เตือนใจรับมือเทศกาล ดูสถิติน้ำเมา ...เหยื่อคือเยาวชน


เพิ่มเพื่อน    

ปลุกประชาชน...เสียงดัง!!!

จี้ธุรกิจน้ำเมารับผิดชอบสังคม

ประเทศไทยถือเป็นประเทศอันดับต้นๆ ของโลก ที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน  เนื่องด้วยเหตุเมาแล้วขับ ไม่เพียงแต่ตัวการได้รับบาดเจ็บล้มตายไปจำนวนมาก  แต่สิ่งที่น่าเจ็บปวดมากกว่าคือบุคคล ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องและดำเนินชีวิตบนท้องถนนไปตามปกติ ต้องมารับเคราะห์กรรม จนอนาคตเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่พวกเขาไม่ได้ดื่มเหล้า

เรื่องราวเหล่านี้ได้สะท้อนผ่านเวทีเสวนา “ เรื่องเหล้า ผลกระทบในรอบปี 2561” จัดโดย สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(ครปอ.) เครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา เครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ (ครปอ.)และเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ และองค์กรที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพต่าง ๆ ให้การสนับสนุน

 เภสัชกรสงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.เปิดเผยว่า จากการรวบรวมรายงานข่าว ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบจากการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งได้ทำการสรุปสถานการณ์ข่าวที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรอบปี 2561 จาก www.stopdrink.com โดยมูลนิธิสื่อเพื่อเยาวชน พบว่า  มีสถิติโดยรวมทั้งหมด 872 ข่าวหรือเฉลี่ยวันละ2 ข่าว แบ่งรายละเอียดเป็น คนบาดเจ็บ 532 ราย   เสียชีวิต  434 ราย   ส่วนใหญ่เกิดกับกลุ่มคนวัยทำงาน  70%  และรองลงมาเป็นกลุ่ม วัยรุ่น 30% มีค่าเฉลี่ย ผู้ชายสูงถึง 92 %  ผู้หญิง 8%

   หากจำแนกข่าวจะพบว่า เป็นข่าวอาชญากรรมอันดับหนึ่งถึง 207 ข่าว  ส่วนใหญ่เป็นทะเลาะวิวาท เมาแล้วขาดสติ รองลงมาจากสถิติคือข่าวอุบัติเหตุอื่นๆ 205ข่าว  โดยข่าวอุบัติเหตุบนท้องถนน 146 ข่าวส่วนใหญ่เกิดกับกลุ่มเยาวชน

“สลค.ทำงานรณรงค์ตลอดทั้งปี เพื่อให้ลด ละ เลิก ขณะที่ในช่วงเทศกาล หรืองานที่มีคนจำนวนมากเช่น งานบุญ งานบวช งานแต่ง เพื่อเน้นให้เป็นกิจกรรมปลอดเหล้า แต่ปัญหาสำคัญคือเราอยู่ในสถานการณ์ที่ ผู้มีอำนาจไม่กล้าควบคุม แม้แต่การห้ามจำหน่ายในสถานศึกษา ก็ไม่กล้าจัดการเพราะกลัวธุรกิจเดือดร้อน   ซึ่งประชาชนต้องช่วยกันพูดให้เสียงดังๆเพิ่มขึ้น รวมทั้งพรรคการเมืองไหนที่มีนโยบายควบคุม แน่นอนว่า คนไทยไม่ดื่มเลยมันเป็นไปไม่ได้ แต่ควรดื่มให้อยู่ในร่องในรอยและธุรกิจนายทุนก็ต้องรับผิดชอบต่อสังคมไม่หลีกเลี่ยงกฎหมาย และสิ่งสำคัญที่สุดคือ การตลาดของธุรกิจเหล่านี้คือมุ่งเน้นไปที่เยาวชน ” เภสัชกรสงกรานต์ ระบุ

ขณะที่ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ หัวหน้ากลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลน่าน ระบุว่า จากงานวิจัยโครงการอนามัยโลกถ้าเราคำนวณชีวิตที่หายไป ปรากฏว่าผู้ชายเสียชีวิตจากปัญหาอุบัติเหตุเป็นอันดับหนึ่ง  ขณะที่เมืองไทย ปัญหาใหญ่ของผู้ชายไทยที่จะตายคือเหล้า ผู้หญิงจะเป็นน้อยกว่า คนไทยอายุค่าเฉลี่ยชายไทย คือ 74 ผู้หญิง 80 ห่างกัน 6 ปี เหตุที่ผู้ชายตายก่อน เพราะเหล้า บุหรี่ ควบคู่กัน

“ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนส่วนใหญ่เป็นเยาวชนและวัยทำงานคิดเป็นร้อยละ 84 เท่ากับว่าในขณะที่ก้าวสู่สังคมสูงอายุ โดยมีวัยแรงงานต่อผู้สูงอายุคิดเป็นคิดเป็น 3 ต่อ 1 แต่เราต้องสูญเสียวัยแรงงานอีกปีละ 13,000 คน จากสาเหตุที่ป้องกันได้ ยังไม่นับว่าพิการอีกปีละกว่า 60,000 คน แล้วประเทศไทยจะแข่งขันทางเศรษฐกิจกับประเทศอื่นได้อย่างไร ถ้าเรามีแต่ผู้สูงอายุและผู้พิการ”

นพ.พงศ์เทพ ชี้สาเหตุสำคัญของปัญหาดังกล่าวว่า ส่วนใหญ่ของอุบัติเหตุจราจรสัมพันธ์กับการ ดื่มแอลกอฮอล์ ถึงร้อยละ40 โดยผู้ดื่มแอลกกอฮอล์เมื่อประสบอุบัติเหตุจะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าผู้ไม่ดื่มถึง 1.5 เท่า

“ ถ้าไม่หยุดปัญหานี้  เท่ากับเรากำลังมอมเมาคนทำงานและ วัยรุ่นให้ตายเร็วขึ้น ซึ่งเห็นทุกอณูของสังคมไทย ที่มีเหล้าเข้าไปเกี่ยวข้องแล้วผู้คน ก็ทยอยป่วย ตาย โดยเฉพาะผู้ชาย”  

 นพ.พงศ์เทพ    กล่าวและว่า คุณหมอ คลุกคลีในการทำงานรณรงค์ให้เห็นผลกระทบของปัญหาแอลกอฮอล์  ได้ยกตัวอย่างการจัดการปัญหาในจังหวัดน่านจากประสบการณ์ “ น่านเข่งเรือปลอดเหล้า” ด้วยว่า เนื่องจาก จ.น่านถูกตราหน้าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศในการดื่มเหล้า จึงเป็นแรงกระตุ้นให้หันหน้ามาทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้ง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หมอ ภาคประชาชนได้ร่วมกันสร้างกระแส โดยให้ข้อมูลให้เห็นภาพชัดที่ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจ เพื่อให้เกิดการตระหนักถึงปัญหา รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด  ได้มีการคำสั่งประกาศที่ชัดเจน  ซึ่งท่านทำก่อนที่จะมีกฎหมายพ.ร.บ.แอลกอฮอล์ ออกมาด้วยซ้ำ ในงานแข่งเรือปลอดเหล้า

ทั้งนี้ นพ.พงศ์เทพ ได้ระบุข้อเสนอในการจัดการปัญหาจากประสบการณ์ในพื้นที่ จ.น่านด้วยว่า   ข้อ1  บังคับใช้กฎหมาย เพิ่มค่าปรับบทลงโทษโดยเฉพาะครั้งที่2 และ  ข้อ 2 การใช้ด่านครอบครัว ด่านชุมชน ในระหว่างที่ด่านตามกฎหมายยังไม่ได้ผล

ขณะที่ นายคำรณ  ชูเดชา ผู้ประสานงานเครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา มองว่า การทำงานขณะนี้ในการรณรงค์เรื่องแอลกออฮอล์เปรียบเหมือนแมวไล่หนู ซึ่งเขาเป็นหนูยักษ์  แต่เราไม่ยอมแพ้  จนเขาต้องปรับเปลี่ยนออกแบบ กลยุทธ์ศรีธนญชัย  ซึ่งกลุ่มทุนรู้ว่าทำไม่ถูกต้องไม่เป็นไปตามกฎหมาย และการกระทำของเขาก็ถูกเราจับจ้อง โดยเฉพาะปรากฏการณ์สำคัญในปีนี้ นั้นคือ การนำเครื่องกดเบียร์สดมาวางไว้ในร้านสะดวกซี้อ ซึ่งภาคประชาชนก็ร่วมด้วยช่วยกัน จนกลุ่มธุรกิจต้องถอยไปที่จะนำเบียร์สดมากดตู้ได้ โดยมีการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ห้ามเอาไว้ชัดเจน

ผู้ประสานงานเครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา มองถึงการทำงานในปีหน้าด้วยว่า โจทย์ใหญ่ที่เราต้องทำต่อเนื่องในปีหน้า นั้นคือ การออกแบบเครื่องผลิตภัณฑ์จำหน่าย ตราเสมือน ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดของกระทรวงพาณิชย์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา  ข้าราชการที่เป็นศรีธนญชัย ที่อนุญาตให้จดทะเบียน   ซึ่งเป็นการพยามฝ่าฝืน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551มาตรา 32  ที่ควบคุมโฆษณาโดยพยามดัดแปลงใช้ตราเสมือน ในสินค้าที่ไม่มีแอลกอฮอล์ มาเพื่อโฆษณาได้ทุกรูปแบบตลอด 24 ชม.เช่น น้ำดื่ม โซดา

 สุดท้ายมันกำลังสร้างปัญหาไปทั่วอีกทั้งยังเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค และบริษัทได้ทุ่มงบโฆษณามหาศาล เพื่อสร้างการจดจำแบรนด์สินค้าแอลกอฮอล์ ซึ่งสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคต้องเข้ามาดูแลว่าเขาข่ายหลอกลวงหรือไม่  รวมทั้ง อย. เพื่อที่จะผลักดันถอดถอน ควบคุมการโฆษณา

“ขณะทีในพื้นที่ก็มีการรุกหนัก ของกลุ่มธุรกิจทุนใหญ่ ทั้งเรื่องของการจัดอีเวนต์ กีฬา ดนตรี ธุรกิจเหล้าผูกขาดดนตรีเป็นค่าย และจัดกิจกรรมดูดนตรี แต่มีลานเบียร์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เข้าถึงได้ง่าย รวมทั้งงาน CSR ที่ขณะนี้คือเข้าไปผูกพันกับกลไกราชการ ใกล้ชิดผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเราต้องเรียกร้องให้มีระยะห่างที่เหมาะสม เพราะมีผลโดยตรงต่อการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ระดับปฎิบัติงาน เนื่องจากมีความเกรงอกเกรงใจ”

นายคำรณ กล่าวว่า  ต้องมีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจาก รัฐบาล ผู้บริหารในระดับสูงถึงผู้ปฎิบัติงานในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ ในการบังคับใช้กฎหมายโดยเฉพาะจากส่วนกลาง ทั้งกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ฝ่ายปกครอง เพื่อเฝ้าตรวจตรา และสร้างแรงกระเพื่อมในการปฎิบัติงาน ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ต้องขยับ บทบาทให้มากกว่าที่เป็นอยู่

“เราเรียกร้องขั้นต่ำที่สุดคือ ให้กลุ่มธุรกิจแอลกอฮอล์ ปฎิบัติตามกฎหมาย ไม่กระทำการเป็นศรีธนญชัยเลี่ยงกฎหมาย ซึ่งสิ่งที่เขาทำมันเป็นความสูญเสียของสังคมไทย กลไกรัฐคือเครื่องมือเป็นไม้กระบองที่จะช่วยได้ ที่ต้องเข้มงวด ควบคุม โดยเฉพาะการส่งสัญญาณของผู้มีอำนาจ ผู้บริหารระดับสูง ต้องชัดเจนต่อระดับผู้ปฎิบัติงาน”

ด้านน้องตะวัน    “นามสมมุติ” เหยื่อที่ได้รับผลประทบจากน้ำเมา  กล่าวว่า ย้อนหลังไปเมื่อ 6 ปี ที่แล้ว ยังเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ใช้ชีวิตปกติ อยู่กับครอบครัว แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เขาประสบอุบัติเหตุคนเมาขับรถกระบะชนทำให้ต้องตัดขาทั้งสองข้าง ชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แม่ต้องแบกรับภาระในครอบครัวเพื่อดูแลเขา ซึ่งไม่สามารถทำงานได้ตามปกติตราบจนถึงทุกวันนี้

ถึงเวลาที่ประชาชนจะต้องส่งเสียงดังกดดันผู้มีอำนาจ กล้าหาญจัดการกับธุรกิจน้ำเมาในคราบ ศรีธนญชัยให้ปฎิบัติตามกฎหมายพร้อมเรียกร้องจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"