'อุ๋ย'ทิ้งบอมบ์'บิ๊กตู่' จัดหนัก8เหตุผลสกัดนั่งนายกฯอีกสมัยหวั่นวุ่นวาย


เพิ่มเพื่อน    

    “คุณชายอุ๋ย” ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ใส่ “ประยุทธ์” ยก 8 เหตุผลที่ไม่ต้องการให้นั่งนายกฯ อีกสมัย ไล่ตั้งแต่ “วินัยการเงินการคลัง-ซบจีน-ผลประโยชน์ทับซ้อน-ภาษา” โดยเฉพาะเคสดอดจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ใกล้ชิดทุนใหญ่ประเคนโครงการ-ที่ดินให้ “ประวิตร” เดือดอัดพูดส่งเดช คนไม่ถูกกันส่วนตัว “เพื่อไทย” ได้ทีบี้ “ลุงตู่” ขนคณะลงนนทบุรี-พระประแดง บอกปูต้องมัดไว้ “ยิ่งลักษณ์”โผล่โพสต์เฟซฯ คิดถึงบรรยากาศหาเสียง
    เมื่อวันจันทร์ สำนักข่าวอิศราได้เผยแพร่บทความของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลประยุทธ์ 2 ในหัวข้อ “8 เหตุผลที่ผมไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ อีก” โดยระบุว่า เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยากเป็นนายกฯ อีกต่อไปในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ มีการตั้งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ขึ้นมาเพื่อปูทางให้ และที่น่าเกลียดมากคือ การใช้งบประมาณแผ่นดินในการสร้างคะแนนนิยมให้แก่ตนเองและพรรคการเมืองฝ่ายตน เป็นการเอาเปรียบคู่ต่อสู้อย่างไม่ละอาย จึงต้องลดความได้เปรียบของฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ลง เพื่อให้มีการแข่งขันเป็นธรรมขึ้น จึงตัดสินใจเขียนบทความนี้เพื่อให้เห็นถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติหาก พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ ต่อไป โดยมี 8 เหตุผล ดังนี้
    1.ในเวลา 3 ปีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ขาดวินัยทางการคลัง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ ขาดดุลเพิ่มสูงขึ้น และมีการผูกพันงบประมาณใน 5 ปีข้างหน้าถึง 1,178,275 ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเป็นงบของกระทรวงคมนาคมเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งยอมรับได้ แต่งบผูกพันอันดับสองเป็นของกระทรวงกลาโหม 177,294 ล้านบาท เป็นเรื่องขาดวินัยการคลังอย่างน่าเกลียด โดยเฉพาะการสร้างเรือดำน้ำ ซึ่งเดิม รมว.การคลังคัดค้านเป็นลายลักษณ์อักษร จนฝ่ายทหารต้องดึงเรื่องออก แต่ รมว.การคลังคนต่อมา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์เลือกเองไม่คัดค้านเรื่องนี้แต่ประการใด 
    2.พล.อ.ประยุทธ์และเพื่อนร่วมรุ่น 6-7 คนได้กระทำการที่ไม่โปร่งใส เพื่อแอบตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติขึ้นมา โดยเพิ่มบทบัญญัติจัดตั้งบรรษัทน้ำมันฯ ในการพิจารณาพระราชบัญญัติปิโตรเลียม วาระที่ 2 ของกรรมาธิการวิสามัญของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทั้งๆ ที่ในการพิจารณาอนุมัติในวาระที่ 1 ไม่มีเรื่องดังกล่าว โดยหวังให้บรรษัทน้ำมันฯ ถือสิทธิ์ทรัพยากรปิโตรเลียมทุกชนิดของประเทศ และช่วงเริ่มต้นจะให้กรมพลังงานทหารเป็นผู้บริหารบรรษัทน้ำมันฯ ไปก่อน ซึ่งจะทำให้กิจการน้ำมันไทยถอยหลังไปกว่า 50 ปีในยุคน้ำมันสามทหาร ซึ่งสมาชิก สนช. ส่วนใหญ่เข้าใจและเห็นถึงผลเสีย จึงมีมติให้ตัดบทบัญญัตินี้ออกไปในวาระ 3 แต่เชื่อกลุ่มบุคคลต้นคิดจะยังไม่หยุด หาก พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ อีกสมัยก็อาจผลักดันเรื่องนี้
    3.ไทยเป็นประเทศที่มีนโยบายต่างประเทศถ่วงดุลอำนาจระหว่างประเทศมหามิตรหลายฝ่ายที่มีอำนาจในโลกมาเป็นอย่างดี แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ดำเนินนโยบายเอาใจจีนมากกว่าประเทศมหามิตรอื่น เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงระหว่างกรุงเทพฯ-หนองคาย และการสอดไส้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ในเรื่องให้คนต่างชาติเข้ามาเป็นผู้อยู่อาศัยและถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในไทยได้โดยง่าย แต่โชคดีที่ สนช.ที่เป็น กมธ.ในวาระที่ 2 มองเห็นประเด็นนี้จึงได้มีมติเอกฉันท์ตัดเรื่องดังกล่าวออกไป แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง เมื่อมีอำนาจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ก็อาจแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.อีอีซีให้เพิ่มเรื่องดังกล่าวอีก
“ทหาร”ผู้ปกครอง
    4.ในเวลา 4 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์และ คสช.ได้กระทำการหลายอย่างที่ทำให้คนไทยเห็นว่าทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน เช่น กรณีโครงการราชภักดิ์ และกรณีรายงานทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และยังพยายามให้เห็นว่าทหารคือฝ่ายปกครอง ในขณะที่พลเรือนคือผู้ถูกปกครองในกรณีเรียกปรับทัศนคติ หากนานไปก็มีผลให้ประชาชนทั่วไปไม่ชอบทหารมาก ไม่ต่างจากช่วงเวลา พ.ศ.2510-2516 หากสะสมมากขึ้นอาจเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองได้
    “ในสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯ ไม่เคยทำให้ประชาชนไม่พอใจทหารเลย ตรงข้ามท่านทำให้ประชาชนเห็นว่าทหารเป็นที่พึ่งของประชาชน แต่วันนี้ความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อทหารเปลี่ยนไปแล้ว โดยยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ หาก พล.อ.ประยุทธ์ลงจากตำแหน่งไม่กลับมาเป็นนายกฯ และ คสช.ยุติบทบาท”
    5.ในระหว่าง 1 ปีที่ทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ได้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์สนิทสนม และใกล้ชิดกับนายทุนที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่บางราย ตั้งแต่การแต่งตั้งบุคคลที่สนิทสนมกับกลุ่มธุรกิจปลอดภาษีเป็นประธานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ตามมาด้วยการแต่งตั้งให้บุคคลที่เป็นตัวแทนของกลุ่มธุรกิจใหญ่ข้าไปนั่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และยังเคยเชิญนักธุรกิจไปร่วมแสดงความเห็นในที่ประชุม ครม. ซึ่งก็เป็นความเห็นที่เป็นประโยชน์แก่นักธุรกิจผู้นั้นโดยเฉพาะ และยังมีอีกหลายเรื่องที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักธุรกิจรายใหญ่บางคนโดยเฉพาะด้วย
“ยังเคยเอ่ยปากให้ผมจัดให้กลุ่มธุรกิจกลุ่มใหญ่เป็นผู้ลงทุนและดำเนินการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน โดยไม่ต้องประมูล เคยเอ่ยปากให้ผมจัดให้กรมธนารักษ์ให้เช่าที่ดินในเขตทหารบริเวณกาญจนบุรีให้เอกชนในราคาถูก” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรเขียนไว้
    6.พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะกลัวเสียคะแนนนิยม โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย เช่น โครงการสร้างโรงไฟฟ้าผลิตจากถ่านหิน การประมูลสัมปทานสำรวจและขุดเจาะก๊าซธรรมชาติรอบที่ 21 และภาษีทรัพย์สิน ซึ่งต้องใช้เวลากว่า 3 ปีกว่ากฎหมายจะผ่านสภาออกมาบังคับใช้ได้แทนที่จะทำได้เสร็จในปีแรก ซึ่งบุคคลที่ไม่กล้าตัดสินใจ เพราะกลัวเสียคะแนนนิยมเช่นนี้ หากได้กลับมาเป็นนายกฯ อีก การปฏิรูปในเรื่องต่างๆ ที่เตรียมกันไว้ก็จะเดินหน้าต่อไปได้ยาก 
    7.ปีหน้าไทยจะเป็นประธานการประชุมอาเซียน หาก พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ และทำหน้าที่ประธาน มีความเสี่ยงที่คนไทยจะต้องอับอายขายหน้า ดังที่เคยเกิดมาแล้วในปี 2558 เมื่อครั้งที่ไทยเป็นประธานของการประชุมประเทศกำลังพัฒนา G77 ของสหประชาชาติที่สิงคโปร์ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนที่ไม่มีวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ และเมื่ออารมณ์เสียแล้วก็จะบุ่มบ่ามและมุทะลุ 
จัดหนักแม้เรื่องภาษา
    และ 8.ในเวลา 4 ปีที่ผ่านมา นักข่าวมีโอกาสได้ฟังนายกฯ แถลงข่าวทุกวันประชุม ครม. และบทให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ก้าวร้าว และบางครั้งใช้คำหยาบคาย อาจกลายเป็นตัวอย่างที่เยาวชนทำตาม และยิ่งได้ฟังคำปราศรัยทุกเย็นวันศุกร์ สิ่งที่น่าอนาถใจคือ การใช้ภาษาไทยไม่เหมาะสม แม้มีผู้ช่วยแก้ต่างให้ พล.อ.ประยุทธ์ว่าเพราะเป็นทหาร แต่ พล.อ.เปรม และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็พูดจาดีและนุ่มนวล 
“หาก พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ อีก การปฏิรูปที่เตรียมไว้ก็คงไม่สำเร็จ เพราะความไม่กล้าตัดสินใจ กลัวเสียคะแนนนิยม ฐานะการคลังคงเสื่อมไปอีก คนไทยคงต้องทนฟังการพูดภาษาไทยที่ขัดหู ต้องนั่งใจเต้นว่านายกฯ จะไปทำให้ไทยขายหน้าในเวทีโลก ต้องห่วงว่าจะผลักดันบรรษัทน้ำมันแห่งชาติอีก รวมถึงการให้ประโยชน์แก่กลุ่มธุรกิจที่ใกล้ชิด และหากรวมเข้ากับความไม่พอใจในการที่ทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน ก็อาจทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองได้ ด้วยเหตุเหล่านี้ ผมจึงไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ อีกเลย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรทิ้งท้าย
    พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีเพื่อนร่วมรุ่น 6-7 คนของ พล.อ.ประยุทธ์หนุนตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติไม่โปร่งใส ว่า “พูดส่งเดช ไม่มีเลย ไปตั้งบริษัทน้ำมันที่ไหน ไม่มีหรอก พูดไปเรื่อย คนไม่ชอบกันส่วนตัว”
    เมื่อถามว่าไม่ชอบตัวท่าน หรือนายกฯ พล.อ.ประวิตร กล่าวย้ำว่า เป็นการไม่ชอบกันส่วนตัว หลังจากเขาออกไปจาก ครม.ก็ไปคิดเอาเอง
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวเช่นกันว่า นายกฯ รับทราบแล้ว ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล คงไม่มีใครไปห้ามได้ แต่อยากให้ศึกษาข้อมูลให้ถูกต้อง เพราะเรื่องที่พูดล้วนแต่เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน หลายประเด็นมาจากความคิดเห็นส่วนตัว ทำให้สังคมสับสนและอาจเข้าข่ายให้ร้ายบุคคลอื่นได้ 
    นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธรถือเป็นคนในยิ่งกว่าใน ฟังมากับหู ดูมากับตา เมื่อออกมาพูดประชาชนจึงต้องยิ่งกว่าหูผึ่ง โดยฟังจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ประชาชนไม่สบายใจ ไม่แน่ใจว่า พล.อ.ประยุทธ์มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ทำให้ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเสียหายหรือไม่ จึงขอเรียกร้องให้ออกมาชี้แจงว่ามีการกำหนดนโยบายเอื้อเอกชนจริงหรือไม่ คนสั่งจะรับผิดชอบอย่างไร ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาชี้แจงโดยเร็ว
ตู่บอก”ปู”ต้องมัดไว้
ส่วนความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น ได้นำคณะรัฐมนตรีบางส่วนลงพื้นที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ โดยช่วงหนึ่งของการเยี่ยมชมตลาดพระประแดง นายกฯ ได้ดูแผงขายอาหารทะเลสด พร้อมหยิบปูม้าขึ้นมา และถามพ่อค้าว่า ปูต้องมัดไว้ใช่ไหม ตายหรือยัง พร้อมถามอีกว่าขายดีหรือไม่ ซึ่งพ่อค้าตอบว่า ขายไม่ค่อยดี นายกฯ จึงแนะนำให้ประชาสัมพันธ์ให้เกิดความคึกครื้น พร้อมกับถามพ่อค้าอีกว่า ที่ขายไม่ดีแสดงว่าเราสู้เขาไม่ได้ใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาลูกค้าประจำ ขณะที่พ่อค้ากล่าวว่า ลูกค้าประจำมีน้อย เพราะให้เขาติดค่าสินค้า ลูกค้าเลยหนีไปหมด นายกฯ ยังได้กล่าวทีเล่นทีจริงว่า เป็นความผิดนายกฯ อีกใช่ไหม จากนั้นพ่อค้าได้บอกกับนายกฯ ให้อยู่อีก 4 ปี ซึ่งนายกฯ ได้เพียงยิ้ม
    ต่อมาไม่นาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์เฟซบุ๊กทันทีว่า ช่วงนี้แต่ละพรรคการเมืองก็เริ่มเดินสายพบปะพี่น้องประชาชนเพื่อแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็น เห็นแล้วก็อดนึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ครั้งที่เคยได้ลงไปสัมผัสถึงความรัก ความอบอุ่นจากพี่น้องประชาชนขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้จริงๆ วันนี้แม้โลกจะก้าวไกล และเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน แต่เสียงของพี่น้องประชาชนก็ยังถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเลือกตั้ง และเสียงนั้นก็ยังดังอยู่ในใจเสมอ คิดถึงทุกคนนะคะ
    ต่อมาเวลา 09.30 น. คณะ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางมาที่สวนสุขภาพลัดโพธิ์ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ขอให้ประชาชนติดตามในข่าวสารดีๆ ส่วนข่าวที่ไม่ดีอ่านแค่สนุกก็พอ เพราะไม่ถือว่าเกิดประโยชน์มากนัก หากพบอะไรที่ควรระวังก็ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ แต่อย่าพูดอะไรโดยไม่มีหลักฐาน เราต้องแก้ปัญหาของประเทศไทยด้วยความรักความสามัคคี อย่าขัดแย้ง 
    ในช่วงเวลา 12.45 น. ที่วัดบางไผ่ พระอารามหลวง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี คณะ พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทางเยี่ยมชมกิจกรรมร้านค้าชุมชนและผลิตภัณฑ์โอท็อป โดย พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่า ไม่ได้มาเพื่อการเมือง ไม่ได้มาเพื่อให้สนับสนุนพรรคใดทั้งสิ้น มาด้วยตัวเอง มาด้วยรัฐบาลนี้ ซึ่งต่อไปก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่ทุกคนต้องเลือกเข้ามา เป็นหน้าที่ของประชาชน ไม่ใช่ตนเอง เพราะแม้แต่จะบอกให้เลือกแล้วพวกท่านจะเลือกตามหรือ มันทำไม่ได้ผิดกฎหมาย ดังนั้นทุกคนมีหน้าที่ที่จะเลือกด้วยตัวเอง แต่ขอความกรุณาให้เลือกด้วยเหตุและผล เลือกคนที่มีความรู้ มีคุณธรรม และมีความตั้งใจดีจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองดีขึ้น ไม่ใช่พูดแค่ดิสเครดิต.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"