ปูถือพาสปอร์ตเขมร สื่อฮ่องกงแฉหลักฐาน/ลิ่วล้อแม้วฉะป้อม


เพิ่มเพื่อน    

    สื่อฮ่องกง "เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์" แฉ "ยิ่งลักษณ์" ถือพาสปอร์ตกัมพูชาใช้หลบออกจากไทย หนีคดีจำนำข้าวปี 2560 หลังพบเอกสารขอจดทะเบียนตั้งบริษัท พี.ที. คอร์ปอเรชัน ในฮ่องกง ระบุชัด "ลิ่วล้อแม้ว" ฉุน "บิ๊กป้อม" เรียก "ไอ้ทักษิณ" อ้างคำไม่สุภาพเรียกอดีตผู้บังคับบัญชาเก่า "อนุสรณ์" ห่วงเป็นตัวอย่างไม่ดีแก่เด็ก "เพื่อชาติ" ตามขยี้แฮชแท็กยุติธรรมแบบป้อมๆ "ยงยุทธ" ปัดเสนอตั้งโต๊ะเจรจาเอาทักษิณกลับ อ้างแค่ขอพื้นที่พูดคุยแก้ปัญหาขัดแย้ง
    เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2562 หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ของฮ่องกงรายงานว่า เอกสารการยื่นขอจดทะเบียนบริษัทในฮ่องกงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงของไทยวัย 51 ปี ซึ่งเธอยื่นขอเป็นผู้อำนวยการแต่เพียงผู้เดียวของบริษัท พี.ที. คอร์ปอเรชัน ที่เปิดดำเนินกิจการในฮ่องกงเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2561 น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุในช่องหนังสือเดินทางว่า "ราชอาณาจักรกัมพูชา" 
    ข้อมูลในเอกสารนี้ขัดแย้งคำกล่าวอ้างของรัฐบาลกัมพูชา ที่ยืนกรานปฏิเสธว่ากัมพูชาไม่ได้ออกหนังสือเดินทางให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อครั้งที่เธอหลบหนีออกนอกประเทศอย่างลึกลับ ทั้งที่ถูกรัฐบาลทหารของไทยจับตาอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง การหลบหนีนั้นเกิดขึ้นก่อนที่ศาลจะพิพากษาว่าเธอมีความผิดในคดีจำนำข้าวและตัดสินจำคุก 5 ปี 
    ช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์หลบหนีออกจากไทยนั้น หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์เคยรายงานอ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของกรมหนังสือเดินทางของกัมพูชาว่า "น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นคนไทย ไม่ใช่คนกัมพูชา ผมไม่ออกหนังสือเดินทางให้คนต่างชาติ" และกรมตรวจคนเข้าเมืองของกระทรวงมหาดไทยกัมพูชาก็กล่าวไว้ในตอนนั้นด้วยว่า ไม่มีรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปสิงคโปร์โดยใช้กัมพูชาเป็นทางผ่าน
    รายงานของหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ระบุว่า เอกสารที่ใช้ยื่นจดทะเบียนบริษัทครั้งนี้เปิดเผยรายละเอียดการทำธุรกิจของอดีตนายกฯ หญิงผู้นี้ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกนับแต่เธอหลบหนีจากไทยและหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าความสนใจ ยังไม่แน่ชัดว่าบริษัทนี้ทำธุรกิจอะไร แต่เพียง 4 เดือนหลังก่อตั้งบริษัทนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานของบริษัท ซัวเถาคอนเทนเนอร์เทอร์มินัล ผู้ดำเนินกิจการท่าเรือที่มีสำนักงานในมณฑลกวางตุ้ง
    รายงานระบุด้วยว่า เอกสารการยื่นขอจดทะเบียนบริษัทฮ่องกงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์นี้ ยังเปิดเผยเกี่ยวกับเครือข่ายธุรกิจของตระกูลชินวัตรด้วยว่า ยังมีอีกบริษัทหนึ่งซึ่งระบุที่ตั้งในไทย แต่ใช้ชื่อเดียวกับบริษัทฮ่องกงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นผู้อำนวยการ โดยบริษัทชื่อ พี.ที. คอร์ปอเรชัน นี้มีชื่อของนางพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ และแพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
    ส่วนที่ตั้งบริษัทของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฮ่องกงนั้น ระบุที่อยู่ว่า K11 Atelier in Tsim Sha Tsui ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานสูง 66 ชั้น ที่ตั้งสำนักงานนั้นติดป้ายว่าเป็นบริษัท แปซิฟิก อินเตอร์เนชันแนล แคปิตอล ผู้อำนวยการคนหนึ่งของบริษัทนี้คือ เฉิน หวยตัน หรือเดิมรู้จักในชื่อซีลีน ถัง แต่พนักงานของบริษัทนี้บอกกับสื่อฮ่องกงฉบับนี้ว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับบริษัท พี.ที. คอร์ปอเรชัน หรือความเกี่ยวข้องกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 
    อย่างไรก็ดี การขุดคุ้ยของเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์พบว่า เฉินยังมีชื่อเป็นกรรมการผู้จัดการของซิงไห่อี้กรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ ข้อมูลในเว็บไซต์ของบริษัทนี้เผยว่า เฉินเคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายตุลาการประจำศาลในเมืองซัวเถาก่อนปี 2538 เชื่อกันว่า เฉินและสามีของเธอ ที่ชื่อ กอร์ดอน ถัง อี้กัง มีความสนิทสนมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงขั้นที่อดีตนายกฯ หญิงของไทยใช้ที่อยู่คฤหาสน์หรูบนเดอะพีคของฮ่องกงที่สามีภรรยาคู่นี้ซื้อไว้เมื่อปี 2555 ในราคา 250 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง เป็นที่อยู่อ้างอิงในเอกสารยื่นจดทะเบียนบริษัทและบันทึกของสำนักงานทะเบียนที่ดิน
    นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Paisal Puechmongkol" ระบุว่า "ชื่อท่าเรือซัวเถา แสดงว่า บริษัทนี้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลท้องถิ่นของจีน เพราะบริษัทเอกชนไม่มีสิทธิ์ใช้ชื่อเมืองนำหน้าชื่อบริษัทตามระบบของจีน  การที่บุคคลต่างชาติ จะเป็นประธานบริษัทนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ โดยลําพังบริษัท! นัยสำคัญของเรื่องนี้จึงน่าคิดมากครับว่าอาจเป็นเรื่องส่งสัญญาณอะไรหรือไม่"
ลิ่วล้อแม้วฉุน'บิ๊กป้อม'
    ขณะที่กรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ตอบโต้ทวีตของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระบุนาฬิกายืมเพื่อนเป็นกระบวนการยุติธรรมแบบป้อมๆ ด้วยการใช้คำเรียกไอ้ทักษิณนั้น ตลอดทั้งวันพุธที่ผ่านมา พรรคการเมืองที่มีความใกล้ชิดนายทักษิณ ต่างออกมาแสดงความไม่พอใจ พล.อ.ประวิตรอย่างมาก
    โดยนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมือง พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การที่พล.อ.ประวิตรตอบโต้ ดร.ทักษิณด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ระบุกระบวนการยุติธรรมแบบป้อมๆ เป็นอย่างไร ก็ไปถามไอ้ทักษิณมันสิ ไปถามมันเองนั้น ต้องขอบันทึกข้อเท็จจริงไว้เบื้องแรกก่อนว่า ประเด็นการนำ ดร.ทักษิณกลับบ้าน หรือเรื่องการเปิดโต๊ะพูดคุยเจรจาอะไรก็ตาม เป็นเรื่องที่คนอื่นพูด ไม่ใช่ ดร.ทักษิณ เป็นผู้พูด แต่ พล.อ.ประวิตรกลับไปพาดพิงอดีตนายกรัฐมนตรีด้วยการใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพอย่างรุนแรง ไม่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเด็กและเยาวชน
    "ดร.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ในช่วงเวลาที่พล.อ.ประวิตรเป็นผู้บัญชาการทหารบก ถือเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ดังนั้นการเรียกขานอดีตผู้บังคับบัญชาว่าไอ้ ไม่น่าจะเหมาะสม และเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อเด็กและเยาวชน ยิ่งในช่วงใกล้ถึงวันเด็กแห่งชาติ นอกจากการคิดคำขวัญวันเด็กเพื่อเป็นแนวทางให้เด็กเยาวชนของชาติยึดถือเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตแล้ว ผู้ใหญ่ในสังคมต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างแก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ของประเทศด้วย ปัญหาของประเทศมีมาก แกนนำรัฐบาลและ คสช. ต้องใช้สติในการแก้ปัญหา และต้องระมัดระวังวาทกรรมที่จะเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความขัดแย้ง" นายอนุสรณ์กล่าว
    ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียง พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง อยากให้ พล.อ.ประวิตรใจเย็นๆ อย่ามีวิวาทะโต้กันไปมา จะทำให้บรรยากาศตึงเครียดเปล่าๆ อยากให้ พล.อ.ประวิตรเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกหลาน โดยเฉพาะการรู้คุณคน การรู้คุณงามความดีของคนที่ให้โอกาส รวมถึงผู้บังคับบัญชา
    "อยากให้ พล.อ.ประวิตรดูตัวอย่าง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. รวมทั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช.บางคน ที่แสดงความรู้คุณคน ซื่อสัตย์ชัดเจน เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนอยู่ตอนนี้" นายณัฐวุฒิกล่าว
    ส่วน น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง โฆษกพรรคเพื่อชาติ (พ.พ.ช.) กล่าวว่า ในช่วงเวลาไม่นานวลี “ยุติธรรมแบบป้อมๆ” เป็นกระแสในทวิตเตอร์ด้วย แฮชแท็กอันดับ 1 ว่า #ยุติธรรมแบบป้อมๆ ที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์รีทวีตตามเกือบแสนทวีต สะท้อนว่าสังคมไทยไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม สังคมต้องการความยุติธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมที่เหลื่อมล้ำเช่นปัจจุบัน ถึงเวลาหรือยังที่ทุกฝ่ายต้องมาช่วยกันแก้ไขกระบวนการยุติธรรมที่ไม่น่าเชื่อถือเช่นนี้ ก่อนจะเป็นปัญหาที่นานาชาติไม่ยอมรับ เช่น เรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ซึ่งก็คือสิทธิพิเศษทางกฎหมาย ประเทศหนึ่งสามารถบังคับใช้กฎหมายของประเทศตนต่อบุคคลในดินแดนของประเทศอื่นได้ อย่างกรณีในอดีตเมื่อเกิดกรณีพิพาทระหว่างชาวอังกฤษในแผ่นดินไทย ไทยต้องยอมใช้กฎหมายอังกฤษในการตัดสิน อังกฤษไม่ยอมรับให้กระบวนการยุติธรรมไทยเป็นผู้ไกล่เกลี่ยหรือตัดสิน 
    "ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เคยอ่านข่าวพบสัญญาการร่วมลงทุนจากต่างประเทศบางสัญญาระบุว่าเมื่อเกิดข้อพิพาทไม่ขึ้นศาลไทย คณะรัฐประหาร คสช. ที่ยึดอำนาจจากประชาชนมา 4 ปีกว่าๆ โดยอ้างว่าจะปฏิรูปประเทศทุกด้าน ขอถามว่าได้ทำอะไรไปถึงไหน ทำไมกระแสแฮชแท็ก #ยุติธรรมแบบป้อมๆ ถึงเป็นกระแสสูงของสังคมในเวลารวดเร็ว ที่แปลผลได้ว่าประชาชนไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมของประเทศในปัจจุบัน” โฆษกพรรคเพื่อชาติกล่าว
ยงยุทธอ้างแค่ขอพื้นที่
    วันเดียวกัน นายยงยุทธ ติยะไพรัช กองเชียร์พรรคเพื่อชาติ ให้สัมภาษณ์รายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” เกี่ยวกับประเด็นเรื่องการตั้งโต๊ะเจรจา และการพานายทักษิณกลับบ้านว่า ความหมายของตน คือยกตัวอย่างให้ฟังว่าการหาเสียงของพรรคการเมืองทุกครั้ง มักจะอ้างว่าจะเอานายทักษิณกลับบ้าน ผ่านมา 3 ครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 4 ก็ไม่เห็นว่าการเป็นรัฐบาลจะช่วยให้กลับบ้านได้ ดังนั้นการจะกลับบ้านได้ เราต้องมีพื้นที่ในการพูดคุยกันได้ เหมือนเช่นหมู่บ้านปันมุนจอมที่เกาหลีเหนือ-เกาหลีใต้ ใช้ในการพูดคุย ดังนั้นพรรคเพื่อชาติ เมื่อมีนโยบายแก้ไขความขัดแย้ง จึงไม่จำเป็นต้องไปใช้น้องเกี่ยวก้อย ต้องใช้มนุษย์มาคุยกัน ต้องมีพื้นที่พูดคุยกัน การพูดคุยเป็นเรื่องที่ดี
    นายยงยุทธกล่าวว่า ไม่ได้หมายความว่าเป็นรัฐบาลแล้วจะเอานายทักษิณกลับมา มันไม่ใช่ มันกลับไม่ได้ แต่สิ่งที่จะให้กลับได้ คือ 1.เราเห็นสังคมโลกทุกวันนี้ นายทักษิณบินไปไหนมาไหนได้ คือ กลุ่มที่ยึดอำนาจคงไม่มีใครบอกว่าคนที่ถูกยึดอำนาจเป็นคนดี มันก็ต้องตั้งข้อหา ดังนั้นเมื่อมีตั้งข้อหา เช่น กรณีเงินกู้เมียนมา ถูกตั้งข้อหาผลประโยชน์ทับซ้อน ทุกวันนี้เขาคืนหมด เราก็ได้ความสัมพันธ์ที่ดี อีกทั้งคดีต่างๆ เวลาขึ้นศาล ก็ยังมีความดี มีการบรรเทาโทษอยู่ สิ่งเหล่านี้เวลาเรากล่าวหากันทางการเมืองมันเป็นแรงจูงใจ
    “แล้ววันนี้ถ้านายทักษิณกลับมา คนก็กลัวว่าตัวเองจะเสียอำนาจ พูดชัดๆ นะ คือกลัวตัวเองจะเสียความนิยม ดังนั้นก็คุยกันเสียสิพี่น้องเตรียมทหาร จะบอกว่าพี่ไม่ต้องกลับมาไปอยู่ต่างประเทศ ทำโน่นนี่ก็ว่ากันไป ส่วนคดีผมเดาใจว่าเขาคงไม่กลับมา เพราะบางขั้นตอนการได้มาซึ่งหลักฐาน มันไม่ได้เป็นไปอย่างโลกสวยตามที่เราเข้าใจ เราต้องยอมรับตรงนี้ด้วยใจใสๆ ก่อน ดังนั้นมันต้องพูดคุยกัน หาหนทางที่ดีให้กับชาติบ้านเมือง” นายยงยุทธกล่าว
    กองเชียร์พรรคเพื่อชาติผู้นี้ ยืนยันสิ่งที่ตนพูดไม่ใช่การนำนายทักษิณกลับมาด้วยการเป็นรัฐบาล แต่หมายถึงกลับมาตามแนวทางของพรรคเพื่อชาติ คือ การมีหมู่บ้านปันมุนจอม คือต้องคุยกัน เพราะเห็นว่าแนวทาง 3 ครั้งที่ผ่านมาไม่เคยสำเร็จ คนที่ไม่เข้าใจความหมายของตน ขอให้ไปอ่านเฟซบุ๊กแล้วจะเข้าใจ เป้าหมายที่เราอยู่พรรคเพื่อชาติ เป้าหมายเดียวคือ ปัญหาความขัดแย้ง เราต้องช่วยกันขจัดให้หมดไป บางอย่างแก้ด้วยนิติศาสตร์ไม่ได้ มันต้องแก้ด้วยรัฐศาสตร์
    “ตราบใดที่คนที่ได้ประโยชน์บอกแค่ว่า เอามาติดคุกสิ มันต้องดูที่เนื้อในว่ามาสิๆ ถ้าเป็นคุณจะมาหรือเปล่า ถ้าเจอสภาพอย่างนี้ อันนี้ผมพูดชัดเลยนะ” กองเชียร์พรรคเพื่อชาติผู้นี้ระบุ
    ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ จะเดินทางไปร่วมงานแต่งน้องสาว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ฮ่องกงว่า หากนายพานทองแท้จะขออนุญาตออกนอกประเทศ ไม่น่ามาขอที่ คสช. น่าจะต้องไปขอที่ศาล แล้วแต่ว่าศาลจะอนุญาตหรือไม่ คงไม่ใช่ คสช.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"