ซัดต่อสัมปทานรัฐบาลประยุทธ์


เพิ่มเพื่อน    

    "ธีรยุทธ" สวมเสื้อกั๊ก อัดประยุทธ์-คสช. ทำลายความน่าเชื่อถือองค์กรอิสระ ไม่ต่างจากระบอบทักษิณในอดีต เอารัดเอาเปรียบก่อนเลือกตั้ง ดิสเครดิตนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ชี้การเลือกตั้งปีหน้าคือการประมูลสัมปทานคะแนนเสียงเป็นรัฐบาล แม้ "บิ๊กตู่" รวมเสียงบริหารประเทศไทยได้ แต่ความชอบธรรมต่ำ  เผยมิติใหม่การเมือง การขยายตัวพลังบวกของจิตอาสาและการแตกตัวของเพื่อไทย
    ที่ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ถนนราชดำเนิน ศาสตราจารย์ธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการอิสระ  กล่าวปาฐกถา 45 ปี 14 ตุลา หัวข้อ "มองประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง ปัญหาที่ใหญ่กว่าวิกฤติการเมือง" ว่า คนไทยหมกมุ่นกับปัญหาการเมืองมาตลอด 20 ปี จนมองข้ามปัญหาที่เป็นพื้นฐานกว่า เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ เช่น ความเหลื่อมล้ำ ที่มีความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนกว้างขึ้นในทุกๆ ด้าน การศึกษาในทุกระดับมีคุณภาพลดลงอย่างน่าใจหาย การทุจริตคอร์รัปชันลามลงสู่รากหญ้า กลุ่มทุนขนาดใหญ่ก่อตัวและขยายตัวมีอำนาจผูกขาดในทางเศรษฐกิจได้เกือบเด็ดขาด 
    วิกฤติการเมืองเกิดความพยายามของกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดที่จะสถาปนาอำนาจของตนเอง ก่อนเกิดวิกฤติการเมืองไทยมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นใน 2 อย่าง คือ ในทางการเมืองเกิดกระแสการเรียกร้องปฏิรูปการเมืองปี 2540 อีกมิติเกิดขึ้นพร้อมกันคือวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งเกิดจากกระแสเสรีนิยมใหม่ในโลกที่บังคับให้ไทยเปิดเสรีทางการเงิน สองเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ  ในการแก้ปัญหา เช่น เกิดฉันทามติว่าปัญหาใหญ่การเมืองไทยคือการแตกแยกเป็นกลุ่มก๊วน 
    ทางแก้คือการออกแบบรัฐธรรมนูญ 2540 ให้พรรคการเมืองเข้มแข็งขึ้นเป็นศูนย์กลางที่จะรวมกลุ่มก๊วนต่างๆ เข้าด้วยกันให้ได้ พลังที่จะมีศักยภาพดังกล่าวในประเทศมีเพียงบุคคลที่มีบารมี กองทัพ และกลุ่มทุนใหญ่ ความคิดนี้ทดลองใช้ครั้งแรกผ่านกลุ่มทุน พ.ต.ท.ทักษิณ อาศัยพลังเงินทุนรวบรวม ส.ส.มาเข้าพรรค และเพิ่มประชานิยม ซึ่งได้รับการตอบรับจากชาวบ้านสูงมาก แต่พรรคของทักษิณ รวมศูนย์อำนาจและคอร์รัปชันแบบสุดขั้ว คุกคามอำนาจทหาร ฝ่ายอนุรักษ์ และกลุ่มทุนใหญ่อื่นๆ จนเกิดการต่อต้านรุนแรง เกิดรัฐประหารขึ้น 2 หน 
    ศ.ธีรยุทธกล่าวว่า ช่วง 10 กว่าปีที่บ้านเมืองวุ่นวายมีการก่อตัวของกลุ่มทุนใหญ่ขึ้นประมาณเกือบ 10 กลุ่ม มีอิทธิพลครอบงำภาคเศรษฐกิจสำคัญๆ ไว้ได้เกือบทั้งหมด และมักเข้าไปมีอิทธิพลครอบงำการเมืองจนเกิดศัพท์เฉพาะเรียกการปกครองใต้อำนาจโดยตรงหรืออ้อมของคนกลุ่มน้อยคือทุนอิทธิพล 
    นอกจากนี้ คสช.ตั้งใจสืบทอดอำนาจมานานแล้ว ตั้งแต่ล้มรัฐธรรมนูญฉบับบวรศักดิ์มาเป็นร่างฉบับมีชัย ให้พรรคการเมืองมีสิทธิเสนอชื่อคนนอกที่ไม่ใช่ ส.ส. หรือปาร์ตี้ลิสต์ เพิ่มทั้งจำนวนและอำนาจ ส.ว. ตั้งโดยทหาร 250 คน มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรี การดึงกลุ่มการเมือง “ยี้” “มาร” มารวมเป็นพรรคพลังประชารัฐโดยไม่กังวลเสียงวิจารณ์ เป็นการการันตีเกือบ 100% ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป 
อุดมการณ์ชนชั้นนำ
    ถ้าจะหาคำอธิบายซึ่งไม่ใช่ว่าเพราะทหารอยากอยู่ในอำนาจ อยากมีผลประโยชน์แล้ว ก็ต้องมองเชิงอุดมการณ์ของชนชั้นนำไทย ซึ่งปัจจุบันคืออุดมการณ์เสรีนิยมทางเศรษฐกิจกับอนุรักษ์ทางการเมืองสุดขั้ว ในทางนโยบายก็คือ รัฐเข้มแข็ง ตลาดเติบโต ซึ่งก็คือทำให้การเมืองอ่อนแอ สังคม ชุมชนอ่อนแอ ไม่ออกมาคัดค้านเสรีภาพของกลุ่มธุรกิจ เพราะความเชื่อว่าถ้าทหารกำกับการเมืองให้มั่นคง ไม่สนใจการกระจายอำนาจ เน้นความเป็นเอกภาพและความเข้มแข็งของรัฐ แล้วปล่อยให้กลุ่มธุรกิจอิทธิพลใหญ่มีเสรีภาพในการขยายธุรกิจเต็มที่ไม่ต้องไปสกัดกั้น ก็พอเพียงที่ทำให้ประเทศมั่นคง เศรษฐกิจก้าวหน้าไปได้
    “การเมืองไทยอนาคตจึงจะเป็นประชาธิปไตยอิทธิพล ของทหาร ข้าราชการ ชนชั้นนำทางความคิด และกลุ่มทุนใหญ่ ซึ่งมีโอกาสพัฒนาเป็นการเมืองใต้เงื้อมมือทุนอิทธิพลได้ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์คงจัดตั้งรัฐบาลหน้าขึ้นได้ แต่ความชอบธรรมจะต่ำ เพราะรูปแบบการประสานประโยชน์ระหว่างพลังทหาร ข้าราชการ กลุ่มอนุรักษ์ และกลุ่มทุนใหญ่ ปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ"
    ศ.ธีรยุทธกล่าวว่า คสช.ทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. กกต. ปิดกั้นการตรวจสอบ พฤติกรรมเลือกตั้งก็ไม่ต่างไปจากระบอบทักษิณในอดีต คือมีการเอารัดเอาเปรียบก่อนเลือกตั้ง เช่น การดิสเครดิตนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามโดยอำนาจรัฐประหารที่ตนมี จับกุม ดำเนินคดี หรือเรียกมาอบรม ไปจนถึงการแจกเงินคนจน คนแก่ ข้าราชการ ชาวไร่ ชาวสวน บัตรเครดิตคนจน แจกซิมฟรี อินเทอร์เน็ตฟรี ลดภาษี ช็อปช่วยชาติ ขึ้นรถไฟฟ้าฟรีฯ และรูปแบบโดยรวมการเลือกตั้งปี 2562 ก็คือการประมูลสัมปทานคะแนนเสียงเป็นรัฐบาล คล้ายการเลือกตั้งปี 2542 ซึ่งพรรคทักษิณได้พัฒนาจากการซื้อเสียงธรรมดามาเป็นการประมูลสัมปทานเพื่อจัดตั้งรัฐบาล โดยใช้ประชานิยม ประมูลเสียงจากชาวบ้านอย่างได้ผล ได้รับการต่ออายุสัมปทานซ้ำหลายรอบ การเลือกตั้งครั้งนี้ดูจากพฤติกรรมของพรรคพลังประชารัฐบ่งว่าจะซ้ำรอยการประมูลสัมปทานคะแนนเสียงเช่นกัน
    ต้องขอวิงวอน พล.อ.ประยุทธ์ กองทัพ และนายทหารที่มีวิจารณญาณ ช่วยระงับไม่ให้ฝ่ายต่างๆ ใช้อภินิหารกฎหมายหรืออำนาจอื่นๆ จนถึงขั้นมีเสียงกล่าวหาว่าเป็นการเลือกตั้งสกปรก หรือโกงการเลือกตั้งแบบเดียวกับสมัยเผด็จการทหารปี 2500 ความชอบธรรมต่ำจะทำให้รัฐบาลประยุทธ์ถ้าชนะการเลือกตั้งจะเจอปัญหารุมเร้าตั้งแต่เริ่มต้น และจำเป็นต้องเปลี่ยนระบบคิดแบบทหาร หรือยังหลงคิดว่าตนเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์มีสิทธิชอบธรรมทุกประการ ให้มาเป็นการยอมรับความจริงของโลกยุคปัจจุบันที่มีพลังมีความคิดที่หลากหลาย ต้องมีการปรึกษาหารือ ปรองดอง และแก้ไขกฎหมายต่างๆ ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น จึงจะมีโอกาสเป็นรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับบทบาทการบริหารประเทศไปได้ 
ความขัดแย้งแดง-เหลืองลดลง
    อย่างไรก็ดี นายธีรยุทธมีข้อเสนอว่า การเมืองไทยมีโอกาสดีขึ้น เพราะมีแนวโน้มว่าจะมีหลายฝ่ายทั้งเอกชน ธุรกิจ บุคคล กลุ่ม พรรค สถาบันต่างๆ ได้ก้าวออกมารับผิดชอบบ้านเมืองด้วยตัวเอง โดยไม่หวังรอตัวบุคคลหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป แต่เมื่อยิ่งพูดเรื่องปรองดอง ยิ่งห่างความปรองดอง การเมืองไทยกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะปกติ วาทกรรมการสามัคคีปรองดองมักใช้ในยามที่บ้านเมืองเกิดปัญหา แต่ถ้าใช้มากเกินไปโดยไม่ได้เสนอให้ชัดเจนว่าประชาชนควรร่วมแก้ปัญหาแท้จริงของประเทศได้อย่างไร ก็อาจเป็นเครื่องมือของฝ่ายกุมอำนาจที่อยากอยู่ในอำนาจต่อ 
    ทั้งนี้ ความขัดแย้งเหลือง-แดง กปปส. ในปัจจุบันถือเป็นภาวะปกติแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องให้แต่ละฝ่ายเปลี่ยนจุดยืน อุดมการณ์ เพราะเวลาและสถานการณ์จะช่วยให้มีการปรับตัวให้ระบอบการเมืองดำเนินไปได้ตามสภาพเหมือนเดิมได้ กระบวนการเลือกตั้งที่กำลังดำเนินอยู่จะช่วยสร้างภาวะความแตกต่างอย่างปกติ ปกติเรามักคุ้นคำว่า แตกต่างแต่ไม่แตกแยก แต่ขอเพิ่มใหม่เป็นแตกต่างแต่แค่ถกเถียง ถกเถียงแต่ไม่ทะเลาะ ทะเลาะแต่ไม่ต่อสู้ ต่อสู้แต่ไม่แตกหัก
    "ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และเพื่อไทยจะไม่มีใครใช้วาทกรรมหรือนโยบายสุดขั้วมาหาเสียง ต้องหาแง่มุมในการวิจารณ์ผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์หรือ คสช. และสิ่งใหม่ที่จะให้กับสังคมและประชาชน และหวังว่า พรรคเพื่อไทยคงไม่ใช้แนวทางในนโยบายอย่างสุดโต่งในการหาเสียง เพราะหากใช้ พรรคที่จะโกยคะแนนเสียงคือพรรคพลังประชารัฐ แต่พรรคเพื่อไทยต้องหาแง่มุมอื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์"
    ศ.ธีรยุทธกล่าวว่า มีมิติการเมืองใหม่อยู่ 4 อย่าง คือ โซเชียลมีเดีย ปรากฏการณ์คนรุ่นใหม่ การขยายตัวพลังบวกของจิตอาสา และการแตกตัวของเพื่อไทย การเกิดโซเชียลมีเดียและเครือข่ายสังคมออนไลน์มีพลังทำให้หน่วยการปกครองท้องถิ่น ตำรวจ ราชการ และรัฐบาล สนองตอบในหลากหลายประเด็น จึงเป็นความหวังในการปฏิรูปบางด้านและการต่อต้านคอร์รัปชันอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้
    ส่วนปรากฏการณ์คนรุ่นใหม่ก็ต่อรองให้เกิดอัตลักษณ์และพื้นที่ของตัวเองในพรรคใหญ่ จนถึงขั้นตั้งพรรคของตนเองได้ เช่น พรรคอนาคตใหม่ นี้สอดคล้องความต้องการของสังคม ซึ่งต้องการสิ่งใหม่หรือปฏิเสธวัฒนธรรมอำนาจการเมืองแนวตั้งแบบบนสู่ล่างของพรรครุ่นเก่า ให้เป็นความสัมพันธ์แนวราบซึ่งเท่าเทียมกันมากกว่า นอกจากนี้ บางพรรคการเมืองก็เพิ่มบทบาทสมาชิกพรรคมากขึ้น เป็นมิติใหม่ที่เกิดขึ้น ส่วนพลังบวกของจิตอาสาเป็นพลังของคนไทยที่ยุคสมัยนี้มีความเป็นปัจเจกชน ต้องการทำดีตามที่ตัวเองชอบ ตัวเองสะดวก สะท้อนเป็นพลังมหาศาลของสังคมไทยในช่วงงานพระบรมศพรัชกาลที่ 9 และสืบเนื่องมาเรื่อยๆ  รัชกาลปัจจุบันก็ทรงให้ความสำคัญส่งเสริมจิตอาสา อย่างมาก ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันผลักดัน พลังนี้ก็อาจกลายเป็นพลังสำคัญหนึ่งของสังคมไทยที่จะปฏิรูปตนเองได้ 
กรณีพรรคเพื่อไทย
    เขากล่าวว่า พรรคเพื่อไทยก็เป็นปรากฏการณ์ที่ควรศึกษา เพราะมีฐานเสียงที่หนักแน่นกว้างขวางกว่าพรรคอื่นมาได้เกือบ 2 ทศวรรษ แต่ขณะนี้เพื่อไทยแตกออกเป็นหลายพรรคย่อย ซึ่งควรส่งผลทางโครงสร้างการเมืองดีขึ้น คือมีกลุ่มการเมืองที่การตัดสินใจเป็นอิสระมากขึ้น การขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและบางครอบครัวลดลง ถ้าพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และทุกพรรค พัฒนานโยบายให้สร้างสรรค์ที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องด้วย เว้นวาทกรรมแบบเกลียดชังสุดขั้ว ก็จะทำให้การเลือกตั้งคราวหน้าเดินไปด้วยดี มีโอกาสร่วมมือกันแก้รัฐธรรมนูญแก้กฎหมายให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งถ้าทำโดยร่วมกันแสดงเหตุผลที่เหนือกว่าก็อาจจะทำได้สำเร็จโดยไม่ต้องเผชิญหน้าแบบปะทะรุนแรงกับฝ่ายทหารอีก (อ่านรายละเอียดหน้า 4)
     ศ.ธีรยุทธให้สัมภาษณ์ภายหลังปาฐกถาว่า ภาพพจน์การเลือกตั้งครั้งนี้เริ่มต้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีคำกล่าวหาตั้งแต่เรื่องการดึงนักการเมืองที่มีเครดิตที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เข้ามา ซึ่งตนติงไปว่า อย่าทำถึงขั้นใช้อำนาจที่ไม่ชอบ จนลามไปถึงการเลือกตั้งสกปรกหรือโกงการเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้จะต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องมีความเป็นธรรม ต้องใจกว้างที่สุด
    เมื่อถามว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไป พล.อ.ประยุทธ์ จะยังได้เป็นนายกฯ 100 เปอร์เซ็นต์ใช่หรือไม่ ศ.ธีรยุทธกล่าวว่า มีโอกาสสูงมาก เพราะมีเสียง ส.ว. 250 เสียง และเสียงเพิ่มเติมอีก 125 ถึง 126 เสียงจากกลุ่ม ส.ส.ที่ดึงกันเข้ามา ก็ทำให้มีคะแนนเยอะหรือพรรคอื่นที่พร้อมจะเข้าร่วม ซึ่งหากคนที่อยู่ในวงการการเมืองเสียง จะเห็นว่า 125 เสียงนั้น เป็นเกณฑ์พอดีที่จะดึงจากคนเหล่านี้มาได้ และในส่วนความสามารถที่จะทำเพิ่ม
    ถามว่า ที่ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์จะกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง ประชาชนจะยอมรับหรือไม่ ศ.ธีรยุทธกล่าวว่า หากไม่มีการโกงเลือกตั้ง ไม่ถูกหาว่าเลือกตั้งสกปรก ทุกคนจะยอมรับ ซึ่งทุกคนจะยอมรับกติกานี้ไปก่อน และจะหาทางแก้ไข แต่ พล.อ.ประยุทธ์จะมีแรงกดดัน ซึ่งตัว พล.อ.ประยุทธ์เองจะต้องหาเปลี่ยนวิธีคิดในการทำงานใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ ตนมองว่า พล.อ.ประยุทธ์คิดแต่คำว่ารัฏฐาธิปัตย์ พูดอะไรทำอะไรมีความถูกต้อง แต่ครั้งนี้จะเจอบรรยากาศที่มีพรรคการเมืองอื่น กลุ่มพลังอื่น และมีเสียงประชาชนเข้าร่วม จึงทำให้เปลี่ยนไปทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เจอปัญหาซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ลำบาก ทั้งนี้ หาก พล.อ.ประยุทธ์ปรับวิธีคิดและวิธีทำงานก็จะยังเป็นนายกฯ ต่อไปได้.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"