โอกาสชนะคดี กปปส.


เพิ่มเพื่อน    

 กางแท็กติกสู้คดี กปปสพิทักษ์ รธน.ปมใหญ่หวังชนะ 

แก้วสรร อติโพธิ ผู้เป็น 1 ใน 58 จำเลยคดี กปปส. ที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องและยื่นสำนวนฟ้องต่อศาลอาญาไปเมื่อ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา โดย แก้วสรร-อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์-อดีต ส.ว.กทม. ในฐานะหนึ่งในมือกฎหมายคนสำคัญของฝ่าย กปปส.กางรัฐธรรมนูญและข้อกฎหมาย ชี้ประเด็นข้อต่อสู้ทางคดีที่ฝ่าย กปปส.จะยกมาเป็นประเด็นในการสู้คดีดังกล่าวในชั้นศาล หลังแกนนำและแนวร่วม กปปส.หลายคนตกเป็นจำเลยด้วยข้อหาแตกต่างกันไป แต่หนักสุดคงไม่พ้น สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่โดนฟ้องในความผิดฐานกบฏและก่อการร้าย ขณะที่ แก้วสรร ถูกฟ้องข้อหาเป็นผู้สนับสนุนการกบฏและขัดขวางการเลือกตั้ง

แก้วสรร อดีตผู้ขึ้นเวที กปปส.หลายสิบครั้งชี้ประเด็นข้อต่อสู้ของ กปปส.ว่า เมื่อคดีเข้าสู่ศาลการสู้คดี กปปส.ควรจะมีการแถลงต่อศาลว่า ที่ กปปส.ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองหลายเดือน ทั้งหมดมีเจตนาเพื่อต้องการพิทักษ์รัฐธรรมนูญอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ รธน.บัญญัติไว้ตั้งแต่ รธน.ปี 2540 และ รธน.ปี 2550 ซึ่งเป็น รธน.ที่ใช้ในช่วงชุมนุม กปปส. เพราะขณะนั้นพบว่าระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีพฤติการณ์ที่ทำผิดครรลองรัฐธรรมนูญ ที่หากไม่ออกมาชุมนุมบ้านเมืองจะเสียหาย  เช่นพฤติการณ์ใช้เสียงข้างมาก เป็นเผด็จการหีบเลือกตั้ง หรือการยุบสภาฯ เพื่อหวังฟอกผิดหลังถูกต่อต้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ส่วนผลแห่งคดีจะออกมาอย่างไรคงต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะสืบพยานฝ่ายโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้น 

แก้วสรร เริ่มต้นอธิบายความว่า ที่มาที่ไปของคดี กปปส.เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์กว่า 200 วัน ถูกรวบนํามาฟ้องเป็นคดีที่เรียกกันว่าคดี กปปส. แยกเป็น

1.กลุ่มประท้วงทุกกลุ่มทุกเวที ถูกรวบนํามาฟ้องคราวเดียวกัน ทั้งๆ ที่มิได้สมคบรู้เห็นเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด ก็เหมารวมเป็นกลุ่มเดียวกัน คําฟ้องเดียวกัน บัญชีพยานเดียวกันหมด

2.ทุกเหตุการณ์ที่ปฏิเสธรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในต่างกรรมต่างวาระทั้งหลาย ถูกเอามาเหมาฟ้องเป็นคดีเดียวกันหมด ทั้งชุมนุมในถนนตามเวทีต่างๆ ทั้งการเข้าไปในศูนย์ราชการ และกระทรวงต่างๆ เช่น มหาดไทย, พลังงาน, คลัง ทั้งการคัดค้านการเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้ง รวบมาหมดเลยทุกพฤติการณ์

3.รวบมาแล้วก็รวมข้อหาทุกมาตรามาใส่ในคดี ทั้งกบฏ, ปลุกระดม, ยึดสถานที่ราชการ, ขัดขวางการเลือกตั้ง, ก่อการร้าย

...โดยแบ่งจําเลยเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกที่เห็นว่าแรงที่สุดจะโดนทุกข้อหาในฐานะเป็นตัวการ กลุ่มสองรองลงมาโดนเป็นตัวการทุกข้อหายกเว้นก่อการร้าย กลุ่มสามพวกขึ้นปราศรัยให้ข้อมูลความคิด ความรู้ จะโดนเป็นตัวการฐานปลุกระดมก่อน จากนั้นก็โดนข้อหาที่เหลือในฐานะผู้สนับสนุน 

...ผมเองอยู่ในกลุ่มสามนี้ การเหมารวมทุกกลุ่ม ทุกคน ทุกพฤติการณ์ ที่ต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มาลงหม้อเดียวกันต้มพร้อมกันทั้ง 58 คนอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าแท้จริงกลุ่มอํานาจขณะนั้นเขาเอาขบวนการต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นจําเลย ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงมันเป็นแนวร่วมหลวมๆ เท่านั้น

แก้วสรร ให้ความเห็นว่า เมื่อตั้งรูปคดีเป็นขบวนการอย่างนี้ ในทางคดีจะเป็นปัญหามากๆ อย่างผมเองไม่ใช่แกนนําอะไรพร้อมสู้คดีปลุกระดมเท่านั้น แต่ก็โดนฐานสนับสนุนคุณสุเทพทําการกบฏ ก่อการร้าย ยึดกระทรวง ขวางเลือกตั้งไปด้วย โทษ 2 ใน 3 ของสุเทพ เล่นอย่างนี้สืบพยานสู้กัน 3 ปี ผมต้องไปทุกนัด แต่ไม่ได้สู้คดีอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองเลย ลุ้นอย่างเดียวว่า สุเทพต้องไม่ถูกตัดสินว่าผิดนะ ไม่งั้นผมโดนลงโทษ 2 ใน 3 ของสุเทพในทุกข้อหาเลย ฟ้องแบบนี้มันแกล้งกัน และไม่ยุติธรรม เหมือนคดีพันธมิตรฯ ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ลากไปถึงข้อหาก่อการร้าย ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ขบวนการก่อการร้ายที่มุ่งสร้างความสะพรึงกลัวใดๆ เลย ฟ้องก็ฟ้องจําเลยเป็นร้อยคน รวมวงดนตรีที่ขึ้นเวที ด้วยฐานสนับสนุนก่อการร้าย

 มั่วกันอย่างนี้มันตลกไม่ออกจริงๆ มาถึงคดี กปปส.นี่ก็เหมารวมอีก มันเร่งรีบกวาดจับจะเอาขึ้นศาล จะยึดบัญชีธนาคาร จะสร้างภาพการฟ้องร้องให้ชาวบ้านหยุดไม่มาร่วมชุมนุมให้ได้ 

แก้วสรร กล่าวอีกว่า คดี กปปส.ก่อนหน้านี้มีการฟ้องไปแล้ว 1 คดี คือการฟ้องนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม, ดร.เสรี วงษ์มณฑา, ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์, นายสกลธี ภัททิยกุล รวม 4 คน ที่ตอนนั้นดีเอสไอได้คุมตัวดำเนินคดี ขณะพบตามสถานที่ต่างๆ เช่น สนามบิน ระหว่างที่ กปปส.ยังชุมนุมอยู่ แต่คนอื่นๆ ช่วงนั้นยังติดตามตัวไม่ได้ ดีเอสไอเลยส่งฟ้องไปก่อน 4 คน

...คดี 4 คนแรกแย่มากๆ เอารายงานตํารวจแต่ละวันมาสืบเป็นร้อยปาก สืบเป็นปี อาจารย์เสรีบ่นกับผมว่าไม่รู้จะแก้ต่างอย่างไร เพราะมีแต่ข้อกล่าวหาว่า กปปส.สุเทพทําอะไรบ้างในแต่ละวัน ไม่ถึงตัว  ดร.เสรีสักที จะซักพยานก็ไม่รู้อะไรด้วย คุณสุเทพเองก็ไม่ได้มาเป็นจําเลยในคดีด้วย แล้วศาลในคดีนี้จะตัดสินว่ายังไงดี 

ถ้าเห็นว่าสุเทพผิดก็ต้องตัดสินให้อาจารย์เสรีผิดฐานสนับสนุนกบฏ ติดคุก 2 ใน 3 อย่างนั้นหรือ แล้วต่อมาในคดีหลังนี้ ถ้าสุเทพได้เข้ามาสู้คดีแล้วศาลตัดสินว่าไม่ผิด อย่างนี้อาจารย์เสรีที่ติดคุกฐานสนับสนุนคุณสุเทพอยู่จะว่าอย่างไร มันมีหรือครับ คดีที่ฟ้องแต่ผู้สนับสนุน ไม่มีตัวการมาอยู่ในคดีด้วยอย่างนี้

...การตั้งรูปคดีเหมารวม ไม่สอบสวน ไม่ทํางานให้ลึก โยนจําเลยใส่ศาลไปลวกๆ ตามแรงเร่งรัดทางการเมืองอย่างนี้ แย่มาก ไม่เป็นมืออาชีพ ผมเองพร้อมสู้คดีในส่วนการกระทําของผม ผมปลุกระดมผิดวิถีทางรัฐธรรมนูญ ตรงไหนอย่างไร เมื่อใดก็ฟ้องผมมาเลย ทางคุณสุเทพกับแกนนําเองเขาก็พร้อม เขายังขออัยการเลยว่า แยกฟ้องแกนนําออกมาอีกคดีจะถูกต้องกว่า ส่วนพวกที่ไม่ใช่แกนก็ฟ้องไปตามส่วนที่เขาทํา แต่ถึงวันนี้อัยการก็ขยับตัวอะไรลําบากแล้ว 

แก้วสรร เปิดเผยว่า สำหรับคดีของ กปปส. แนวทางการสู้คดีนั้น มีประเด็นเรื่องสิทธิพื้นฐานการปกป้องรัฐธรรมนูญ

 ...ยกตัวอย่าง นาย ก. ยิงคนบาดเจ็บ แต่นาย ก. อ้างว่าป้องกันตัวเอง เพราะถือมีดมาจะยิง ถามว่ามีเจตนาให้เจ็บไหม ก็ใช่ แต่เจตนาคือป้องกันตัว ก็สู้คดีว่า ป้องกันตัวที่เป็นการทำโดยสมควรแก่เหตุ ที่ยกตัวอย่างดังกล่าว เพื่อบอกว่า ข้ออ้างเหตุผลที่คนออกมาร่วมเคลื่อนไหวกับ กปปส. เพราะต้องการพิทักษ์ รธน.ตามที่ รธน.ให้สิทธิไว้ อันเป็นข้อต่อสู้ที่ใช้ได้รวมหมด ไม่ว่าจะเป็นใครไปยึดสถานที่ราชการต่างๆ เช่น กระทรวงการคลัง-ชุมนุมลาดพร้าว สี่แยกอโศก ใครจะไปขึ้นเวทีหรือไปขวางการเลือกตั้ง ความผิดเกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด ทำไปเพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ประเด็นนี้จะเป็นข้อต่อสู้สำคัญของทุกคนในคดี กปปส. ที่จะถูกยกมาต่อสู้ในศาลตอนพิจารณาคดีว่า การเคลื่อนไหวของ กปปส.ไม่ใช่พวกป่วนเมือง เกลียดยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วไม่ได้ดั่งใจแล้วก็ออกมาลุย แต่เป็นเรื่องว่า หากปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นตอนทำให้มี กปปส.ยังดำเนินต่อไป บ้านเมืองจะอยู่กันไม่ได้

สิ่งที่นักกฎหมาย ประชาชน ควรสนใจก็คือ สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญคืออะไร แล้วจะใช้ได้แค่ไหน อันนี้คือส่วนที่หนึ่ง

ส่วนที่สองคือ การพิจารณาว่าสิ่งที่ กปปส.ทำเวลานั้น ผิดหรือไม่ หากไม่ผิด ก็ไม่ต้องไปอ้างเรื่องสิทธิพิทักษ์ รธน.ในการสู้คดี เพราะถ้าไม่ผิด ก็แสดงว่าไม่ผิดมาตั้งแต่ต้น แต่หากว่ามันผิด เราสามารถอ้างสิทธิพิทักษ์ รธน.ได้

คดี กปปส.ในทางกฎหมายจึงมีลักษณะการซ้อนกันอยู่ เรื่องแรกคือ 1.ต้องพิจารณาว่าครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ 2.หากครบองค์ประกอบว่ามีการทำผิด ก็ต้องดูว่า การกระทำนั้นมีอำนาจอ้างที่จะกระทำได้หรือไม่ โดยอ้างสิทธิพิทักษ์ รธน.

อดีตแนวร่วม กปปส.-แก้วสรร สรุปว่า ดังนั้นเวลามองคดี กปปส.ต้องมองรูปคดี จะเห็นว่ามีสองขยักตามที่จำแนกไว้

...ขอขยายความประเด็นแรก เรื่องสิทธิพิทักษ์ รธน. ก่อนหน้านี้ รธน.ของไทยไม่ได้มีบทบัญญัติเรื่องนี้ไว้ จนตอนยกร่าง รธน.ปี 2540 ที่มี ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน ตอนยกร่างได้มีการเพิ่มอำนาจพรรคการเมืองและประชาชนในเรื่องสิทธิพื้นฐาน บนหลักว่า เมื่อใดที่มีเผด็จการจากหีบเลือกตั้ง ประชาชนก็น่าจะต่อต้านได้ มาตรานี้ไม่ได้มีไว้เพื่อป้องกันรัฐประหาร เพราะทหารมีปืน ยึดเมื่อไหร่ก็ยึด แต่มาตรานี้เกิดขึ้นตามโจทย์ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในเยอรมัน ตอนช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคสมัยฮิตเลอร์ ที่ตอนแรกก็มาด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้ง แล้วได้คะแนนเสียงชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย แล้วก็มีการสร้างพลังมวลชนจากความเกลียดชัง ออกนโยบายต่างๆ ผ่านการเล่นการเมืองทั้งในและนอกระบบ จนลงประชามติยึดอำนาจทั้งหมดจากหีบเลือกตั้ง ไม่ให้มีการเลือกตั้งจนเหมือนจักรพรรดิของเยอรมันแล้วพาประเทศไปสู่สงคราม

ประสบการณ์ยุคฮิตเลอร์ดังกล่าวทำให้หลายประเทศในยุโรปหวาดกลัวมาก จึงทำให้มีเรื่องของสิทธิในการต่อต้านอย่างสงบเพื่อต่อต้านการแสวงหาอำนาจโดยขัดครรลอง รธน. ทำให้ตอนร่าง รธน.ปี 2540 มีการสร้างเซฟตี้เรื่องนี้ไว้

ในทางกฎหมาย ผมขึ้นเวที กปปส. จากประสบการณ์และการร่าง รธน.ปี 40 ที่เห็นการเมืองในช่วงก่อนการเลือกตั้งครั้งแรกตาม รธน.40 คือการเลือกตั้งปี 2544 ที่ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทย ตอนนั้นผมเป็น ส.ว.กทม. ปี 2543 เห็นอำนาจเงินของใครที่เข้ามาในวุฒิสภา เช่น จาก ส.ว.ทำงานแล้วถกเถียงเรื่องต่างๆ กันอย่างสนุก แต่พอมีเลือกตั้ง ส.ส. ปี 44 มีรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ส.ว.เจอเงินเข้าไปตอนนั้นเสร็จหมด เช่น มีการให้ไปรับหุ้น ปตท.ที่ห้องรองประธานวุฒิสภา แล้วก็เกิดกรณีต่างๆ เช่น ทุจริตคดีซีทีเอ็กซ์

ต่อมาพอผมมาเป็น คตส.ก็ยิ่งเห็นชัดว่า สิทธิเสรีภาพการเมืองถูกใช้ผิดครรลอง อย่างเช่นเรื่องความคิดที่ผิดทางมากๆ ที่ไปเห็นว่า การลงสู่การเมืองคือการประกอบการ มีการลงทุนเพื่อเข้าสู่อำนาจรัฐ พอได้อำนาจรัฐแล้วก็เข้าไปดูดกินจากการใช้อำนาจรัฐเพื่อถอนทุน ส่วนประชาชนก็ถือเป็นผู้ร่วมลงทุน เช่น หากเลือกคนของพรรคตัวเอง จะขายข้าวได้ในราคาเกวียนละ15,000 บาท เอารัฐมาผูกขาดการขายข้าว หรือนโยบายรถคันแรก มันก็คือการเอาเสียงประชาชนมาร่วมลงทุนกับเขา แล้วคุณจะได้สิ่งที่พรรคเขาจะทำให้

อย่างตอนเริ่มตั้งพรรคไทยรักไทย ผมเป็น คตส.ตรวจสอบการทำธุรกรรมย้อนหลัง เห็นเลย โยกเอาเงิน 4,000 ล้านบาท ออกจากชินคอร์ป แต่อ้างว่าโยกเงินไปใช้หนี้ แต่ใช้วิธีการเปิดบัญชีธนาคาร มีการเบิกถอนเงิน 300 ครั้ง เป็นเงินสดล้วนๆ ตอนตั้งไทยรักไทย ซื้อตัวนักการเมืองเข้าพรรคไทยรักไทย

คุณคิดว่าแบบนี้ใช่ครรลองตาม รธน.หรือไม่ในเรื่องการตั้งพรรคการเมือง มีการสร้างสินบนให้กับคนมาร่วมลงทุนกับคุณ แล้วก็ไปซื้อคนมาเข้าพรรค เลือกตั้งเสร็จปี 44 ก็ไปซื้อพรรคความหวังใหม่มารวม เรื่องทุจริตเป็นเรื่องธรรมดาการเมืองไทย แต่ก็ไม่เคยมีใครเอาคอร์รัปชันเป็นวิสาหกิจ เป็นกิจการได้ ถามว่ามีใครทำแบบนี้ ลงทุนรอบแรก 4,000 ล้านบาท ซื้อตลอด มีพฤติการณ์ให้สินบนประชาชน จนชนะเลือกตั้ง แล้วก็ถอนทุน เป็นการทำผิดครรลองรัฐธรรมนูญและแนวนโยบายแห่งรัฐ จะเห็นการผิดเพี้ยน ทำพรรคการเมือง แต่สุดท้ายเป็นการลงทุนบริษัททางการเมือง การเลือกตั้งก็ไม่ใช่การเลือกเพื่อนำไปสู่การเห็นทิศทางบ้านเมือง แต่เลือกเพื่อจะได้เห็นว่าเลือกแล้ว กูจะได้อะไร ยุบสภาฯ ก็เพื่อระดมทุนใหม่ เหมือนกับออกหุ้นกู้ให้ประชาชนตัดสินใจร่วมลงทุน แล้วก็เสนอสิ่งต่างๆ มา เช่น จำนำข้าว-รถคันแรก

ระบอบทักษิณไม่ใช่ชื่อเล่น มีตัวมีตน ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เคยบอกว่า นี่คือระบอบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน

ตอนผมร่าง รธน.ปี 40 ผมยังไม่นึกว่าจะออกมาแบบนี้ เรามีระบอบอุปถัมภ์อยู่เกลื่อน ใช่ แต่เราจะยอมให้มีคนจัดตั้ง ความไม่รู้นี้ จนคอร์รัปชันได้ขนาดนี้หรือ กับคนที่มีความคิดว่าการเมืองคือการประกอบการ คือการลงทุน สิบปีมาแล้วที่ประเทศไทย มีปัญหาจนเกือบฉิบหายก็คืออันนี้

อดีตแนวร่วม กปปส.-แก้วสรร กล่าวอีกว่า ความเคลื่อนไหวของระบอบทักษิณหรือระบอบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน หากมองในมุมสังคมวิทยา เขาสามารถเอาพรรคการเมืองมาแสดงตัวเป็นผู้อุปถัมภ์ สามารถทำให้คนชนบทมาอุปถัมภ์ มาเป็นพวก ทำให้พรรคการเมืองกลายเป็นที่พึ่งพา คือ คิดว่าหากขาดพรรคการเมืองนี้แล้วไม่รู้จะพึ่งใครได้ สร้างเครือข่ายอุปถัมภ์

สิ่งเหล่านี้ก็ยังอยู่ เครือข่ายอุปถัมภ์ รวมถึงการสร้างขบวนการมวลชนนอกรัฐสภา ลึกถึงขนาดสร้างกองกำลังฆ่าคนได้ มี นปช. กปปส.ตายไปร่วม 30 คน ทหาร ตายเท่าไหร่ พรรคการเมืองที่อุปถัมภ์ นปช.ควรต้องถูกยุบ เพราะครรลอง รธน.ต้องการให้อยู่กันด้วยสันติ เหตุผล

อย่างตอนประชาธิปัตย์ค้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสมัยรัฐบาลเพื่อไทย แกนนำพรรคก็มีการลาออกจาก ส.ส.ปชป. ให้เป็นประชาชนจริงๆ แต่อีกฝ่ายไม่ได้ทำแบบนั้น มีการพูดเรื่องแก้ว 3 ประการ มีการใช้ความรุนแรง ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่

ระบอบทักษิณถือว่าอำนาจสูงสุดอยู่ที่หีบเลือกตั้ง ไม่ใช่ รธน. คือชนะเลือกตั้งแล้วทำได้ทุกอย่าง แล้วก็ใช้วิธีการทางการเมืองแบบ Winner Take All เสียงข้างมากแล้วทำได้ทุกอย่าง หากแพ้เลือกตั้งแล้วต้องเงียบอย่างเดียว การข่มเหงเสียงข้างน้อยถึงเกิดขึ้นตลอดเวลา เรื่อง กม.นิรโทษกรรม ที่จะผลักดันออกมา มีประเทศไหนในโลกเขานิรโทษกรรมคดีคอร์รัปชัน เป็นระบบแบบทำได้ทุกอย่าง ถ้ามีเสียงข้างมาก ทำมาหาแดกทุกอย่าง ทำอะไรก็ได้ ใครพูดอะไรไม่ฟัง สภาพที่ใช้ รธน.ผิดครรลอง จนออกมาเป็นเผด็จการหีบเลือกตั้ง คือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนมี กปปส.

ข้อต่อสู้หลักจำเลยคดี กปปส.

แก้วสรร ย้ำว่าเมื่อเห็นพฤติกรรมแบบนี้ ถามว่าถือว่าได้เกิดภัยกับ รธน.แล้วหรือยังที่ กปปส.จะต่อต้านได้ อันนี้คือสิ่งที่ กปปส.ต้องสู้คดีในชั้นศาล ทำให้ศาลเห็น ซึ่งในระบบกฎหมายจะเห็นได้ว่ามีคดีของพวกระบอบทักษิณที่ศาลได้ชี้ไว้มากมาย ทั้งคดีอาญา คดีแพ่ง คดียึดทรัพย์ ที่ล้วนรองรับไว้หมดว่ามีการใช้อำนาจโดยผิดครรลอง พอศาลตัดสินออกมาว่าผิดก็ไม่รับฟัง

สภาพที่ไม่มีใครห้ามไว้ได้แล้ว ถามว่าประชาชนที่ไม่เห็นด้วยแล้วเห็นภัยอันนี้จะสามารถอ้างสิทธิตาม รธน.ปี 50 มาตรา 69 ที่บังคับใช้ช่วงก่อนมี กปปส.ได้หรือไม่ โดยมาตรา 69 ดังกล่าวบัญญัติว่า

“บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้”

การใช้สิทธิข้างต้นมาสู้ในคดี กปปส.นี้มีความสำคัญมากๆ เรื่องนี้มีข้อที่ควรเข้าใจ คือมันเป็นการต่อสู้โดยอ้างสิทธิ อ้างความชอบธรรมเลยว่าการกระทำต่างๆ นั้น ตนมีอำนาจมีสิทธิ์ที่จะกระทำได้เหมือนกับการใช้สิทธิ์ป้องกันตัวเลยว่า มีนักเลงถือมีดดาบมาจะฟันเรา เราก็มีสิทธิ์ชักปืนยิงเขาได้ ถามว่าเป็นการทำร้ายร่างกายโดยเจตนาไหม ก็ตอบว่าใช่ แต่ไม่ผิดเพราะตนมีสิทธิ์ มีความชอบธรรมจะกระทำได้

กรณีคดี กปปส.ก็เหมือนกัน จะยกมาตรา 69 ข้างต้นขึ้นต่อสู้ได้ทุกข้อหาเลย เช่นสู้ว่าไม่ได้ขัดขวางเลือกตั้ง หรือแม้จะฟังว่าเป็นผิดฐานขัดขวาง ก็ขอสู้ว่าไม่ผิดเพราะเป็นการใช้สิทธิ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ต่อต้านระบอบเผด็จการพรรคการเมืองนายทุนจากหีบเลือกตั้ง ดังนี้ก็อ้างต่อสู้ได้ทุกข้อหา ทั้งกบฏ ก่อการร้าย ปลุกระดม สู้ว่าไม่ผิดเลยได้ทั้งนั้น

“การอ้างสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญนี้ ถ้าศาลรับว่ามีสิทธิเช่นนี้อยู่จริงก็ต้องพิเคราะห์เป็นรายข้อหาต่อไปด้วยว่า ในแต่ละข้อหาที่ทำไปนั้นเป็นการใช้สิทธิเกินสมควร คือเป็นการต่อต้าน 'โดยสงบ' หรือไม่ ถ้าเห็นว่าเกินขอบเขตก็ต้องเป็นผิดแต่ลงโทษเบาได้ เหมือนกับการป้องกันตัวเกินสมควร

 เช่นยิงนักเลงที่ควงดาบมาถึง 2 นัด นัดแรกก็โดนแล้วทรุดแล้ว ยังยิงซ้ำเข้าไปอีกเป็นต้น

เมื่อเข้าใจอย่างนี้ การพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าตนกำลังต่อต้านการใช้สิทธิเสรีภาพโดยวิธีการที่ผิดครรลองรัฐธรรมนูญจึงสำคัญมากๆ ถ้าพิสูจน์ได้ก็ชนะคดีไปกว่าครึ่งแล้ว เหลือแต่เพียงการพิสูจน์ต่อไปว่า ตนได้ใช้สิทธินี้ไปโดยสมควรแก่เหตุเท่านั้น

แก้วสรร ย้ำทิศทางการสู้คดี โดยสรุปว่าการสู้คดี กปปส. 1.จะต้องยืนยันต่อศาลว่า กปปส.ใช้สิทธิ์เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ต้องพยายามให้มีการนำสืบประเด็นนี้ 2.สู้คดีว่ามีการตั้งข้อกล่าวหาไม่ถูกต้อง มีการกลั่นแกล้งกัน เพราะดีเอสไอไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยแต่ละคน ใครทำอะไร ใครรู้เห็นอะไร แต่คดีที่มีการเอาผิดกันทำแบบเหมารวมหมด อย่างมาเอาผิดผมว่าร่วมสนับสนุนขวางการเลือกตั้ง สนับสนุนยึดกระทรวงการคลัง ผมจะไปรู้เรื่องอะไร ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ใครทำอะไรก็ต้องเอาแบบนั้น

พวกสุเทพเขาก็แฟร์ เขาก็บอกอัยการสูงสุดว่าข้อหาพวกนี้ให้พวกผมโดน ส่วนพวกขึ้นเวทีก็โดนแค่พูดจาปลุกระดม

ที่เป็นแบบนี้เพราะคดีนี้ไม่ได้มีการสอบสวนอะไร ใช้วิธีเอารายงานหน่วยงานต่างๆ เช่น ตำรวจสันติบาล เอามาร่างฟ้องกัน เช่นบอกว่านายแก้วสรรไปพูดที่เวทีวันไหน เป็นการบรรยายพฤติการณ์  แต่การทำคดีแบบนี้หากจะเอาผิดต้องพิสูจน์ว่า คนที่ถูกฟ้องเอาผิดเขาทำผิดอย่างไร แต่กรณีนี้ไม่มีการบรรยายความผิดลักษณะดังกล่าว

คดีนี้จึงเป็นการฟ้องขบวนการ กปปส.เพื่อต้องการกวาดลงหม้อหมด แล้วต้มทั้งหม้อ คือตั้งข้อหาไว้ก่อนตั้งแต่ตอนเรื่องอยู่ที่ดีเอสไอ ว่าถ้าไม่ใช่ตัวการก็ให้เอาผิดฐานสนับสนุน ซึ่งถ้าเป็นอัยการรุ่นก่อนๆ เขาไม่มีทางทำคดีแบบนี้ออกมา

เพราะอย่างผมขึ้นเวที ผมก็พูดด้วยเหตุด้วยผล ความถูกต้อง แต่มาตั้งคดีกันแบบนี้ผมจะซวย ต้องไปศาลทุกนัดเพื่อฟังการสืบพยานว่าคนไหนทำอย่างไร โดยก็ไม่รู้ว่าจะถึงคิวของผมเมื่อใด ไปไหนไม่ได้เป็นปีเพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ จำเลยต้องไปครบทุกคน หากใครไม่ไปโดยไม่มีเหตุผล ไม่แจ้งต่อศาล ก็จะโดนถอนประกัน ใช้เวลานานกว่าจะสืบพยานเสร็จหมด

ที่ผ่านมาฝ่ายจำเลยคดี กปปส.ก็มีการปรึกษาหารือการสู้คดีกันอยู่ โดยเฉพาะก็เสนอไปว่า ข้อต่อสู้กลางในคดีควรเป็นเรื่องสิทธิในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายจำเลยควรต้องแถลงประเด็นต่อศาลเป็นลำดับแรกเมื่อเริ่มกระบวนการสืบพยานคดี

- ทิศทางรูปแบบการสู้คดีในชั้นศาลเป็นอย่างไร?

คุณสุเทพเขาเชิญทีมทนายและนักกฎหมายอาวุโสมาประกอบกําลังเป็น "บริษัทเฉพาะกิจ" รับช่วยคดี กปปส.ทั้งหมดเลยครับ ส่วนใครจะมีทนายของตนมาสมทบด้วยก็ยินดี สําหรับเงินประกันตัวรายละ 6 แสนบาทก็ต้องวิ่งเต้นดิ้นรนกันไป

ถามย้ำถึงโอกาสชนะคดีมีมากน้อยแค่ไหน แก้วสรร บอกว่า ข้อต่อสู้ของ กปปส.ในเรื่องสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญมีฐานความหมายและทางคดีอยู่เยอะ โอกาสที่ศาลจะเข้าใจและรับเป็นข้อต่อสู้ได้ก็มีอยู่เป็นไปได้ การสู้คดีโดยยกประเด็นเรื่องสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญคงได้มีโอกาสใช้ โดยจะต้องมาไล่ถึงการกระทำ เช่นการไปยึดถนน ศาลท่านอาจเห็นว่าเป็นการใช้สิทธิต่อต้านโดยสงบหรือการขัดขืน ขัดขวางการเลือกตั้งก็อาจเป็นการใช้สิทธิโดยสงบ แต่ที่ก้ำกึ่งก็เช่นกรณีไปยึดอาคารสถานที่ กรณีลักษณะนี้ฝ่ายพันธมิตรฯ เคยถูกตัดสินเป็นตัวอย่างมาแล้ว กปปส.จะหยิบขึ้นมายืนสู้ได้แค่ไหนก็ต้องรอดู ทางกฎหมายก็ต้องยืนตรงนี้

จำเลยทุกคนพร้อมรับสภาพ

แก้วสรร ย้ำว่าคนที่มาร่วมกับ กปปส.ต่างก็รู้อยู่ก่อนแล้วว่าอาจมีปัญหาทางคดีได้ การถูกฟ้องร้องดำเนินคดีก็รับกันได้ทุกคนว่าเมื่อมาสู้กันแล้ว การจะต้องมีคดีไปขึ้นศาลก็เป็นความเสี่ยงโดยสภาพของการต่อต้านอำนาจรัฐ

ในความรู้สึกนึกคิดผมก็เชื่อว่า กปปส.ก็คิดตรงกันหมดว่าห้ามร้อง ห้ามมาสะท้อนใจอะไร เพราะเมื่อทำแล้วก็ต้องพร้อมรับผิดชอบ

ส่วนศาลจะฟังเราแค่ไหน คือส่วนตัวพวกเราอาจบอกว่าเรามีสิทธิ์มีความชอบธรรม เราไม่ได้ฆ่าทหาร ไม่ได้ทำเพื่อนาย ไม่ได้มีนายมาปกป้อง เราไม่ได้เป็นอันธพาล แต่ทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ

ทุกคนต่างก็อดทนกันจริงๆ สองร้อยกว่าวัน ไม่ได้ใช้กำลัง ไม่ได้ยิงทหาร ไม่ได้มีแก้วสามประการ  เพื่อนๆ ที่มาร่วมก็บาดเจ็บล้มตายกันไปหลายคน ก็ยังยืนได้ แต่ที่มันน่าทุเรศคือ บ้านเมืองทำไมปล่อยให้ตอนนั้นประท้วงกันยาวนานขนาดนั้น ระบบกฎหมายอะไรให้คนตายขนาดนั้น ตายฟรีกันหมด อันนี้คือความเจ็บใจของเรา แต่ระบบกฎหมายจะช่วยเราได้แค่ไหน เราพูดไม่ได้ ที่ถามว่ามั่นใจการสู้คดีหรือไม่ ก็ไม่มีใครมั่นใจได้ แต่ถามว่ามีข้อต่อสู้ที่คิดว่าถูกต้อง ก็ต้องบอกว่ามีแน่นอน อยู่ที่ว่ามาตรา 69 ในรธน.ปี 50 เรื่องสิทธิพิทักษ์ รธน.ที่ใช้บังคับเวลานั้น เมื่อนำมาสู้แล้วจะไปได้ไกลแค่ไหน

- ส่วนตัวหนักใจอะไรหรือไม่?

ไม่ครับ  แต่เบื่อที่ต้องไปนั่งที่ศาลเป็นปีๆ กว่าคดีจะเสร็จ อยากให้แยกฟ้องจําเลยเป็นรายคนไปเลย ควรใช้วิธีการแยกฟ้อง คนไหนทําผิดเรื่องไหนก็ฟ้องเป็นรายบุคคลและระบุความผิดให้ชัดเจนไป    ไม่ใช่มาฟ้องเหมารวมกันแบบนี้ ตรงนี้มันรู้สึกเหมือนโดนแกล้งครับ 

- การยื่นฟ้องเอาผิดกับแกนนำ กปปส.ร่วม 58 ราย ก็มีกระแสความเห็นจากคนที่เคยไปร่วมกับ กปปส.ออกมาทำนองว่าผิดหวังในตัว คสช.?

อัยการเขาฟ้อง ก็โอเคว่าเขาไม่ได้ เพราะคดีเริ่มต้นมาจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว แล้วเรื่องสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญเป็นของใหม่ หากจะว่า คสช. ความรู้สึกอันนี้ หาก คสช.จะถูกตำหนิ เขาคิดว่าเขาเป็น รปภ. เมื่อเห็นคนสองกลุ่มในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งกำลังตีกันอยู่ รปภ.ก็เข้าไปบอกให้ทั้งสองฝ่ายหยุด แล้วบอกให้ปรองดองกัน ทั้งที่จริงคนสองกลุ่มดังกล่าว ฝ่ายหนึ่งคือเจ้าทรัพย์ กำลังสู้กับโจร รปภ.มาห้ามก็ทำถูกแล้ว แต่ถามว่าพอเลือกตั้งมันจะไม่ตีกันอีกใช่ไหม เขาก็เป็นแค่ รปภ. แต่หากเขาคิดใหม่ ถ้าเขาเข้าใจได้ว่าสาเหตุของมันจริงๆ คือการทำผิดครรลองรัฐธรรมนูญที่ฝังรากกันมาเป็นสิบปี ซึ่งรากฐานความคิดแบบนี้หากยังอยู่ต่อ เลือกตั้งเมื่อไหร่ก็เละอีก

หน้าที่ของเขาตั้งแต่รัฐประหารมาไม่ใช่แค่รักษาความสงบ แต่ต้องรักษาและฟื้นฟูประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นแค่ รปภ. สิ่งที่ต้องทำก็คือต้องทำให้คนเรียนรู้ร่วมกันว่าเราเสียหายจากเผด็จการนายทุนพรรคการเมืองอย่างไร ประเทศเสียหายแค่ไหน ยังจะให้มีขบวนการมวลชนที่ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองเป็นแก้วสามประการแบบที่ผ่านมาได้อีกหรือ ต้องมีการสะสางการเล่นการเมืองที่ผิดวิถีทาง

สิ่งที่เขาผิดหวังก็คือ ทำไม คสช.ถึงไม่เห็นหน้าที่อันนี้ ทั้งที่ กปปส.ทำไว้แล้ว แล้ว คสช.อยู่มาสามปีกว่า ต่อไปพอเลือกตั้งปัญหาเดิมๆ ก็กลับมาอีก อันนี้คือสิ่งที่ผมผิดหวัง

กปปส.เลิกหนุนบิ๊กตู่-คสช.?

แก้วสรร อดีตคน กปปส.พูดถึง คสช.หลังตกเป็นจำเลยไว้ว่า เรื่องที่ กปปส.ถูกดำเนินคดีคือผมก็โอเค เพราะมีการตั้งรูปคดีกันมาก่อนแล้ว แล้วไม่กล้าไปสั่ง ก็ไม่ว่าอะไร แต่หากทำอะไรที่เหมาะสมกับที่คนต้องมาบาดเจ็บล้มตายจะไม่มีใครว่า คสช.เลย หาก คสช.ทำเรื่องพวกการสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน  ทำเรื่องปฏิรูปทางความคิดและการเคลื่อนไหว อย่าให้มีการเมืองที่ผิดครรลองอีก อย่าให้ประชาธิปไตยกลายเป็นสิ่งที่ถูกนำมาใช้ทำลายบ้านเมืองอีก

คสช.ควรเป็นคณะรักษาฟื้นฟูประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่ รปภ.เป่านกหวีด เอารถถังมาวิ่ง แล้วบอกให้ทุกฝ่ายหยุด กลับเข้าบ้าน สมัยนี้บางฝ่ายติดอาวุธทางปัญญาทันสมัยหมดแล้ว แต่ทางนี้ยังใช้รถถังวิ่งไปวิ่งมาแล้วออกรายการโทรทัศน์ ทำแบบนี้ทำไม ตอนนี้เขายังคิดไม่ได้ว่าเขาทำรัฐประหารมาทำไม

ถามความเห็นกรณีกองหนุน คสช. ถึงตอนนี้มองว่าเหลือมากน้อยแค่ไหน อดีตแนวร่วม กปปส.  ย้ำว่าเหลือมากเหลือน้อยก็ไม่มีความหมาย แฟน คสช.ส่วนใหญ่เป็นพวกรักสงบแบบเป็นกลาง คือไม่คิดไม่มีถูกมีผิด ไม่เดือดร้อนกับใครเขาทั้งนั้น แล้วหวังลมๆ แล้งๆ ว่า คสช.จะมาคืนความสุขให้จะได้เล่นหุ้นอย่างสบายใจต่อไป คนพวกนี้จึงไม่มีความหมายทางการเมือง ต่อให้เหลือเหมือนเดิมก็ไม่มีความหมาย เพราะนอนหนุนอยู่ที่บ้านอย่างเดียวไม่มีประโยชน์

ส่วนที่แกนนำ กปปส.บางส่วนก็ยังหนุนหลังบิ๊กตู่เต็มที่ เช่น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แก้วสรร มองว่านายสุเทพเขาคิดว่าทางเลือกของบ้านเมืองอยู่ที่ตรงนี้ แต่ผมคิดว่าบ้านเมืองมันเกินกว่าจะไม่มีเลือกตั้ง เหลือแค่ว่าจะเลือกตั้งอย่างไรแล้ว มันจะไม่เกิดปัญหาแบบเดิม ถ้าตั้งหลักคิดแบบนี้ตั้งแต่ต้นก็จะชัด ยุทธศาสตร์ยุทธการจะปรากฏ-ไม่มี แต่โรดแมปทางกฎหมายลอยๆ กับแม่นํ้า 5 สายไหลวนกลับไปกลับมาอย่างนี้ ส่วนกรณีของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ผมมองว่าหากพลเอกประวิตรลาออก บิ๊กตู่ก็ตาย เพราะพลเอกประวิตรคือหัวหน้าคณะรัฐประหารผู้คุมกําลังที่แท้จริง ลาออกไม่ได้ บิ๊กตู่ก็ออกไม่ได้.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"