
กว่า 100 ปีแล้ว แต่ปัญหาของเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ในประเทศไทย ดูเหมือนยังวนเวียนอยู่กับที่ โดยเฉพาะปัญหาความยากไร้ การขาดแคลนที่ดินทำกิน ถูกฉ้อโกงที่ดิน ถูกขูดรีดค่าเช่านา จนนำไปสู่ข้อพิพาทกับนายทุนและอำนาจรัฐ ผู้นำชาวนาชาวนาไร่ที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิที่ดินทำกินถูกทำร้าย ถูกลอบฆ่า หรือถูกกฎหมายจับโยนเข้าตะราง...เพียงเพื่อขอสิทธิที่ดินทำกินเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องครอบครัวไม่เกิน 5 ไร่-10 ไร่
ขณะที่ที่ดินที่อยู่ในมือของนักการเมืองและกลุ่มทุนรายใหญ่ซึ่งถือครองที่ดินเพื่อสร้างความมั่งคั่งมีตั้งแต่ระดับ 1,000 ไร่ขึ้นไปจนถึง 630,000 ไร่ !!
ที่ดินในมือพรรคการเมืองและกลุ่มทุน
ประเทศไทยมีที่ดินทั้งหมดประมาณ 320 ล้านไร่ แยกเป็นที่ดินของรัฐ (กรมป่าไม้,ราชพัสดุ,สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯลฯ) รวม 190 ล้านไร่ ส่วนที่เหลือประมาณ 130 ล้านไร่เป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ต่างๆ ครอบครองโดยเอกชนและประชาชนทั่วไป อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังพบว่า ประชาชนทั่วประเทศประมาณ 90% ถือครองที่ดินโดยเฉลี่ยน้อยกว่า 1 ไร่ ส่วนที่เหลือจำนวน 10% เท่านั้นที่ถือครองที่ดินมากกว่า 100 ไร่
ขณะที่ข้อมูลจากการขึ้นทะเบียนคนจนทั่วประเทศของศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ(ศตจ.)ในปี 2547 พบว่า มีคนจนและเกษตรกรรายย่อยมาขึ้นทะเบียนเพื่อขอรับความช่วยเหลือด้านที่ดินทั้งหมดประมาณ 4.8 ล้านราย ผ่านการคัดกรอง (ใช้เกณฑ์รายได้ต่ำกว่า 20,000 บาทต่อปี) และยืนยันต้องการความช่วยเหลือ จำนวน 2.2 ล้านราย แยกเป็นไม่มีที่ดินทำกิน จำนวน 889,022 ราย มีที่ดินทำกินแต่ไม่เพียงพอ จำนวน 517,263 ราย และมีที่ดินแต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ 811,279 ราย
มูลนิธิชีวิตไท (Local Act) เปิดเผยข้อมูลจากบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนักการเมืองที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2558 และข้อมูลจากสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศ กรมที่ดิน พบว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 2554-2557 จำนวนทั้งหมด 530 ราย ถือครองที่ดินรวมกันทั้งสิ้น 8,388 แปลง รวมเนื้อที่ 68,765 ไร่เศษ มูลค่ารวม 18,093 ล้านบาทเศษ
เฉลี่ย ส.ส. 1 ราย ถือครองที่ดิน 129.74 ไร่...!!
พรรคการเมืองที่ถือครองที่ดินมากที่สุด อับดับ 1 พรรคเพื่อไทย จำนวน ส.ส. 284 ราย ถือครองที่ดินรวมกัน 31,797 ไร่ มูลค่า 8,270 ล้านบาทเศษ (นายอำนวย คลังผา ส.ส.ลพบุรี ถือครองมากที่สุด จำนวน 2,084 ไร่) อันดับ 2 พรรคประชาธิปัตย์ จำนวน ส.ส. 167 ราย ถือครองที่ดินรวมกัน 27,074 ไร่ มูลค่า 6,070 ล้านบาทเศษ (นางอัญชลี เทพบุตร ส.ส.ภูเก็ต ถือครองมากที่สุด จำนวน 4,115 ไร่) อันดับ 3 พรรคภูมิใจไทย จำนวน ส.ส. 34 ราย ถือครองที่ดินรวมกัน 5,959 ไร่ มูลค่า 1,274 ล้านบาทเศษ (นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี ถือครองมากที่สุด จำนวน 1,852 ไร่)
ส่วนกลุ่มทุนที่ถือครองที่ดินมากที่สุด อันดับ 1 คือ ตระกูลสิริวัฒนภักดี (ธุรกิจเครื่องดื่มและอสังหาริมทรัพย์) มีที่ดินทั่วประเทศรวม 630,000 ไร่ อันดับ 2 ตระกูลเจียรวนนท์ (เครือซีพี) รวม 200,000 ไร่ อันดับ 3 บมจ.สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม 44,000 ไร่ และลดหลั่นกันไปตั้งแต่ระดับที่ 4-10 ประมาณ 10,000-5,000 ไร่
รวมที่ดินในมือของกลุ่มทุนใหญ่ 10 อันดับแรกของประเทศไทยถือครองรวมกันประมาณ 958,400 ไร่ !!
ย้อนรอยชาวนาเช่าที่ดินทุ่งรังสิต
จากการศึกษาเรื่อง “ประวัติคลองรังสิต การพัฒนาที่ดินและผลกระทบต่อสังคม พ.ศ.2431-2457” โดยสุนทรีย์ อาสะไวย์ (สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : พฤศจิกายน 2530) พบว่า ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นช่วงที่การเพาะปลูกข้าวเพื่อการค้ากำลังขยายตัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงสนับสนุนให้มีการขุดคลองขึ้นในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในบริเวณทุ่งรังสิต เพื่อเป็นเส้นทางการค้า การลำเลียงข้าว และขยายพื้นที่เพาะปลูกออกไป

การขุดคลองในทุ่งรังสิตนั้น กระทรวงเกษตราธิการให้สัมปทานการขุดคลองแก่บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม ซึ่งผู้ร่วมหุ้นประกอบด้วย เจ้านาย ข้าราชการ พ่อค้าไทยและต่างชาติ ได้รับสัมปทานการขุดคลองรังสิต 25 ปี (พ.ศ.2431-2456) เงื่อนไขที่สำคัญคือ บริษัทจะได้รับพระราชทานที่ดิน 2 ฝั่งคลองที่บริษัทขุดคลองเข้าไปถึง ฝั่งละ 40 เส้น (1 เส้นยาว 40 เมตร) หรือมีความยาวฝั่งละ 1,600 เมตร เมื่อบริษัทขุดคลองผ่านไปในท้องทุ่งใด บริษัทก็จะได้ที่ดิน 2 ฝั่งคลองมีความยาวรวมกัน 3,200 เมตร (ยกเว้นที่ดินที่มีผู้จับจองโดยถูกต้องอยู่ก่อนแล้ว)
บริษัทขุดคลองแลคูนาสยามเริ่มขุดคลองในทุ่งรังสิตในปี พ.ศ. 2433-2457 ได้คลองขนาดใหญ่ 3 สาย คือ 1.คลองรังสิตประยุรศักดิ์ 2.คลองหกวาสายล่าง 3.คลองหกวาสายบน และคลองซอยต่างๆ ที่แยกออกจากคลองใหญ่ เช่น คลองซอยฝั่งใต้คลองรังสิต 18 สาย คลองซอยฝั่งใต้คลองหาวาสายล่าง 14 สาย ฯลฯ
ในปี พ.ศ.2446 รายงานของบริษัทระบุว่า เมื่อถึงปีนี้บริษัทขุดคลองได้รวมทั้งสิ้น 668 กิโลเมตร (16,700 เส้น) ซึ่งบริษัทจะจับจองที่ดินได้ตามสัมปทานจำนวน 840,000 ไร่ และเริ่มนำที่ดินมาขายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2440 เป็นต้นไป (ขายจริงตั้งแต่ปี 2435) ราคาขายที่ดินตั้งแต่ไร่ละ 2-25 บาท ตามที่ตั้งและทำเล
ผู้ที่ซื้อที่ดินส่วนใหญ่ประมาณ 80-90 % คือ เจ้านาย ข้าราชการ (เรียกในสมัยนั้นว่า “ผู้มีบรรดาศักดิ์”) บาทหลวง และพ่อค้าจีนในกรุงเทพฯ เช่น พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นทิวากรณ์วงศ์ประวัติ ซื้อที่ดินรวม 17,945 ไร่ พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ รวม 7,000 ไร่ บริษัทลำไทร รวม 9,000 ไร่ ฯลฯ ซึ่งจากหลักฐานการซื้อขายของบริษัทระหว่างปี 2435-2444 ระบุว่ามีผู้ที่ซื้อที่ดินรวมกัน 694 ราย มีที่ดินรวมกัน 235,822 ไร่ (เฉพาะผู้ที่ซื้อที่ดินขนาด 1,000 ไร่ขึ้นไป มี 43 ราย รวมเนื้อที่ 121,031 ไร่)ที่ดินที่มีการซื้อขายนี้ ส่วนใหญ่เจ้าของมักจะจ้างลูกจ้าง (รวมทั้งทาส) ให้ทำนา หรือปล่อยที่ดินให้ชาวนาเช่า หรือขายต่อเมื่อได้ราคาดี
ดังที่พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงกล่าวตอนหนึ่งว่า “ได้ใคร่ครวญและทดลองการค้าขายมาหลายประการแล้ว เห็นด้วยเกล้าว่าบันดากิจใดๆ ในกรุงสยามสำหรับผู้ดีไทยที่ควรจะทำเพื่อหาเลี้ยงชีพ ฤาเพื่อใช้ทุนให้สืบผลอันมั่นคงในปัจจุบันนี้ ยากจะมีดีเสมอการค้าที่ดิน และที่ดินในสมัยนี้ ก็ยากจะมีผลเสมือนมีที่นาให้ชาวนาเช่าทำ ด้วยราคาข้าวขึ้นอยู่เสมอ...”
ส่วนชาวนาจริงๆ นั้นเล่า โอกาสที่จะได้เป็นเจ้าของที่นาแทบจะไม่มี เพราะบริษัทจะขายที่ดินเป็นแปลงใหญ่ ขนาด 40-50 ไร่ จนถึงขนาด 120 ไร่ขึ้นไป ชาวนาจนๆ จึงไม่เงินซื้อที่นา หรือหากจะบุกเบิกที่นาเพื่อทำกินเอง 5 ไร่-10 ไร่ ก็มักจะมีข้อพิพาทกับบริษัทขุดนาฯ หรือผู้ที่จับจองหรืออ้างว่ามีใบจองอยู่ก่อน จนต้องเป็นคดีขึ้นโรงขึ้นศาล ที่รุนแรงก็ถูกอำนาจอิทธิพลขับไล่หรือถูกเฆี่ยนตี จุดไฟเผาโรงเรือน
“ราษฎรพวกนั้นมีความกลัวผู้มีบรรดาศักดิ์ดังหนูกับแมว ราษฎรพูดว่านาซึ่งได้ทำเป็นฟางไว้แล้วใน พ.ศ.2437 นี้ต้องถูกริบหาได้ทำนาในที่นั้นไม่ ผู้ที่ดื้อดึงไม่ออกจากที่นา ผู้มีบรรดาศักดิ์จับตัวมาเฆี่ยนเสียก็มี คนที่ขืนอยู่ชั้นแต่กระบือก็ไม่มีทางออกจากโรงได้” (จากรายงานของข้าหลวงที่ลงไปตรวจสอบข้อพิพาทในที่ดินบริเวณคลองรังสิตกับคลองหกวาสายล่างในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2437 บันทึกเอาไว้)
ดังนั้นชาวนาส่วนใหญ่ในทุ่งรังสิตจึงเป็นชาวนาเช่าที่ดินหรือเป็นลูกจ้างทำนา แต่ก็ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ เพราะค่าเช่าที่นามีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ เช่น ช่วงก่อนปี พ.ศ.2448 ค่าเช่าที่นาในเขตรังสิตตกประมาณไร่ละ 1-2 บาท คิดเป็นร้อยละ 12-24 ของผลผลิตต่อไร่ (ราคาข้าวเกวียนละ 25 บาท / ทำนา 3 ไร่ได้ข้าวประมาณ 1 เกวียน) และหลังปี พ.ศ.2448 ค่าเช่าเพิ่มขึ้นเป็นไร่ละ 3 บาท - 4.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 37-54 ของผลผลิตต่อไร่
นอกจากนี้ยังมีภาษีอื่นๆ อีกยุบยับ เช่น ภาษีค่านา จากเดิมไร่ละ 37 สตางค์ ในปี พ.ศ.2449 เพิ่มเป็นไร่ละ 1.25 บาท ฯลฯ รวมทั้งปัญหาการทำนาไม่ได้ผล ขาดเงินทุนในการทำนา ต้องกู้หนี้ยืมสินจากพ่อค้าข้าว หรือถูกพ่อค้ากดราคารับซื้อข้าว เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวได้ก็ต้องนำข้าวเปลือกหรือนำเงินไปชำระหนี้สินและค่าเช่านา วนเวียนเป็นงูกินหาง ชาวนาตัวจริงจึงไม่มีเงินพอจะซื้อที่นา ต้องเช่าที่นาหรือเป็นลูกจ้างทำนาตลอดปีตลอดชาติ และสืบทอดมรดกความยากจนมาจนถึงชั้นลูกหลาน
ปัจจุบันที่นาในย่านรังสิตมีการซื้อขายเปลี่ยนมือมาหลายทอด ที่ดินมีราคาพุ่งสูงขึ้น แต่กรรมสิทธิ์ยังอยู่ในมือเจ้าของที่ดินรายใหญ่ ที่นากลายเป็นหมู่บ้านจัดสรร โรงงานอุตสาหกรรม ซุปเปอร์สโตร์ ศูนย์การค้า สนามกอล์ฟ ฯลฯ ลูกหลานชาวนาในทุ่งรังสิตยังคงยากไร้ หลายครอบครัวยังเป็นชาวนาไร้ที่ดิน !!
ดังตัวอย่างที่ตำบลพืชอุดม อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่ดินในทุ่งรังสิตตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันตำบลพืชอุดมมีทั้งหมด 9 หมู่บ้าน จำนวน 961 ครัวเรือน ประชากรประมาณ 4,800 คน ส่วนใหญ่มีอาชีพทำการเกษตร คือ ทำนา ทำไร่ และรับจ้างทั่วไป ส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ต้องเช่าที่ดินวัดและเอกชนทำกินและปลูกสร้างที่อยู่อาศัย โดยมีผู้ที่เดือดร้อนไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองจำนวน 873 ครัวเรือน
กฎหมายจำกัดการถือครองที่ดินไม่เกิน 50 ไร่ฉบับแรกของประเทศถูกทำแท้ง !!
ในปี พ.ศ.2496 รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เสนอ “ร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรจัดที่ดินแห่งชาติ พ.ศ.24...” มีสาระสำคัญคือ การจำกัดการถือครองที่ดิน เช่น 1.ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมไม่เกิน 50 ไร่ 2.ที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมไม่เกิน 10 ไร่ 3.ที่ดินเพื่ออยู่อาศัยไม่เกิน 5 ไร่ และให้ผู้ที่ถือครองที่ดินเกินจำหน่ายที่ดินส่วนเกินภายใน 1 ปี
แต่ความพยายามของจอมพล ป. นายกรัฐมนตรีไม่เป็นผล เกิดกระแสคัดค้านในกลุ่มเจ้าที่ดินที่เสียผลประโยชน์ และ ส.ส. จนรัฐบาลต้องยอมนำร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวไปรวมกับร่างประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ.2504 ขณะเดียวกันจอมพล ป.ได้ออกแถลงการณ์ในวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2497 มีเนื้อความตอนหนึ่งว่า...
“อาชีพการค้าที่ดินและกว้านซื้อที่ดินไว้มากเกินสมควร เพื่อค้ากำไรก็ดีหรือการจับจองที่ดินไว้รอการสร้างถนน สร้างชลประทาน เพื่อหวังผลจะขายหากำไรก็ดี ย่อมเป็นอุปสรรคแก่ผู้ที่ต้องการที่ดินประกอบอาชีพโดยสุจริต นับว่าเป็นภัยต่อประเทศชาติ ก่อให้เกิดความปั่นป่วน เดือดร้อนแก่ราษฎรจำนวนหลายล้านครอบครัว และเป็นการขัดกับนโยบายของรัฐบาลที่พยายามจะจัดสรรให้ราษฎรทุกครอบครัวมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินเพื่อสร้างบ้านเรือน และประกอบการทำมาหากินของตนเองต่อไปอย่างจริงจัง”
แต่ก่อนที่กฎหมายจะได้บังคับใช้ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ยึดอำนาจจากจอมพล ป. ในปี พ.ศ.2500 และหลังจากนั้นจึงได้มีการยกเลิกการจำกัดการถือครองที่ดินดังกล่าว โดยคณะปฏิวัติให้เหตุผลว่า “เป็นการจำกัดโดยไม่สมควรและเป็นเหตุบ่อนทำลายความเจริญก้าวหน้าในทางเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และส่งผลให้เสียหายแก่การเศรษฐกิจของประเทศ”
นับแต่นั้นกฎหมายที่จะจำกัดการถือครองที่ดินฉบับแรกและเป็นฉบับเดียวของประเทศไทยจึงถูกทำแท้งก่อนที่จะได้เกิด !!
การลุกขึ้นสู้ของชาวนาชาวไร่
ภายหลังการโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ชาวนา ชาวไร่ และเกษตรกรที่ยากจนได้รวมตัวกันในนาม “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย” มีเป้าหมายในการขับเคลื่อน คือ “ที่ดินต้องเป็นของผู้ถือคันไถ กฎหมายต้องเป็นธรรม"

ประเด็นการเคลื่อนไหวที่สำคัญ คือ การผลักดันให้มีการบังคับใช้ “พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านา พ.ศ.2517” และ “พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518” เนื่องจากปัญหาที่สำคัญของชาวนาชาวไร่ที่นำไปสู่ความยากจนข้นแค้นก็คือ การไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ต้องกู้หนี้ยืมสิน ราคาข้าวตกต่ำ นำที่ดินไปจำนองนายทุนจนหลุดมือ หรือโดนโกงที่ดิน ต้องเช่าที่ดินทำกินโดยไม่เป็นธรรม ถูกขูดรีดค่าเช่า เช่น ในภาคเหนือชาวนาต้องจ่ายค่าเช่าเป็นผลผลิตครึ่งหนึ่งให้แก่เจ้าของที่นา ขณะที่ที่ดินส่วนใหญ่อยู่ในมือของนายทุนท้องถิ่นเพียงไม่กี่ราย
นอกจากนี้ในช่วงปี 2517 ชาวนา ชาวไร่หลายจังหวัด รวมทั้งนักศึกษา กรรมกร และประชาชน ได้ร่วมชุมนุมเรียกร้องที่ท้องสนามหลวงหลายครั้ง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้แก่ชาวไร่ ชาวนา โดยเฉพาะปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน มีการเดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2517 เพื่อเจรจากับนายกรัฐมนตรี และต่อมานายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายกฯ ได้ลงนามให้สัญญาแก้ไขปัญหาให้แก่ชาวนารวม 9 ข้อ
เช่น 1.รัฐบาลจะออกคำสั่งให้ทางจังหวัดจัดการหาที่ดินทำกินให้ชาวนาชาวไร่ที่ไม่มีที่ทำกินให้ได้เข้าทำกินภายในปี 2518 อาจจะเป็นที่ดินเดิมที่ตนเคยมีกรรมสิทธิ์หรือทางจังหวัดจะจัดหาให้ 2. รัฐบาลจะประกาศผลการสอบสวนในเรื่องที่ดินว่าที่ดินนั้นนายทุนได้มาโดยชอบธรรมหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการช่วยเหลือชาวนาชาวไร่สอบสวนมาให้ชาวนาชาวไร่ทราบภายในสิ้นปี 2517 และรัฐบาลจะพิจารณาสั่งการโดยเร็ว ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าขบวนการชาวนาชาวไร่โดยการสนับสนุนของนักศึกษาและประชาชนจะรวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง แต่กลุ่มผู้ที่เสียผลประโยชน์ เช่น นายทุนท้องถิ่นที่ถือครองที่ดินจำนวนมาก รวมทั้งฝ่ายอำนาจรัฐที่หวั่นกลัวการเคลื่อนไหวของพลังมวลชน ได้ใช้อิทธิพลมืดลอบสังหารผู้นำกลุ่มต่างๆ ทั้งชาวนา ชาวไร่ นักศึกษา กรรมกร นักการเมือง เฉพาะผู้นำชาวนาถูกสังหารไปนับสิบคน เช่น ‘อินถา ศรีบุญเรือง’ ผู้นำชาวนาที่จังหวัดเชียงใหม่ และ ‘ใช่ วังตะกู” ประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยคนแรก
การลอบสังหารและทำร้ายผู้นำฝ่ายประชาชนที่ฝ่ายอำนาจรัฐมองว่าเป็น “ฝ่ายซ้าย” ยังมีอย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2517-2519 จนนำไปสู่การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จึงทำให้นักศึกษา ประชาชน ชาวนา ชาวไร่ ต้องหนีเข้าป่าไปร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ขณะที่ผู้นำสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยคนสุดท้าย คือ ‘จำรัส ม่วงยาม’ถูกลอบยิงเสียชีวิตที่จังหวัดระยองในปี 2522 นับแต่นั้นการต่อสู้ของชาวนาชาวไร่ก็แผ่วลง...

นับแต่การพัฒนาที่ดินในทุ่งรังสิตในปี พ.ศ.2431 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 130 ปี หรือกว่า 1 ศตวรรษ แต่ปัญหาของชาวนาชาวไร่ และการกระจายการถือครองที่ดินยังเป็นปัญหาหลักของสังคมไทย ชาวไร่ชาวนาที่ยากไร้ยังคงขาดแคลนที่ดินทำกิน ต้องบุกเบิกที่ดินรกร้างเข้าไปทำกินในเขตป่า แต่ก็ต้องถูกขับไล่หรือถูกจับกุมดำเนินคดี หรือถูกทางราชการประกาศเขตพื้นที่ป่าทับที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยเดิมทำให้เกิดความเดือดร้อน
ขณะเดียวกันในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ชาวนา ชาวไร่ และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของรัฐในด้านต่างๆ เช่น ผลกระทบจากนโยบายป่าไม้แห่งชาติ พ.ศ.2528 เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าเศรษฐกิจ ทำให้มีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ป่า ผลกระทบจากโครงการจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้ในเขตป่าสงวนเสื่อมโทรมหรือ ‘คจก.’ ในปี 2534 โดยนำป่าสงวนฯ ไปให้เอกชนเช่าปลูกป่ายูคาลิปตัส ผลกระทบจากการสร้างเขื่อน ฯลฯ โดยกลุ่มเกษตรกรผู้ที่เดือดร้อนรวมตัวกันเป็นเครือข่ายต่างๆ ที่รู้จักกันดี เช่น สมัชชาคนจน (จัดตั้งในปี 2538) เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย และปัจจุบันมีเครือข่ายที่เข้มแข็งคือ “ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม” มีสมาชิกเครือข่ายที่เดือดร้อนเรื่องที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยทั้งในเมืองและชนบท เช่น สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) เครือข่ายสลัม 4 ภาค กลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล ฯลฯ
ประยงค์ ดอกลำไย ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาเรื่องการขาดแคลนที่ดินทำกินของเกษตรกรไทยยังไม่คลี่คลาย แม้ว่าสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยจะลุกขึ้นมาต่อสู้ตั้งแต่เมื่อปี 2517 หรือเป็นเวลา 44 ปีมาแล้ว แต่ปัญหาก็ยังเหมือนเดิม โดยเฉพาะกฎหมาย 2 ฉบับ คือพ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา พ.ศ. 2517 และ พ.ร.บ.ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 โดย พ.ร.บ.ฉบับแรกไม่ถูกบังคับใช้เพราะมีเนื้อหาให้การคุ้มครองผู้เช่า คือชาวนาชาวไร่ เจ้าของที่ดินจึงพยายามไม่ให้มีการใช้กฎหมายนี้ เพราะตัวเองเสียผลประโยชน์
“ส่วน พ.ร.บ. ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งมีเป้าหมาย 2 ประการ คือ ให้รัฐจัดซื้อที่ดินเอกสารสิทธิ์มาจัดสรรให้เกษตรกร แต่ปรากฏว่า 44 ปีที่ผ่านมา รัฐสามารถซื้อที่ดินนำมาจัดสรรได้เพียง 10,000 ไร่ต่อปี รวมแล้วจนถึงปัจจุบันซื้อแล้ว 4.5 ล้านไร่ จากที่ดินที่มีโฉนด 37 ล้านฉบับ หากยังดำเนินการเช่นนี้คงจะต้องใช้เวลา 3,200 ปี จึงจะกระจายการถือครองที่ดินสู่เกษตรกรผู้ยากไร้ได้สำเร็จ” ประยงค์ยกตัวอย่าง
นอกจากนี้ปัญหาการกระจุกตัวของที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ส่งผลให้คนไทยจำนวนอย่างน้อย 50 ล้านคน หรือร้อยละ 76 ของคนไทยทั้งหมด ไม่สามารถเข้าถึงที่ดินที่ทำกินที่มีเอกสารสิทธิ์ จึงเป็นแรงกดดันและจูงใจให้คนที่ไม่มีที่ดินตัดสินใจเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐประเภทต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีชุมชนท้องถิ่นและชุมชนชาติพันธุ์ต่างๆ เช่น บนยอดดอยสูง และในเกาะต่างๆ ในภาคใต้ถูกประกาศเป็นเขตป่าสงวน ป่าอนุรักษ์ ทับที่ดินของบรรพบุรุษอย่างน้อย 2,700 ชุมชน เนื้อที่ประมาณ 5.9 ล้านไร่ โดยทุกวันนี้ชุมชนกำลังเผชิญปัญหาการถูกไล่รื้อทวงคืนผืนป่า ซึ่งเป็นสถานการณ์วิกฤตและรุนแรงขึ้นตามลำดับ
ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ที่ดินในประเทศไทยมี 320 ล้านไร่ ซึ่งเพียงพอต่อการอยู่อาศัยและทำกินของทุกครัวเรือน แต่ปัญหาเกิดจากกฎหมายที่ดิน เพราะเมื่อใช้กฎหมาย คนที่ไม่มีโฉนดกลายเป็นผู้ที่ไม่มีที่ดิน ต่อมาเมื่อมีกฎหมายป่าสงวนแห่งชาติและกฎหมายอุทยานแห่งชาติก็ประกาศทับที่ประชาชนอีก ขณะที่การประกาศของสำนักงานปฏิรูปที่ดินหรือ ส.ป.ก. ก็เกิดปัญหามากมาย เช่น นายทุนเข้าไปลงทุนในแหล่งที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ เข้าไปซื้อที่ดินจากชาวบ้านที่ยากจนและขาดเงิน ดังนั้นจึงถึงเวลาที่ต้องแก้ไขกฎหมายและเน้นทำให้ที่ดินเป็น “ที่ดินทำกิน” ไม่ใช่ “ที่ดินทำขาย”
“เราจึงควรหาทางออก ซึ่งจะเริ่มต้นจากการให้โอกาส โดยการกระจายการถือครองที่ดิน เช่น ใช้มาตรการภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า การจัดการที่ดินแบบโฉนดชุมชน หรือธนาคารที่ดิน คือรัฐไปซื้อที่ดินกลับมาแล้วจัดสรรให้ชาวบ้าน” ดร.ปริญญากล่าวทิ้งท้าย

กฎหมาย 4 ฉบับ...สู่การปฏิรูปที่ดินไทย !!
เผยที่ดินรกร้างทั่วประเทศสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจปีละกว่า 120,000 ล้านบาท
ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินเพื่อทำกินและเป็นที่อยู่อาศัยเรื้อรังมานานนับร้อยปี จนถึงวันนี้ปัญหาก็ยังไม่คลี่คลายลงไป ชาวไร่ ชาวนาที่ยากจนต้องเข้าไปบุกเบิกที่ดินทำกินในที่รกร้าง หรือที่ดินว่างเปล่าที่ชาวบ้านเคยใช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่กลับพบว่าที่ดินสาธารณะนั้นถูกขบวนการฉ้อฉลออกเอกสารสิทธิ์ครอบครองแล้ว ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างชาวบ้านกับนายทุนที่ครอบครองที่ดิน รวมทั้งข้อพิพาทในที่ดินของรัฐ จนชาวบ้านต้องถูกจับกุมดำเนินคดีไปแล้วหลายราย
เช่น ในปี 2551 มีผู้ถูกดำเนินคดีทั้งหมด 361 ราย รวม 143 คดี เป็นคดีแพ่ง 140 ราย รวม 87 คดี คดีอาญา 221 ราย รวม 56 คดี
จากรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินฯ สภาผู้แทนราษฎร ปี 2553 ระบุว่า มีประชาชนอยู่ในเขตสงวนหวงห้ามที่ดินของรัฐประเภทต่าง ๆ เช่น ป่าสงวนแห่งชาติประมาณ 450,000 ราย เนื้อที่ประมาณ 6.4 ล้านไร่ ป่าอนุรักษ์ (อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ เขตห้ามล่าสัตว์ป่า) จำนวน 185,916 ราย เนื้อที่ 2,243,943 ไร่ ที่ราชพัสดุ จำนวน 161,932 ราย เนื้อที่ประมาณ 2,120,196 ไร่ ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน เนื้อที่ประมาณ 1,154,867 ไร่ ฯลฯ
นอกจากนี้จากการศึกษาของมูลนิธิสถาบันที่ดิน พบว่า ที่ดินที่มีการครอบครองโดยประชาชนทั่วไป 120 ล้านไร่ มากกว่าร้อยละ 90 ของที่ดินจำนวนนี้กระจุกตัวอยู่ในมือของคนเพียงร้อยละ 10 หรือประมาณ 6 ล้านคน (ประชากรทั้งประเทศประมาณ 65 ล้านคน) และยังพบอีกว่า 70 % ของที่ดินที่มีการถือครองในประเทศไทยถูกปล่อยทิ้งไว้ให้รกร้างว่างเปล่า เพื่อรอขายหรือเก็งกำไร โดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่ หรือใช้ประโยชน์ไม่ถึง 50% ประเมินความสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณปีละ 127,384 ล้านบาท
จากปัญหาที่ดินดังกล่าวนี้ ตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เครือข่ายภาคประชาชนจึงได้ร่วมกันผลักดันให้มีการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ เพื่อเป็นการปฏิรูปที่ดินในประเทศไทย คือ 1.ร่าง พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม 2.ร่าง พ.ร.บ.ธนาคารที่ดิน 3.ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า และ 4.ร่าง พ.ร.บ.สิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบโฉนดชุมชน โดยร่าง พ.ร.บ.แต่ละฉบับมีความคืบหน้าดังนี้
1.พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม พ.ศ.2558 ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2558 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2559 เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนคนยากไร้ส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่ต้องถูกจำคุกเพราะไม่มีเงินประกันตัว เพราะทุกขั้นตอนของการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต้องมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น เช่น ค่าทนาย ค่าธรรมเนียมศาล ค่าพิสูจน์พยานหลักฐานต่างๆ ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกทั้งประชาชนจำนวนไม่น้อยมีอุปสรรคในการเข้าถึง “ความยุติธรรม” และขาดความรู้เรื่องกฎหมาย เรื่องสิทธิประชาชน
“โดยที่กองทุนยุติธรรมตามระเบียบกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยกองทุนยุติธรรม พ.ศ. 2535 มีงบประมาณที่จํากัด ประกอบกับไม่มีความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ทําให้กองทุนไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี และให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้อย่างทั่วถึง เสมอภาค และเป็นธรรม ทําให้เกิดความเหลื่อมล้ำของประชาชน ดังนั้น สมควรกําหนดให้กองทุนมีฐานะเป็นนิติบุคคล เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสําหรับช่วยเหลือประชาชนในการดําเนินคดี การขอปล่อยชั่วคราว ผู้ต้องหาหรือจําเลย การถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน และการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน จึงจําเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้” เจตนารมณ์ในการออก พ.ร.บ.ฉบับนี้ระบุ
2.ร่าง พ.ร.บ.ธนาคารที่ดิน พ.ศ...... จากปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกินของเกษตรกรรายย่อยและประชาชนที่ยากจน ปัญหาการกระจุกตัวของการถือครองที่ดิน การเก็งกำไรที่ดิน เป็นเหตุให้ที่ดินถูกทิ้งร้างไม่ทำประโยชน์หรือใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ และปัญหาการสูญเสียที่ดินที่เหมาะสมสำหรับการทำเกษตรกรรม เครือข่ายภาคประชาชนจึงเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจัดตั้งธนาคารที่ดินเป็นองค์กรในการสนับสนุนการเข้าถึงที่ดินของเกษตรกรและประชาชนที่ยากจน โดยให้เกษตรกรและประชาชนกู้ยืมเพื่อซื้อที่ดิน ไถ่ถอน รวมถึงให้ธนาคารที่ดินซื้อที่ดิน เวนคืนที่ดิน เพื่อนำที่ดินมาจัดสรรให้แก่ประชาชนในลักษณะการซื้อหรือเช่า
ความคืบหน้า มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2554 และแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ.2559 กำหนดให้มีการจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรมและยั่งยืน มีการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างเหมาะสม และจะจัดตั้งธนาคารที่ดินขึ้นมาภายในปี 2562
อย่างไรก็ตาม การจัดตั้งธนาคารที่ดินยังมีความล่าช้า เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ธนาคารที่ดิน พ.ศ......โดยสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน เพื่อนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและนำเสนอสภานิติบัญญัติเพื่อพิจารณาต่อไป
ขณะที่ ประยงค์ ดอกลำไย ผู้แทนภาคประชาชน ให้ความเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับประชาชนกับร่าง พ.ร.บ.ของสถาบันฯ มีความใกล้เคียงกัน แต่มีปัญหาในเรื่องรูปแบบขององค์กร คือของภาคประชาชนอยากให้เป็นในรูปแบบองค์กรอิสระ แต่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้อยากให้เป็นในรูปแบบรัฐวิสาหกิจ รูปแบบคล้ายกับ ธ.ก.ส. หรือธนาคารออมสิน ซึ่งเปิดให้มีการถือหุ้น ซื้อขายหุ้นด้วย
“เมื่อมีการซื้อขายหุ้นก็ต้องมีการทำธุรกิจ ก็ต้องแสวงหากำไร ซึ่งจะขัดกับหลักการของธนาคารที่ดินที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ก็จะกลายเป็นองค์กรที่มาแสวงหากำไรจากเกษตรกร ประการที่ 2 คือ เรื่องของการใช้คำว่า ‘สินเชื่อ’ ก็จะนำไปสู่การให้ผู้ใช้บริการเป็นลูกค้า เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใช้บริการเจ๊ง สถาบันฯ ก็เจ๊งด้วย ดังนั้นความสัมพันธ์ของผู้ใช้บริการกับธนาคารควรเป็นในรูปแบบเพื่อนหรือหุ้นส่วน” ประยงค์ให้ความเห็น
3.ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.ได้ผ่านร่าง ‘พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง’ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดย พ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป เช่น ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมมูลค่า 50 ล้านบาทขึ้นไป จัดเก็บภาษีไม่เกิน 0.2% ของราคาประเมิน ที่ดินเพื่อการพาณิชยกรรม เก็บภาษีไม่เกิน 2% และที่ดินรกร้างว่างเปล่า อัตราภาษีอยู่ระหว่าง 0.3-1.5% ตามราคาประเมิน และเพิ่มขึ้น 0.3% ทุกๆ 3 ปี หากที่ดินว่างเปล่าไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ แต่รวมแล้วไม่เกิน 3 %
ขณะที่ประยงค์เห็นว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่มีเจตนารมณ์ในการกระจายการถือครองที่ดิน แต่เป็นการเพิ่มรายได้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการปรับปรุงเพดานภาษีบำรุงท้องที่เดิมให้สูงขึ้น แต่สิ่งที่ประชาชน คนยากจน เกษตรกรรายย่อยอยากเห็น คือการเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า ไม่ใช่ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับนี้
ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้าของภาคประชาชน เสนอหลักการให้ใช้มาตรการทางภาษีเพื่อให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินโดยกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า สำหรับผู้ที่ครอบครองที่ดินเกิน 50 ไร่ ขึ้นไป โดยพิจารณาอัตราภาษีจาก 2 เงื่อนไข คือ 1. ประเภทการใช้ประโยชน์ และ 2.ขนาดการถือครองที่ดิน โดยใช้ฐานภาษีและการคำนวณภาษีจากมูลค่าของที่ดินทั้งหมดซึ่งได้จากการประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน และนำรายได้จากการจัดเก็บภาษีร้อยละ 70 ไปสนับสนุนธนาคารที่ดิน
เช่น ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมขนาด 50-100 ไร่ จัดเก็บภาษี 0.50% ที่ดินที่ทิ้งร้างไม่ได้ทำประโยชน์ 50-100 ไร่ จัดเก็บ 1%, 100-500 ไร่ จัดเก็บ 1.25%, 500-1,000 ไร่ จัดเก็บ 1.50% และมากกว่า 1,000 ไร่ขึ้นไป จัดเก็บ 2% และหากมิได้มีทำประโยชน์เป็นเวลาติดต่อกัน ให้เพิ่มอัตราภาษีอีกหนึ่งเท่าในทุก 3 ปี แต่จำนวนภาษีที่เสียต้องไม่เกิน 6% ของฐานภาษี
“คนที่มีเงินจะถือครองที่ดินเท่าไหร่ก็ได้ พ.ร.บ.ฉบับประชาชนไม่ได้ห้าม แต่ด้วยอัตราภาษีก้าวหน้าฉบับนี้ จะทำให้คนที่ถือครองที่ดินมากๆ เกิดภาระในการจ่ายภาษี และยอมคายที่ดินออกมา ขณะเดียวกันรายได้จากการจัดเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าร้อยละ 70 ที่เก็บได้จะจัดสรรไปให้ธนาคารที่ดิน เมื่อมีการคายที่ดินออกมา ธนาคารที่ดินก็จะเข้าไปซื้อที่ดินมาเก็บเอาไว้เพื่อเปิดโอกาสให้คนยากคนจน และเกษตรกรรายย่อยเข้าถึงที่ดินได้” ประยงค์พูดถึงความเกี่ยวพันของร่าง พ.ร.บ.ที่ภาคประชาชนพยายามผลักดัน
4.ร่าง พ.ร.บ.สิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบโฉนดชุมชน พ.ศ..... หลักการ คือ นำหลักสิทธิชุมชนมาใช้ในการแก้ไขปัญหา โดยรับรองสิทธิของชุมชนในการใช้ประโยชน์จากที่ดินและ ทรัพยากรธรรมชาติในที่ดินของรัฐในรูปแบบกรรมสิทธิ์ร่วม (Collective Rights) เรียกว่า “สิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ” มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทกรณีที่ดินของรัฐ รวมทั้งส่งเสริมการจัดการที่ดินในรูปแบบกรรมสิทธิ์ร่วมของชุมชน
โดยร่าง พ.ร.บ.เสนอให้มีการจัดตั้ง ‘คณะกรรมการโฉนดชุมชน’ ขึ้นมา มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ เช่น กำหนดนโยบาย เป้าหมาย และมาตรการเกี่ยวกับโฉนดชุมชนเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ กำหนดระเบียบ หลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบและพิจารณาความเหมาะสมของชุมชนที่อาจอนุญาตให้ได้รับโฉนดชุมชน ฯลฯ และที่ดินของรัฐที่อาจได้รับโฉนดชุมชนต้องเป็นที่ดินของรัฐซึ่งชุมชนได้เข้าครอบครองมาก่อนวันที่ 11 มิถุนายน 2550 (อ่านรายละเอียดได้ที่ http://www. landjustice4thai.org)
ทั้งหมดนี้คือกฎหมายที่ภาคประชาชนได้ร่วมกันผลักดันเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปที่ดิน และกระจายการถือครองที่ดินเพื่อให้ถึงมือคนยากคนจนและเกษตรกรไร้ที่ดินทำกินต่อไป...!!
เครือข่ายภาคประชาชนทั่วประเทศเสนอทางออกปัญหา ‘วิกฤตที่ดินไทย’

ระหว่างวันที่ 17-18 พฤศจิกายน เครือข่ายภาคประชาชนทั่วประเทศได้ร่วมกันจัดงาน “มหกรรมที่ดินคือชีวิต ฝ่าวิกฤตที่ดินไทย” ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ กลุ่มชาติพันธุ์ ชาวเขา ชาวเล นักศึกษา นักวิชาการ เข้าร่วมงานประมาณ 1,000 คน ภายในงานมีเวทีเสวนา การประชุมกลุ่มย่อยเพื่อนำเสนอประเด็นปัญหาต่างๆ และข้อเสนอการแก้ไขปัญหาของภาคประชาชน เพื่อนำไปผลักดันให้เห็นผลเป็นรูปธรรมต่อไป
ข้อเสนอจากการระดมความคิดของเครือข่ายภาคประชาชนมีดังนี้ คือ หลักการ 1.การปฏิรูปที่ดินต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดนโยบาย เพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 2.การเข้าถึงที่ดินและที่อยู่อาศัยเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน การบริหารจัดการที่ดินต้องดำเนินไปบนพื้นฐานการเคารพสิทธิมนุษยชน และเคารพวิถีวัฒนธรรม 3.นโยบายที่ดิน ต้องไม่นำมาบังคับใช้ย้อนหลังกับประชาชน 4.การดำเนินการทางกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม ควรให้ความสำคัญและการนำข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ชุมชน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ถูกดำเนินคดีได้มีโอกาสโต้แย้ง หรือหักล้างข้อกล่าวหาอย่างเท่าเทียม มิใช่พิจารณาเพียงเอกสารทางราชการ
ด้านกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง รัฐจะต้องกำหนดมาตรการในเชิงกฎหมายเพื่อให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินอย่างแท้จริง และสนับสนุนให้คนจนสามารถเข้าถึงที่ดินได้อย่างเป็นธรรม ดำเนินการรับรองสิทธิชุมชนในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรร่วมกัน ได้แก่ พระราชบัญญัติภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า พระราชบัญญัติกองทุนธนาคารที่ดิน พระราชบัญญัติสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรในรูปแบบโฉนดชุมชน
กรณีนโยบายที่ดิน คทช. (คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ/มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน) 1.ยกระดับการดำเนินโครงการจัดที่ดินแปลงรวม คทช. ให้รับรองสิทธิชุมชนและสถาบันเกษตรกรในการบริหารจัดการที่ดิน 2.ทบทวนการจัดที่ดินแปลงรวมตามนโยบาย คทช. และเปิดโอกาสให้เกษตรกรรายย่อย คนยากจน ไร้ที่ดิน ให้สามารถเข้าถึงที่ดินและปัจจัยการผลิตอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม ไม่จำกัดโอกาสการเข้าถึงที่ดินของเกษตรกรรายย่อย เพื่อให้สามารถพัฒนาและขยายกำลังการผลิต และแข่งขันได้
3.ยุติการนำนโยบาย มติ และระเบียบของ คทช.มาใช้กับชุมชนที่มีรูปแบบการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน แต่รัฐบาลควรสนับสนุนส่งเสริมการปฏิบัติการปฏิรูปที่ดินโดยชุมชนที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ 4.ทบทวนมติ คทช. วันที่ 18 มิถุนายน 2561 เกี่ยวกับพื้นที่เป้าหมายและกรอบมาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าไม้ (ทุกประเภท) ทั้งนี้ เนื่องจากแนวทางการแก้ไขปัญหาตามมติดังกล่าว อาจสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงกับชุมชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ต้นน้ำชั้น 1, 2 ชุมชนชาวเล และชุมชนชายฝั่ง
กรณีทวงคืนผืนป่า 1.ยุตินโยบายทวงคืนผืนป่า และยกเลิกแผนแม่บทแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพราะการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวส่งผลให้มีการละเมิด คุกคามชีวิต ทรัพย์สินและส่งผลกระทบกับชุมชนทั่วประเทศ รวมทั้งกระบวนการในการจัดทำแผนแม่บทดังกล่าวขาดการมีส่วนร่วมและการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย
2.ชะลอการดำเนินการประกาศอุทยานแห่งชาติไว้ก่อน และจัดตั้งกลไกให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดสำรวจแนวเขตเพื่อกันพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย และพื้นที่ป่าชุมชนออกจากเขตอุทยาน และการประกาศแนวเขต โดยการกำหนดแนวเขตเตรียมการประกาศอุทยานต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาท้องถิ่นก่อน จึงจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้
3.นายกรัฐมนตรีลงนามรับรองร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฉบับประชาชน (เนื่องจากเป็นกฎหมายเกี่ยวข้องกับการเงิน) เพื่อให้สามารถเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ควบคู่กับร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฉบับของรัฐบาล และเนื้อหากฎหมายทั้งสองฉบับต้องสอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน และกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560
การสนับสนุนโฉนดชุมชน 1.ปรับปรุงกลไก มาตรการและกระบวนการอนุญาต และลดข้อจำกัดการจัดการจัดการที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชน (อาทิ ตามมาตรา 9, มาตรา 12 ประมวลกฎหมายที่ดิน) 2.ผลักดันให้คณะรัฐมนตรีมีมติคุ้มครองพื้นที่โฉนดชุมชน 486 แห่งให้เป็นไปตามมติการประชุมคณะกรรมการประสานงานให้มีโฉนดชุมชน ครั้งที่ 1/2561 วันที่ 8 สิงหาคม 2561 และประสานงานให้มีการจัดที่ดินให้แก่ประชาชน 3.ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 30 มิถุนายน 2541 รวมทั้งมติอื่นที่เป็นอุปสรรคในการบริหารจัดการที่ดินโดยชุมชน อาทิ มติคณะรัฐมนตรีในการจัดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ
กรณีที่ดินสาธารณประโยชน์ ปรับปรุงกลไกและกระบวนการการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ออกโดยไม่ชอบกฎหมายทั้งกรณีโฉนดที่ดิน และการประกาศที่สาธารณะซ้อนทับที่ดินของประชาชน
กรณีที่ดินเอกชนทิ้งร้าง กรณีที่ดินที่ปล่อยทิ้งร้าง ตามมาตรา 6 ประมวลกฎหมายที่ดิน จัดให้มีกลไก หน่วยงานเฉพาะเพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบ และเพิกถอนเอกสารสิทธิ
กรณีพื้นที่ชนเผ่า ชาติพันธุ์ และชนพื้นเมือง 1.คุ้มครองสิทธิชนเผ่า กลุ่มชาติพันธุ์ และชนพื้นเมือง ตามสนธิสัญญาหลักด้านสิทธิมนุษยชน ข้อตกลงและปฏิญญาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ที่ดิน สิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม สิทธิกลุ่มชาติพันธุ์ในการถือครองและใช้ทรัพยากรธรรมชาติ 2.สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่องการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล วันที่ 2 มิถุนายน 2553 และการฟื้นฟูชีวิตชาวกระเหรี่ยง วันที่ 3 สิงหาคม 2553 โดยเฉพาะการประกาศเขตคุ้มครองวัฒนธรรมพิเศษ 3.การกันเขตพื้นที่ที่อยู่อาศัยของชุมชน พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ทางจิตวิญญาณ ก่อนการประกาศเขตอนุรักษ์ โดยชุมชนมีส่วนร่วมในการกันเขตพื้นที่ต่างๆ 4.ส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมที่ช่วยให้สังคมเกิดความเข้าใจ และยอมรับวิถีชีวิตของกลุ่มชนเผ่า ชาติพันธุ์ และชนพื้นเมือง
กรณีที่ดินในเมือง เพื่อสร้างความมั่นคงในที่อยู่อาศัย 1.ที่ดินรัฐที่หน่วยงานต่างๆ ครอบครองไว้จำนวนมาก และไม่ได้ใช้ประโยชน์ เช่น ที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ดินราชพัสดุ ที่ดินสาธารณะ รัฐบาลต้องมีนโยบายที่ชัดเจน ในการนำที่ดินเหล่านั้นมาพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย รองรับคนจนเมืองในรูปแบบกรรมสิทธิ์ร่วมกันของชุมชน จึงจะสอดคล้องกับสถานะทางเศรษฐกิจของกลุ่มคนเหล่านั้น เนื่องจากไม่ต้องแบกรับต้นทุนด้านที่ดิน นอกจากนั้นยังลดต้นทุนในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การใช้ที่ดินรัฐเพื่อจัดทำโครงการที่อยู่อาศัย จึงเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
2.ในการจัดทำผังเมือง ควรให้คนจนเมืองได้มีส่วนในการกำหนดทิศทางของการพัฒนาเมือง ในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนหนึ่งที่สร้างการเติบโตและหล่อเลี้ยงคนในเมืองให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ยากลำบาก ต้องรับฟังความเห็นของคนจนเมืองที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง โดยกำหนดผังเมืองแบบผสมผสานระหว่างพื้นที่เศรษฐกิจและที่อยู่อาศัยไว้ในพื้นที่เดียวกันไว้อย่างชัดเจน ทั้งนี้เพื่อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองกับที่อยู่อาศัยเป็นไปในลักษณะคู่ขนาน โดยมิให้ที่ดินบริเวณที่อยู่อาศัยมีราคาสูง เพื่อให้คนจนสามารถดำรงวิถีชีวิตอยู่ได้ในเมือง
3.การพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อคนในพื้นที่ โดยเฉพาะคนจนที่ต้องเสียสละที่อยู่อาศัยเดิมให้กับโครงการพัฒนาต่างๆ รัฐบาลควรมีนโยบายให้หน่วยงานรัฐที่ดำเนินโครงการคิดงบประมาณในการอุดหนุนด้านการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและการพัฒนาสาธารณูปโภคเป็นต้นทุนในโครงการ เพื่อให้ประชาชนที่เสียสละให้กับการพัฒนาและต้องโยกย้ายหรือต้องขยับปรับปรุงที่อยู่อาศัยใหม่ สามารถนำงบประมาณที่ได้รับไปจัดสร้างโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ได้ และที่สำคัญเป็นการลดภาวะความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานรัฐที่ดำเนินโครงการกับประชาชนในพื้นที่
กรณีเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 1.ในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ต้องคำนึงถึงการวางผังเมือง การปกป้องพื้นที่เกษตรกรรมชั้นดี ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นพื้นที่สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรม 2.การเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและร่วมออกแบบในกระบวนการพัฒนาของรัฐ บนหลักการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง 3.รัฐจะต้องจัดการผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมระหว่างชุมชน รัฐ และนักลงทุน หากการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเป็นการเพิ่มความมั่งคั่งให้กับนักธุรกิจ ชาวบ้านก็ไม่ควรต้องเป็นผู้เสียสละด้วยการถูกพรากสิทธิที่ดิน
ทั้งนี้องค์กรที่ร่วมจัดงาน เช่น ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ มูลนิธิชุมชนไท มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย เครือข่ายสลัม 4 ภาค สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ฯลฯ
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |