดเยียวยาสภาพจิตใจอย่างมากที่สุด” นางดารารัตน์ระบุ
    ด้านนายจิรวัฒน์ สวัสดิชัย อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการจังหวัดพังงา กล่าวว่า จุดแข็งของคดีนี้คือเด็กสามารถจดจำเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมดเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังสามารถจดจำใบหน้าของคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีได้ทั้งหมด ซึ่งคนร้ายที่ก่อเหตุในคดีเป็นคนที่อยู่ในชุมชนเดียวกันและชุมชนใกล้เคียง ซึ่งเด็กรู้จักและเคยเห็นหน้ามาก่อน โดยในชั้นสืบพยานพนักงานอัยการมีหน้าที่ในการใช้คำถามเพื่อให้เด็กเข้าใจและสามารถพูดหรือสื่อสารออกมาให้ได้ลำดับตามเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ประกอบกับตัวเด็กเองกล้าที่จะเบิกความกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเด็กต่อหน้าจำเลยในคดี 
    ขณะที่นางทิชา ณ นคร หรือป้ามล ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและเยาวชน กล่าวว่า ในฐานะผู้ติดตามและเคลื่อนไหวประเด็นความรุนแรงทางเพศค่อนข้างโน้มเอียงไปทางผู้เสียหาย เหตุผลที่ยังหาข้อหักล้างไม่ได้ คือ พวกเขายอมอับอาย ยอมถูกประจาน ยอมถูกดูถูกรังเกียจเดียดฉันท์ เพื่ออะไร ถ้าหากว่าพวกเขาไม่เคยถูกกระทำมาก่อน ราคาที่พวกเขาต้องจ่ายเมื่อออกมาเป็นข่าวในพื้นที่สาธารณะมันแพงมาก ขั้นตอนเมื่อแสวงหาข้อมูลจากคนในพื้นที่เป็นการทำงานร่วมกันของกัลยาณมิตรหลายส่วน เพื่อยืนยันความอยุติธรรมที่ผู้เสียหายได้รับ จากนั้นประเมินดูช่องว่าง จุดอ่อน และหาทางเติมช่องว่าง เช่น การคุ้มครองพยาน การมีทนายเสริมทีมเพื่อเข้าเป็นโจทก์ร่วม การเสริมพลังเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจ ให้ความมั่นใจกับผู้เสียหาย
    “เป้าหมายคือผู้เสียหายต้องกล้าพูดความจริง และความจริงจะนำไปสู่การลงโทษผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย นั่นคือบรรทัดฐานของความเป็นธรรม ไม่ว่าผู้กระทำจะมีอิทธิพล มีอำนาจแฝง หรือระบบอุปถัมภ์ค้ำจุนอย่างแข็งแรงปานใดก็ตาม ซึ่งต่อจากนี้ทุกฝ่ายก็มีสิทธิในการต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์จนถึงฎีกา แต่สิ่งที่ต้องมาขบคิดกันโดยเร็วคือ การเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในพื้นที่ใหม่ของครอบครัวนี้จะเป็นอย่างไร หน่วยงานของรัฐได้มองเห็นถึงจุดนี้หรือไม่ คงมีโอกาสได้มาร่วมกันออกแบบหาทางออกร่วมกันต่อไป” นางทิชาระบุ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"