ขยายยื่นบัญชีกก.หน่วยรัฐ ขู่บอร์ดมหา'ลัยออกนับพัน


เพิ่มเพื่อน    

    มติ ป.ป.ช.ขยายเวลายื่นบัญชีทรัพย์สิน "กรรมการหน่วยงานรัฐ" เพิ่มเติม มีผลพร้อมกัน 31 ม.ค.62 ถึงคิวประธาน กพฐ.ไขก๊อก "สมพงษ์" เตือนจากนี้ได้เห็น จม.ลาออกว่อนนับพันฉบับ งานมหา'ลัยป่วน 6เดือน-1 ปี
    เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหญ่ เปิดเผยว่า ที่ประชุมกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีมติกรณีเรื่องกำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 102 พ.ศ.2561 จนทำให้มีกรรมการในสภามหาวิทยาลัยลาออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งก่อนหน้านี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติให้ระยะขยายเวลาการบังคับใช้ประกาศดังกล่าว ในตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย, กรรมการสภามหาวิทยาลัย ประธานสภาสถาบันพระปกเกล้า รองประธานสภาสถาบัน และกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า ไปแล้วนั้น 
    ที่ประชุมมีมติเพิ่มเติมให้ขยายเวลาการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน ในส่วนของกรรมการหน่วยงานรัฐ ประกอบด้วย 1.กองทุน ได้แก่ กองทุนการออมแห่งชาติ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันชีวิต กองทุนประกันวินาศภัย กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร กองทุนยุติธรรม กองทุนสงเคราะห์ กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย 2.ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย 
    3.สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้แก่ ประธานกรรมการและกรรมการ ก.ล.ต. เลขาธิการ ก.ล.ต. 4.สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้แก่ ประธานกรรมการ กรรมการ คปภ. และเลขาธิการ คปภ. 5.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ได้แก่ ประธานกรรมการและกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก และผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก 6.สถาบันพระปกเกล้า ได้แก่ ประธานสภาสถาบัน รองประธานสภาสถาบัน กรรมการสภาสถาบัน และเลขาธิการสถาบัน และ7.สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ ได้แก่ นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัย รวมถึงอธิการบดี 
    ทั้งนี้ เพื่อให้มีความเสมอภาคกับตำแหน่งที่ก่อนหน้านี้ได้ขยายเวลาไปแล้ว ดังนั้นจะทำให้มีผลบังคับใช้พร้อมกันคือในวันที่ 31 มกราคม 2562 
    ด้าน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) และผู้อำนวยการ สมศ. ยื่นขอลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่ต้องการที่จะเป็นภาระและยุ่งยากในการยื่นทรัพย์สิน ตามประกาศ ป.ป.ช. เรื่องกําหนดตําแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา 102 พ.ศ.2561 ว่า ไม่ทราบถึงเหตุผลจริงๆ ที่มีการลาออก เพราะการลาออกจากตำแหน่งต่างๆ ใน สมศ. ไม่ต้องมายื่นเรื่องที่ตน แต่ทราบตามข่าวว่าเป็นการลาออก เพราะไม่ต้องการความยุ่งยาก ดังนั้นจึงของดให้ความเห็นในเรื่องนี้ ซึ่งยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่กระทบต่อการประเมินคุณภาพภายนอกรอบ 4 แน่นอน
    เมื่อถามว่า ประกาศ ป.ป.ช.ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการและ ผอ.สมศ.หรือไม่ นพ.ธีระเกียรติกล่าวว่า หากจะพูดถึงผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งใหม่ คงกระทบคณะกรรมการทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะคณะกรรมการ สมศ. ดังนั้นคงต้องรอความชัดเจนจากทาง ป.ป.ช. ว่าจะแก้ไขไปในทิศทางใด แต่การที่มีกรรมการลาออก ตนไม่สามารถไปทำอะไรได้ เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล นอกจากนี้ นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ยังได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งประธาน กพฐ.ด้วย เนื่องจากประธาน กพฐ.เป็นกรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการ สมศ. ที่จะต้องยื่นทรัพย์สินตามประกาศของ ป.ป.ช. อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ใดสนใจที่จะลาออกอีก ก็ยินดีที่จะรับพิจารณา
    นายสมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากนี้ไป 1-2 เดือน รัฐบาลและ ป.ป.ช.จะเห็นปรากฏการณ์การยื่นจดหมายลาออกจากคณะกรรมการต่างๆ และกรรมการสภามหาวิทยาลัยนับพันฉบับ ซึ่งจะทำให้เกิดช่องโหว่ของสถาบันอุดมศึกษาขนาดใหญ่ ส่งผลให้งานหยุดชะงัก ไปไม่น้อยกว่า 6 เดือนถึง 1 ปี กว่าที่จะหากรรมการชุดใหม่ได้เรียบร้อย การที่ ป.ป.ช.ตีความว่านายกสภาและกรรมการสภาฯ เป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กร ซึ่งต้องยื่นทรัพย์สิน เพื่อการตรวจสอบและความโปร่งใส ซึ่งข้อเท็จจริงเราก็ยอมรับว่ากรรมการมหาวิทยาลัยบางแห่งที่เป็นส่วนน้อยเท่านั้นที่มีปัญหาความไม่โปร่งใส แต่ยืนยันว่ามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา  
    อย่างไรก็ตาม การที่ ป.ป.ช.ออกกฎหมายแบบครอบจักรวาล ทำให้คนภายนอกที่ตั้งใจจะเข้ามาช่วยมหาวิทยาลัยไม่กล้าเข้ามา ทั้งๆ ที่รัฐบาลประกาศให้มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งผลิตนวัตกรรม ผลิตองค์ความรู้ และให้ทุกภาคส่วนเข้ามาช่วยสนับสนุนมหาวิทยาลัย แต่กฎหมาย ป.ป.ช.กลับเป็นตัวผลักคนที่มาช่วยมหาวิทยาลัยให้ออกไป ซึ่งจะยิ่งทำให้มหาวิทยาลัยถูกแช่แข็ง ไม่พัฒนา ส่งผลเสียมากกว่าผลดี ส่วนการตรวจสอบความโปร่งใสของกรรมการสภามหาวิทยาลัย เป็นหน้าที่ของสภาคณาจารย์อยู่แล้ว เราควรส่งเสริมให้สภาคณาจารย์เข้มแข็ง มีบทบาทในการตรวจสอบมากขึ้น.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"