"เพราะผมเคยใช้มาแล้ว"


เพิ่มเพื่อน    

    วานนี้ (๒๗ ธันวาคม) ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์คึกคัก
    "ป๋าเปรม" เปิดบ้านให้บุคคลหลายคณะเข้าอวยพรและรับพรปีใหม่ ๒๕๖๒ 
    และไฮไลต์ที่สังคมจับจ้องคือ... 
    "ป๋าเปรม" จะพูดอะไร 
    กับคณะลุงตู่ และ ครม. ป๋าพูดยาวหน่อย
    .......ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่บ้านเมืองของเราไปได้ราบรื่น ในการบริหารของนายกฯ และรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากเราเป็นมิตรกัน 
    นายกฯ ก็เป็นมิตรกับผม 
    ลุงป้อม ทั้งหมดเป็นมิตรกัน สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ 
    ผมคิดว่าถ้านักการเมือง ที่เรียกว่า ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน เห็นแก่ความเป็นมิตร ทุกอย่างก็จะราบรื่น และไปได้สวยงาม 
    ต้องพูดว่า เห็นต่างกันด้วยความเป็นมิตรจะดีมาก เพราะทุกคนเป็นมิตรกันและเห็นต่างกันแค่นั้น
    ขอให้นายกฯ เห็นว่าฝ่ายค้านเห็นต่าง ก็เห็นต่างอย่างมิตร 
    แต่อย่าเห็นต่างเป็นศัตรูกัน ซึ่งไม่มีประโยชน์ 
    ขอให้คิดว่าความเห็นต่างต้องมี 
    แต่มีอย่างมิตร 
    ขอให้นายกฯ ช่วยทำตรงนี้ อย่าเห็นต่างกับฝ่ายค้าน ซึ่งก็โอเค  
    ทั้งนี้ ต้องเห็นต่างอยู่แล้ว แต่ต้องเห็นต่างอย่างมิตร 
    ผมอยากให้นายกฯ ทำตัวอย่าง ว่าผมเห็นต่างกับคุณ แต่ผมก็เป็นเพื่อนกับคุณ ก็จะทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ไปได้ราบรื่น 
    ขอฝากนายกฯ ไว้อาจจะต้องจำไปใช้ตามที่ผมพูดไว้ก็ได้ เพราะผมเคยใช้มาแล้ว....    ....ขอขอบคุณนายกฯ อีกครั้ง และขอฝากไว้ว่าเห็นต่างกันอย่างมิตรเป็นสิ่งที่น่าจะนำไปใช้ ขอบคุณมาก
    และขอให้นายกฯ และพวกเราทุกคนมีความสุขสวัสดี 
    มีอายุยืนยาวตลอดไป บริหารประเทศด้วยความเป็นมิตรและด้วยความรักคนไทยอย่างที่นายกฯ กำลังทำ 
    ขอเป็นผลสำเร็จให้ปรากฏในสายตาของคนไทยและคนต่างประเทศตลอดไป.....
    มาถึงคณะ พล.อ.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช.ผบ.ทบ.) และเหล่าทหารเหล่าม้า เข้าอวยพรและขอพรวันปีใหม่ ๒๕๖๒ ก็มีเรื่องน่าฟัง
    ...ดีใจที่พวกเราเป็นปึกแผ่น 
    พวกเราคงได้ยินสิ่งที่ผมพูดกับนายกฯ ว่าเห็นต่างกันฉันมิตร แต่พวกเราไม่ต้องไปใช้ เพราะพวกเราไม่เคยเห็นต่าง 
    จึงแค่เป็นมิตรกันอย่างเดียว 
    ขอฝากเหล่าทหารม้ากับผู้ช่วย ผบ.ทบ.ให้สอนรุ่นน้องรุ่นลูกหลานที่ออกมาใหม่ ให้เข้าใจเรามีลักษณะพิเศษอย่างไรบ้าง     
    ประเพณีอาบน้ำม้าก็ยังอยู่ 
    ผมขอให้ทุกคนมีความสุขความเจริญ ดำรงความเป็นเหล่าทหารม้าตลอดไป ให้ทุกคนเป็นเหล่าทหารม้าสืบทอดกันต่อไป ไม่มีวันขาดสาย....
    ไม่ใช่คำพูดที่ต้องถอดรหัสอะไร 
    หรือไปตีความอะไรให้วุ่นวาย  
    ตรงไปตรงมา 
    "ป๋าเปรม" บอก "ลุงตู่" ขอให้เห็นว่าฝ่ายค้านเห็นต่าง...ก็เห็นต่างอย่างมิตร! 
    เพราะถ้านักการเมือง ที่เรียกว่า ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน เห็นแก่ความเป็นมิตร ทุกอย่างก็จะราบรื่น และไปได้สวยงาม 
    ป๋าเคยใช้วิธีนี้มาแล้ว
    และป๋าอยู่ยาวถึง ๘ ปี  
    ก่อนเกิดวลีอมตะ "ผมพอแล้ว" 
    วันนี้ "ป๋าเปรม" มองเห็นอะไร?
    ที่จริงก็ตรงตามตัวอักษร มันมีความเห็นต่างอย่างไม่เป็นมิตรเกิดขึ้นจริง และกำลังกัดกร่อนศรัทธาในตัว "ลุงตู่" รวมไปถึงการเมืองทุกฝ่าย ทุกพรรค
    ทำให้เกิดการเผชิญหน้า และนับวันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ 
    บางคนมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการหาเสียงเลือกตั้ง แต่หากพิจารณาลึกไปลง มีการจุดเชื้อเอาไว้ พร้อมปะทุหลังการเลือกตั้งได้ทันที 
    แต่วันนี้คนที่ "ป๋าเปรม" เตือนได้ คงจะมีเพียงรัฐบาล คสช. ขณะที่พรรคการเมืองหลายๆ พรรค มอง "ป๋าเปรม" เป็นคู่ขัดแย้ง 
    ๘ ปีในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ "ป๋าเปรม" ไม่มีอะไรง่าย 
    ต้องแก้ทั้งปัญหาความขัดแย้งในรัฐบาล โดยเฉพาะกับพรรคร่วมรัฐบาล
    ปัญหาการเมืองในสภาฯ กับฝ่ายค้าน 
    และมีความพยายามก่อรัฐประหารถึง ๒ ครั้ง 
    ป๋าผ่านมาได้หมด 
    แล้วลุงตู่จะผ่านได้หรือเปล่า หากจะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย 
    ภูมิหลังของผู้นำมีผลต่อวิธีการบริหารประเทศมากโขทีเดียว
    "ป๋าเปรม" เข้าสู่การเมือง ด้วยการผลักดันของกลุ่มทหารยังเติร์ก 
    ชื่อเสียงของ "ป๋าเปรม" ในด้านความซื่อสัตย์สุจริต สร้างศรัทธาในหมู่ประชาชนในเวลานั้นได้มาก 
    เป็นความหวังใหม่ของสังคมไทย!
    การแต่งตั้งคณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ของ "ป๋าเปรม" จึงมีนักวิชาการที่มีความซื่อตรงต่อวิชาชีพร่วมงาน เช่น เขียน ธีระวิทย์ และ เสน่ห์ จามริก 
    และบุคลิกที่พูดน้อยต่อยหนัก จึงแทบไม่มีคำพูดที่เป็นนายให้ปวดหัวทีหลัง 
    วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปีที่ ๑๒ ฉบับที่ ๑ มกราคม - เมษายน ๒๕๖๑ ตีพิมพ์ผลการศึกษาภูมิหลังของนายกรัฐมนตรีทหารที่ส่งผลต่อรูปแบบการสื่อสารทางการเมือง เอาไว้น่าสนใจ
    ...สรุปบุคลิกลักษณะของนายกรัฐมนตรีทหารได้ ๒ ลักษณะคือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีบุคลิกที่คล้ายกันคือ ความห้าวหาญ เด็ดเดี่ยว จริงจัง กล้าตัดสินใจ 
    แต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีความเด็ดขาด ดุ น่าเกรงขามชัดเจนกว่า 
    ส่วนจอมพลถนอม กิตติขจร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มีบุคลิกไปในทิศทางเดียวกัน คือ ความสุภาพ เรียบร้อย 
    และประนีประนอม 
    พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จะมีลักษณะดังกล่าวที่ชัดเจนมากกว่า 
    ส่วนรูปแบบการสื่อสารมีดังนี้ 
    จอมพลถนอม กิตติขจร พูดจาสุภาพ เสียงดังฟังชัด และไม่พูดจาเสียดสีผู้อื่น 
    จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พูดจาเสียงดังเฉียบขาด มีอำนาจ และเด็ดขาด 
    พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พูดน้อย และระมัดระวังในการสื่อสาร 
    พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พูดจาให้เกียรติผู้อื่น มีมธุรสวาจา และไม่สร้างศัตรู 
    และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สื่อสารด้วยความจริงใจ ในบางคราวมีอารมณ์เข้ามาเจือปน และมิได้มีการวางแผน....
    จะเห็นได้ว่าบุคลิกของ "ป๋าเปรม" กับ "ลุงตู่" นั้น ต่างกันอย่างสิ้นเชิง 
    "ป๋าเปรม" มีความประนีประนอมสูง ตามสไตล์ทหารม้า 
    ส่วนทหารราบแบบ "ลุงตู่" นั้น ดุดัน!
    สุดท้ายก็อยู่ที่ "ลุงตู่" จะเอาการบ้านของ "ป๋าเปรม" ไปทำหรือไม่!
    แต่การที่ "ป๋าเปรม" ออกมาพูดเรื่องนี้ ขอให้ "ลุงตู่" ตระหนักไว้ก่อนว่า...ไม่ธรรมดา 
    อีกเรื่องร้อน หลังดองเค็มมานาน....
    คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติด้วยคะแนนเสียง ๕ ต่อ ๓ ว่า ยังไม่มีมูลเพียงพอว่า พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ 
    รายละเอียดตามข่าว 
    ป.ป.ช.พิจารณาภาพของนาฬิกา จำนวน ๒๕ เรือน ที่ปรากฏเป็นข่าว
    พบว่ามีภาพซ้ำกัน ๓ คู่ 
    จึงมีนาฬิกาที่ต้องตรวจสอบ จำนวน ๒๒ เรือน 
    พบว่าอยู่ในบ้านของนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ จำนวน ๒๐ เรือน
    และพบใบรับประกันนาฬิกาอีก ๑ เรือน แต่ไม่พบตัวเรือน รวมเป็น ๒๑ เรือน 
    ๒๑ เรือนดังกล่าวพบหลักฐานว่า นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เป็นผู้ซื้อจากผู้จำหน่ายในต่างประเทศ จำนวน ๑ เรือน 
    ซื้อต่อจากผู้อื่น จำนวน ๒ เรือน 
    ส่วนที่เหลือไม่พบหลักฐานการซื้อจากผู้จัดจำหน่ายภายในประเทศ และกรมศุลกากรก็ไม่สามารถตรวจสอบยืนยันการนำเข้านาฬิกาจากต่างประเทศได้ เพราะผู้นำเข้าบางรายไม่สำแดงข้อมูลรายละเอียดของนาฬิกา 
    ในส่วนการขอข้อมูลการซื้อขายนาฬิกาจากต่างประเทศ บางประเทศได้ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล หรือบางประเทศตอบว่าไม่สามารถตรวจสอบได้.... 
    Believe it or not....
    คือ...ไม่อยากเชื่อ แต่ก็ไม่เหนือความคาดหมาย 
    เพราะมันต้องจบที่บ้านของ “เสี่ยคราม-ปัฐวาท สุขศรีวงศ์" ผู้ล่วงลับ 
    ไปทางอื่นไม่ได้ 
    อารมณ์มันเหมือนเห็นหลังไวๆ แต่จับไม่ได้ ไม่รู้ใคร     
    เป็นอันว่า ประเด็นนาฬิกาเพื่อน จบในขั้นตอนของ ป.ป.ช. 
    แต่ในความรู้สึกของผู้คน จบยาก เพราะยังมีคำถามมากมาย 
    ที่คาใจหนักสุดคือ "บิ๊กป้อม" ชอบนาฬิกา แต่ไม่มีนาฬิกาเป็นของตัวเอง
    ยืมเพื่อนตลอดศก
    เขาเรียกสิ่งนี้ว่า...ผิดธรรมชาติ.
                            ผักกาดหอม


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"