"อัจฉริยะ" ร้อง ผบ.ตร.เด้ง "ผู้การกาญจนบุรี" พ้นพื้นที่ อ้างใช้อำนาจแทรกแซงคดีหวย  30 ล้าน เตรียมยื่นหลักฐานเด็ดฟันแก๊งโกงรางวัลที่ 1 ระบุมี จนท.รัฐ 2 ใน 6 ร่วมขบวนการ "จักรทิพย์" สั่งโอนสำนวนจาก "บช.ภ.7" ให้ "กองปราบฯ" รับช่วงต่อ "หมวดจรูญ-ครูปรีชา" ต่างมั่นใจเจ้าของตัวจริง 
    เมื่อวันจันทร์ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ผ่าน พ.ต.อ.วรพงศ์ เริงธรรม รอง ผบก.กองอุทธรณ์ เจ้าหน้าที่เวรอำนวยการ เพื่อเรียกร้องให้ย้าย พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี (ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี) มาช่วยราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นการชั่วคราว เนื่องจากมีพฤติกรรมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีหวย 30 ล้าน ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานด้วยความอึดอัด รวมทั้งสร้างความเสื่อมเสียต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 
    นายอัจฉริยะกล่าวว่า ตั้งแต่เกิดคดีหวย 30 ล้านพบว่า ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรีเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยาน ทำให้เกิดข้อครหาตามมามากมาย และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกิดความอึดอัด ดังนั้นเพื่อให้คดีสามารถคลี่คลายได้ด้วยความรวดเร็ว บริสุทธิ์ยุติธรรม จึงควรให้ พล.ต.ต.สุทธิมาช่วยราชการที่ สตช.เป็นเวลา 15 วัน
    "พล.ต.ต.สุทธิเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยาน ตั้งแต่การเรียก ร.ต.ท.จรูญ อดีตตำรวจที่นำสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 ไปขึ้นเงิน พาไปพูดคุยที่บ้านพัก ถือเป็นพฤติการณ์ไม่เหมาะสม ที่สำคัญมีการใช้อำนาจรัฐในช่วงระหว่างวันที่ 2-28 พ.ย.60 ในการอายัดเงินของ ร.ต.ท.จรูญ โดยไม่มีอำนาจในการยึดอายัดตาม ป.วิ.อาญา จุดนี้เรามองเห็นแล้วว่าใช้อำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม ข้อครหาพวกนี้ถ้า พล.ต.ต.สุทธิยังอยู่ในจังหวัดเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูง จะทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย" นายอัจฉริยะกล่าว
    ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมกล่าวว่า ขณะนี้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (บช.ภ.7) พบพยานหลักฐานใหม่ และในวันอังคารที่ 6  ก.พ.นี้ ตนจะนำหลักฐานอีกชุดไปเติมเต็ม ซึ่งเชื่อว่าจะสมบูรณ์และคลี่คลายคดีได้ 100% จนทำให้ตำรวจสั่งไม่ฟ้อง ร.ต.ท.จรูญแน่นอน   
    "คดีนี้ทำกันเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ เหมือนคดีครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร เป้าหมายก็เพื่อเงิน 30 ล้าน ตัวละครทุกคนมีผลประโยชน์ ขบวนการนี้มีด้วยกัน 6 คน ซึ่งมีครูปรีชารวมอยู่ด้วย และมีเจ้าหน้าที่ของรัฐ 2 คน หลักฐานที่มีอยู่ขณะนี้มีทั้งภาพนิ่ง คลิปวิดีโอ คลิปเสียงและไทม์ไลน์ของตัวประจักษ์พยาน เส้นทางการเดินทางมาเจอกันระหว่างครูปรีชาและประจักษ์พยานปากสำคัญ การทำงานของทีมงานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมกำลังทำความจริงให้ปรากฏ" ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมกล่าว
    นายอัจฉริยะกล่าวว่า ทีมงานลงพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 4 พ.ย.60 ใช้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน 4 ชุด พบความผิดปกติตั้งแต่วันที่ 2-8 พ.ย.60 เก็บข้อมูลมาตลอด เรื่องนี้ถ้าปล่อยไว้ยืดเยื้อจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่สังคม จะทำให้มิจฉาชีพเกิดการเลียนแบบ คดีนี้ครูปรีชาไม่ได้เป็นเจ้าของลอตเตอรี่ทำตกหาย 100  เปอร์เซ็นต์ ไม่มีลอตเตอรี่ตั้งแต่แรก
    "เรามีหลักฐานชัดเจน ในวันนี้ถ้าพยานปากสำคัญปากหนึ่ง ซึ่งเป็นพยานที่แม่ค้าลอตเตอรี่หามายอมรับสารภาพทุกอย่างจบ มั่นใจว่าพยานปากนี้ไม่ใช่พยานที่เห็นเหตุการณ์จริง อยากฝากบอกไปยังครูปรีชา คุณเหลือเวลาอีกแค่ 48 ชม. พรุ่งนี้เวลา 14.30 น.ก็หมดเวลาแล้ว" นายอัจฉริยะกล่าว
    ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมกล่าวว่า ในจำนวนผู้ร่วมขบวนการโกงลอตเตอรี่ 6 คนนั้น 1 ใน 6 เป็นเจ้าหน้าที่รัฐด้านกระบวนการยุติธรรมแห่งหนึ่งย่านรัชดาฯ ซึ่งจะนำข้อมูลดังกล่าวไปมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดีดังกล่าวที่ บช.ภ.7 ในวันที่ 6 ก.พ.นี้
    ขณะที่ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยืนยันว่าตั้งแต่เกิดคดีหวย 30 ล้านขึ้นมาในช่วงเดือน พ.ย.60 บช.ภ.7 ได้ตั้งชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนในการรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งพยานบุคคล พยานแวดล้อม และพยานทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อคลี่คลายคดี อีกทั้งได้ร่วมกับชุดสืบสวนจากกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ในการสืบสวนว่าคดีนี้มีการกระทำโดยเป็นขบวนการหรือไม่อีกทางหนึ่ง เพื่อให้สามารถตอบคำถามของสังคมได้ 
    "กระแสข่าวที่บอกเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ให้ความเป็นธรรมนั้นไม่เป็นความจริง พนักงานสอบสวนได้ให้ความเป็นธรรมและถูกต้องมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานอย่างเต็มที่ แต่เพื่อให้คดีเกิดความชัดเจนมากขึ้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ บช.ภ.7 โอนสำนวนคดีการสอบสวนมายังกองปราบปรามทำคดีต่อ ให้เกิดความโปร่งใสและให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจมากขึ้น" รองโฆษก สตช.กล่าว
    ด้าน พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่ได้ทำผิดและไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ ซึ่งหากนายอัจฉริยะอยากยื่นหนังสือก็ทำไป
    พล.ต.ต.กฤษณะ ทรัพย์เดช รอง ผบช.ภ.7 กล่าวว่า บช.ภ.7 ยังไม่ได้รับหนังสือคำสั่งให้โอนคดีหวย 30 ล้านบาทให้กองปราบปรามทำคดีแทน คงต้องรอให้ผู้บังคับบัญชาส่งหนังสือมาก่อน ส่วนการออกหมายเรียก ร.ต.ท.จรูญให้มารับทราบข้อกล่าวหายักยอกทรัพย์ของตกหล่นและรับของโจร หาก ร.ต.ท.จรูญจะขอเลื่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาก็สามารถประสานกับพนักงานสอบสวนได้ เพราะเจ้าหน้าที่ยินดีให้ความเป็นธรรมทุกฝ่ายอยู่แล้ว
    วันเดียวกัน ร.ต.ท.จรูญกล่าวถึงกรณี ผบ.ตร.โอนคดีหวย 30 ล้านจาก บช.ภ.7 ให้กองปราบปรามทำคดีแทนว่า รู้สึกพอใจมาก เพราะเท่าที่ผ่านมาดูเหมือนมีหลายประเด็นที่ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็เคยพูดไปหลายครั้ง แต่เมื่อ ผบ.ตร.สั่งการให้กองปราบปรามมาสอบสวน ก็น่าจะได้รับความน่าเชื่อถือจากสังคมมากขึ้น
    ส่วนนายปรีชา ใคร่ครวญ ครูชำนาญการพิเศษ กล่าวว่า ตนไม่มีปัญหาอะไรหากจะโอนคดีจากตำรวจภูธรภาค 7 ไปให้กองปราบปรามสอบสวนต่อ เพราะการสอบสวนทางคดีก็ต้องรวบรวมข้อเท็จจริง 
    "ความจริงก็คือความจริง ผมเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เชื่อว่าการทำสำนวนสอบสวนก็ต้องยึดโยงพยานหลักฐานต่างๆ สอบสวนอย่างไรก็จะได้ความจริงที่เกิดขึ้นเหมือนเดิม" ครูปรีชากล่าว 
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ทนายความของ ร.ต.ท.จรูญในคดีหวย 30 ล้าน ได้โพสต์ข้อความอีกครั้งระบุ "ทำไมผมถึงพักผ่อนอย่างใจเย็น  แม้การเดินทางของผมจะตรงกับการแถลงข่าวของตำรวจภูธรภาค 7 เพราะผมเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว # ความยุติธรรม มันรออยู่ตรงปลายทางเสมอ #แค่รอเวลาเท่านั้น #ขอบคุณกองปราบปราม #ขอบคุณกองบัญชาการสอบสวนกลาง ขอให้ช่วยไขความจริง ขอให้ช่วยดำรงความยุติธรรมให้กับสังคม แล้วจะเป็น #อัศวินขี่ม้าขาว ของประชาชนอย่างแท้จริง" 
    ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นายธนวรรธน์ พลวิชัย โฆษกคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวถึงกรณีลอตเตอรี่ 30 ล้านบาทที่ จ.กาญจนบุรี มีการระบุผู้ขายสลากเสนอขายเกินราคาชุด 5 ใบ รวม 4 ชุด ขายถึง 2,200 บาทว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจสามารถสอบสวนได้ทันที  หากตรวจสอบพบว่ามีการขายเกินราคาจากที่รัฐบาลกำหนดไว้ใบละ 80 บาท หรือหากขายเป็นชุด 5  ใบเกิน 400 บาทก็สามารถดำเนินคดีทันที โดยมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และจำคุกไม่เกิน 1  เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ.