วีแกน แอนด์ รอว์


เพิ่มเพื่อน    

ชาวอินเดียและนักท่องเที่ยวต่างชาติชมพิธีบูชาไฟริมท่าน้ำอัศวเมศ กรุงพาราณสี

แดดเช้าส่องผ่านหน้าต่างบานจิ๋วเข้ามาปลุกถึงเตียงนอนตั้งแต่ประมาณ 7 โมง ผมลุกเดินไปยังหน้าต่าง มองออกไปยังคงคามหานทีเบื้องล่าง เรือแจวและเรือยนต์นำนักท่องเที่ยวล่องชมฝั่งอันเป็นที่ตั้งของเขตเมืองเก่าอยู่คึกคัก ในน้ำริมบันไดหินเต็มไปด้วยผู้ชำระล้างร่างกายในความหมายเดียวกับชำระบาป พาราณสีตื่นนานแล้ว

ที่พักของผมแม้จะไม่ได้ตั้งอยู่ริมน้ำเสียทีเดียวแต่ก็มองเห็นแม่น้ำและกิจกรรมยามเช้าของชาวพาราณสีได้เพราะผมพักอยู่ชั้นบนสุดของ “บาบาเกสต์เฮาส์” และมีหน้าต่างบานจิ๋วนี้หันออกสู่แม่น้ำ สนนราคาคืนละ 600 รูปี หรือราว 300 บาท จึงถือว่าคุ้มค่ามาก

บนชั้นดาดฟ้า ครึ่งหนึ่งถูกกั้นเป็นห้องกึ่งๆ กระจกทำเป็นร้านอาหาร ชื่อ Aadha Aadha แปลว่า “ครึ่งครึ่ง” มาจากผู้ดูแล 2 คนเป็นคู่รักหนุ่มอินเดีย – สาวฝรั่งเศส ราชูและเอมี่ บริการอาหารอินเดียและขนมจำพวกพาย-เค้กแบบฝรั่งเศส

กุนเธอร์นั่งอยู่ในร้านอาหารแล้วตอนที่ผมเดินเข้าไป เขากำลังป้อนข้อมูลเรื่อง “ลูไพน์” (Lupine) ให้กับเด็กในร้านคนหนึ่ง ซึ่งลูไพน์คือพืชดอกชนิดหนึ่งขึ้นเป็นพุ่มแหลมๆ อยู่ในวงศ์ถั่ว กุนเธอร์อธิบายให้ผมฟังตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าในเยอรมนีมีการพัฒนาพันธุ์จนไม่ให้ผลมีรสขม สามารถนำไปทำอาหารให้โปรตีนที่ดีกว่าถั่วเหลืองเสียอีก เขาว่าอีกไม่นานเจ้าลูไพน์นี้จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมให้กับวงการมังสวิรัติ

เขาปลูกลูไพน์ในสวนหลังบ้านที่เมืองคาลสฮัวห์อยู่หลายต้น เมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมาเพิ่งรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ผู้ไม่กินเนื้อสัตว์ทำเบอร์เกอร์ลูไพน์ขายในชุมชน ผลตอบรับดีมาก ปัญหาของลูไพน์ที่พบอยู่ตอนนี้คือหลังจากนำเมล็ดจากต้นเก่าไปปลูกใหม่ไม่กี่รุ่นผลมันจะกลับไปขมอีก จึงต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่อยู่เรื่อยๆ

ลูกหลานหนุมานมีให้เห็นทั่วเขตเมืองเก่า

กุนเธอร์คุยกับวัยรุ่นคนนั้นเสร็จก็มานั่งร่วมโต๊ะกับผม ล้วงเอาชาเขียว (ชนิดใบ) ที่แบ่งใส่ถุงเล็กๆ ไว้เป็นชุดๆ ขึ้นมาแล้วสั่งน้ำร้อนใส่แก้วมาชงและใจดีชงให้ผมแก้วหนึ่งด้วย รู้สึกสดชื่นและหิวในเวลาเดียวกันจึงขอเมนูอาหารมาดู เป็นจังหวะเดียวกับที่เอมี่เข้ามาในร้าน กุนเธอร์เดินเข้าไปหาเพราะเขาอยากกินพุดดิ้งเม็ดเจียในตู้แช่ เขาทราบราคาก่อนหน้านี้แล้วแต่ก็ยังถาม

เอมี่ตอบ “130 รูปี” เขาว่า “แพงไป” ทำให้เอมี่หัวเสีย เธออธิบายอย่างมีอารมณ์ว่าเม็ดเจียซึ่งลักษณะละม้ายเม็ดแมงลักนั้นต้องสั่งมาจากเมืองนอก วัตถุดิบอื่นๆ เธอก็ใช้ของดีแบบออร์แกนิคทั้งนั้น บางร้านชอบโม้ว่าออร์แกนิคแต่ไม่ได้ออร์แกนิคจริง และก็ขายราคาพอๆ กับของเธอ

ผมเห็นท่าไม่ดีจึงเข้าไปขอสั่ง 1 ถ้วยเพื่อให้บรรยากาศงามๆ ยามเช้าคืนกลับมา กุนเธอร์นั้นเสียท่าไปแล้วก็เลยสั่ง 1 ถ้วยเช่นกันเพื่อรักษาฟอร์ม ระหว่างนั่งกินที่โต๊ะผมก็ถือโอกาสอบรมผู้ใหญ่เสียนิดหน่อยว่า “ถ้าคิดว่าของแพงก็ไม่ต้องไปซื้อ แค่นี้ก็จบ จะไปบ่นว่าแพงทำไม” เขาว่า “ที่นี่อินเดีย ไม่น่าจะแพง” ผมจึงบอก “งั้นก็เรื่องของคุณ”

พวกชาวตะวันตกมักเป็นอย่างนี้ ต้องการให้ข้าวของในประเทศโลกที่ 2 โลกที่ 3 ราคาถูกเข้าไว้ พวกเขาจะได้ท่องเที่ยวได้อย่างมีความสุขสบายกระเป๋า ส่วนของพวกเขานั้นแพงได้แพงดีไม่มีใครว่า  

จะกินขนมเป็นอาหารเช้าอย่างเดียวก็ดูแปลกๆ ผมจึงสั่งไข่ต้มมาอีก 2 ฟองและน้ำเปล่า 1 ขวด กุนเธอร์ลอกการบ้านผมอีกตามเคยแต่เขาไม่สั่งน้ำเพราะเห็นว่าราคาแพงกว่าร้านขายของชำ 5 รูปี เรื่องความมัธยัสถ์ของชาวเยอรมันคนนี้จะมีตามมาอีกเรื่อยๆ

นั่งสามล้อถีบลดโลกร้อน

มื้อเที่ยงวันนี้ผมไม่ได้กินเพราะดันงีบหลับตั้งแต่เที่ยงไปตื่นเอาบ่ายแก่ๆ ผมไม่รู้ว่ากุนเธอร์ได้กินหรือเปล่า ตอนเย็นเขามาเคาะประตูห้องและชวนออกไปเดินในย่านตลาด เขาจะหาร้านแว่นเพราะที่นี่ถูกกว่าเยอรมนีอยู่มาก ผมนำเขาเดินทางลัด วัวตัวหนึ่งยืนนิ่งอยู่ พอผมเดินผ่านท่านก็สะบัดหางทักทายฝากคราบไว้ตรงหน้าขา รู้สึกโมโหเพราะผมตั้งใจจะใส่กางเกงตัวนี้อีกสักสองสามครั้งก่อนซัก แต่พอคิดว่าท่านเป็นองค์เทพก็ต้องรีบลบความรู้สึกไปเสีย

ที่แยก Godowlia ผมขอแยกย้ายกับกุนเธอร์ไปหาซื้อเบียร์ซึ่งในเขตเมืองเก่าที่เราพักนั้นห้ามขาย เขากำชับผมว่าอย่าเพิ่งกินมื้อเย็น ให้รอกินด้วยกัน ผมเดินตรงไปยังวงเวียน Girja Ghar แล้วเลี้ยวขวาไปยังถนน Benia Bagh ซึ่งทางนี้สามารถไปสารนาถที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 10 กิโลเมตรได้ ก่อนนี้ผมถามลายแทงกับคนในร้านอาหาร Aadha Aadha มาแล้วแต่ชักไม่มั่นใจว่าร้านขายเบียร์อยู่ตรงไหน เดินไปราวครึ่งกิโลเมตรก็เข้าไปถามในร้านขายของชำ หนุ่มน้อยอายุประมาณ 15 ปีอยู่ในเคาน์เตอร์บอกว่าให้เดินไปอีกประมาณครึ่งกิโลเมตร เพื่อขอบคุณเขาผมซื้อแชมพูขวดละ 115 รูปีเป็นการตอบแทน หนุ่มน้อยถามว่าผมมาจากประเทศอะไร พอบอกไทยแลนด์เขาก็ขอดูเงินไทย ผมล้วงเจอเหรียญ 5 บาทก็ให้เขาไว้เป็นที่ระลึก  

เดินไปอีกราวครึ่งกิโลเมตรก็เจอร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ไม่มีเบียร์ ตัดสินใจซื้อรอยัลชาเลนจ์มา 1 ขวดเล็ก ขนาด 185 มิลลิลิตร ราคา200 รูปี จ่ายเงินรับเหล้ากันผ่านลูกกรงเหมือนกับร้านทองบ้านเรา คนขายบอกว่าต้องเดินไปอีกครึ่งกิโลเมตรกว่าจะถึงร้านขายเบียร์ ผมเดินออกไปได้ไม่กี่เมตรก็ฉุกคิดว่าครึ่งกิโลเมตรแขกอาจจะไกลกว่าครึ่งกิโลเมตรไทย และต่อให้ครึ่งกิโลเมตรจริงเบียร์ที่ได้ก็คงจะหายเย็นตอนกลับไปเปิดดื่ม ห้องพักไม่มีตู้เย็นเสียด้วย จึงเดินกลับไปที่ร้านจำหน่ายสุราขอเปลี่ยนจากขวดขนาด 185 มิลลิลิตรเป็นขวดขนาด 375 มิลลิลิตรโดยจ่ายเงินเพิ่มอีก 200 รูปี คนขายเอากระดาษที่ห่อขวดเล็กอยู่ไปห่อขวดใหญ่แล้วยื่นให้ผ่านลูกกรง เป็นอันว่ามาอินเดียรอบนี้ผมยังไม่ได้ดื่มเบียร์คิงฟิชเชอร์ที่เคยประทับใจเสียที

ชายหนุ่มตีระฆังเป็นจังหวะถี่ๆ ให้เทพเจ้าเบื้องบนได้ยิน

ด้วยความหิว ผมแวะร้านอาหารชื่อ The Hot Kitchen ตรงหัวถนน Benia Bagh แต่ก็สั่งมาแค่ไก่ทันดูรีครึ่งตัว ราคา 200 รูปีเท่านั้น ร้านอยู่บนชั้น2 มีคนเชียร์แขกคอยดักลูกค้าอยู่ชั้นล่างริมถนน แต่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าเลยสักคน คงเพราะยังไม่ถึงเวลาอาหารเย็นของคนอินเดียที่นิยมกินกันดึกดื่นราวสามสี่ทุ่ม ร้านค่อนข้างกว้าง มีหลายโต๊ะ ตกแต่งได้สวยงาม สะอาดสะอ้าน และนั่งสบาย เจ้าของร้านเปิดหนังแขกให้ดู ระหว่างรอไก่ที่ใช้เวลาทำนานมากผมก็ได้หนังแขกนี้ช่วยฆ่าเวลา เป็นฉากบู๊ดุเดือดแต่ตัวละครมีบทร้องเพลงกันครบทุกคน แม้แต่คนที่กำลังจะโดนฆ่าตาย  

ไก่ทันดูรีสีส้มอุดมเครื่องเทศเสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้มกับสลัดผักที่มีหอมใหญ่ มะเขือเทศ แครอท และมะนาวผ่าซีก ด้วยความหิวและไก่ก็อร่อยจริงๆ ผมกินเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว จ่ายเงินและทิปเล็กน้อยให้กับบริกรวัยรุ่นแล้วก็ออกจากร้านเดินยาวไปยังท่าน้ำอัศวเมศ (Dashaswahmedh Ghat) เพื่อพบกับกุนเธอร์ที่บ้านของพราหมน์หนุ่ม

ผมเดินขึ้นไปบนชั้น 2 ของบ้านริมท่าน้ำที่มีหน้าตาคล้ายปราสาทผสมโบสถ์ จากระเบียงโล่งของชั้น 2 สามารถมองแม่น้ำและกิจกรรมแห่งชีวิตได้ในมุมที่รู้สึกถึงความมีอภิสิทธิ์เป็นที่สุด มีคนลั่นระฆังเป็นจังหวะถี่ๆ อยู่บนนี้เพื่อประกอบพิธีบูชาไฟยามย่ำค่ำที่กระทำกันอยู่ตรงท่าน้ำด้านล่าง พาหนะพระศิวะสีดำ 2 องค์นอนเอกเขนกอยู่ข้างๆ กองอุจจาระของตัวเอง กุนเธอร์บอกว่าพราหมณ์หนุ่มยังไม่กลับเข้าบ้าน

แน่นอนว่าบ้านหลังนี้สร้างมานมนามแล้ว การมีบ้านติดกับท่าน้ำสำคัญแห่งกรุงพาราณสีย่อมบ่งบอกถึงฐานะทางสังคมของครอบครัวนี้ได้เป็นอย่างดี ส่วนฐานะทางเศรษฐกิจนั้นตระกูลพราหมณ์ไม่ได้มีชีวิตร่ำรวยหรูหรา หรืออย่างน้อยพวกเขาก็จะไม่ทำตัวร่ำรวยหรูหรา อันจะขัดกับความคาดหวังของชาวบ้านชาวช่องผู้นิยมศรัทธาในพวกเขา นอกจากการปรากฏในพิธีทางศาสนาแล้วผู้เป็นพราหมณ์ก็มักจะเก็บตัว โดยเฉพาะการกินข้าวนอกบ้านนั้นจะพบได้ยากมาก  

ลุงของพราหมณ์หนุ่มเดินขึ้นมาคุยกับเรา แกพักอยู่ที่นี่เช่นกัน ครู่ต่อมาพราหมณ์หนุ่มก็มาสมทบ คุณลุงเดินขึ้นไปยังปีกหนึ่งของปราสาทซึ่งคงจะเป็นห้องพักของแก คุณหลานก็นำพวกเราเดินลงบันได เข้าไปในซอยบังกาลีโตลา และฝ่ากองขี้วัวในตรอกแคบๆ ไฟสลัวๆ ลัดเลาะไปออกถนนJangamwadi แล้วเรียกออโต้ไปใกล้ๆ ท่าน้ำตุลสี (Tulsi Ghat) ราคาเหมา 50 รูปี

พราหมณ์หนุ่มตั้งใจจะพากุนเธอร์ไปร้านอาหารแบบวีแกน (Vegan) เพราะกุนเธอร์แสดงตัวความเป็นวีแกนเต็มขั้นให้เขารับรู้ เขาจึงหาข้อมูลแล้วพาไปที่ร้าน Vegan & Raw Restaurant ซึ่ง Raw ที่แปลว่า “ดิบ” นี้ก็คือขั้นสุดยอดของการเป็นวีแกน นอกจากอาหารต้องออร์แกนิคแล้วยังปรุงได้กับความร้อนประมาณ 40 – 48 องศาเซลเซียสเท่านั้น ต้องไม่ผ่านกระบวนการพาสเจอไรซ์ น้ำตาลและแป้งห้ามขัดสี เป็นต้น  

ระหว่างทางรถติดหนัก เสียงแตรแปร๊นปร๊านไม่หยุดหย่อน กุนเธอร์บ่นว่า “ไม่ง่ายเลยที่จะไปร้านอาหารร้านนี้” ผมแหย่ว่า “ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นวีแกน” เขายิ้มแหยๆ

ร้านอาหารไม่ได้ตั้งอยู่ริมถนนเสียทีเดียวจึงเบาใจเรื่องเสียงแตรรถและฝุ่นควันไปได้บ้าง บรรยากาศร้านเป็นแบบสวน มีฝรั่งหนุ่มสอนเด็กท้องถิ่นทั้งชายหญิงเต้นรำเพลงแจ๊สของ “หลุยส์ อาร์มสตรอง” อยู่มุมหนึ่ง ทำให้ดูน่านั่งเข้าไปอีก

ผมไม่ได้บอกกุนเธอร์ว่ารองท้องมาก่อนแล้วและสั่งแค่สปาเก็ตตีเพสโตซอสกับน้ำผลไม้รวมแบบปั่นไม่ใส่น้ำแข็ง กุนเธอร์สั่งสลัดผัก มันฝรั่งทอด และเบอร์เกอร์เต้าหู้ พราหมณ์หนุ่มไม่ยอมสั่ง เขาบอกว่าไม่หิว แต่ผมพอทราบจากกุนเธอร์ว่าเขาไม่ค่อยมีเงินจึงบอกว่าขอเลี้ยงขอบคุณที่เขาพามากินร้านดีๆ เขาจึงยอมสั่งน้ำผลไม้แบบที่ผมสั่งมา 1 แก้วแค่นั้น ตอนที่สปาเก็ตตี้มาเสิร์ฟผมก็ขอจานช้อนมาอีกชุดแล้วตักสปาเก็ตตี้ให้พราหมณ์หนุ่มราวครึ่งหนึ่ง เขาจึงเลี่ยงไม่กินไม่ได้แล้ว และกุนเธอร์ก็แบ่งมันฝรั่งทอดใส่จานให้เขาด้วย

ยามค่ำที่ริมน้ำคงคา

เหมือนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีและสบายใจกันทุกฝ่าย แต่แล้วเมื่อกุนเธอร์กัดเบอร์เกอร์เต้าหู้เข้าไปนั้นเขาก็ทิ้งกลับลงจานอย่างมีอารมณ์ บอกว่าเต้าหู้ไม่มีรสชาติเลย เขาให้ผมชิมเต้าหู้รสชาติจืดเหมือนกินกระดาษ ผมนึกว่าเขาต้องการแบบนั้นเสียอีก เขาเรียกผู้จัดการร้านมาตำหนิว่าถ้าขายเบอร์เกอร์เต้าหู้ไม่มีรสชาติอย่างนี้ลูกค้าจะไม่กลับมากินอีก ทำไมไม่หมักกับซอสถั่วเหลืองเสียก่อน และสอนนั่นสอนนี่อีกยาวยืด แต่สุดท้ายเขาก็ฝืนยิ้มออกมา แล้วบอกว่า “ผมหวังดีนะ”

ผู้จัดการหนุ่มกล่าวขอโทษ น้อมรับคำติ จะขอนำไปบอกเจ้าของร้าน และแถมให้กุนเธอร์ 1 เมนู กุนเธอร์สั่งเบอร์เกอร์ผักโขมมาแทนตามคำแนะนำของผู้จัดการ ให้ผมชิมอีกก็รู้สึกว่ามีรสชาติกว่าเบอร์เกอร์เต้าหู้ กินเสร็จผู้จัดการก็นำแบบสอบถามมาให้กรอก ผมและพราหมณ์หนุ่มส่งคำตอบอย่างรวดเร็ว ส่วนกุนเธอร์นั้นเขียนในส่วนของความคิดเห็นเพิ่มเต็มยาวเหยียดจนบรรทัดสุดท้าย

ขากลับ โชเฟอร์ออโต้คิดค่าโดยสารแบบเหมา 60 รูปี เขาขับเข้าไปในถนนท่าน้ำอัศวเมศ ตำรวจขวางเอาไว้เพราะถนนนี้ห้ามเข้า แต่พอเห็นว่าหนึ่งในผู้โดยสารคือพราหมณ์หนุ่มตระกูลดังตำรวจก็อนุญาตให้ผ่าน พราหมณ์หนุ่มขอลงก่อนเพื่อซื้อยาให้พ่อของเขา ส่วนพวกเราก็เข้าไปจนถึงหน้าปากซอยบังกาลีโตลา จ่ายค่าโดยสารแล้วก็เดินเข้าเกสต์เฮาส์ ขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้า

ร้านอาหารปิดไปแล้ว กุ๊กจากพุทธคยานั่งคุยอยู่กับบรรดาเด็กในร้านรอให้ถึงเวลานอน พอผมหยิบขวดวิสกี้ออกมาจากกระเป๋าเป้ กุ๊กจากพุทธคยาก็ให้เด็กๆ ไปเอาแก้วและน้ำแข็งมาทันที.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"