กพช.เคาะพีดีพีผลิตไฟปลายแผน อยู่ที่ 7.7 หมื่นเมกฯ


เพิ่มเพื่อน    

25 ม.ค. 2562 นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 24 ม.ค. 2562 ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบปรับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศปี 2561-2580 (พีดีพี 2018) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอให้ทบทวนสถานการณ์กำลังการผลิตไฟฟ้าปลายแผนในช่วงปี 2580 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 77,211 เมกะวัตต์ จากสิ้นปี 2560 อยู่ที่ 46,090 เมกะวัตต์

ทั้งนี้ จากปี 2560 ที่กำลังผลิตไฟฟ้า 46,090 เมกะวัตต์ จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าปลดออกจากระบบในช่วงปีแผน 25,310 เมกะวัตต์ แต่จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่เข้ามา 56,431 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าหมุนเวียน 20,766 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าตามนโยบายส่งเสริมของภาครัฐรวม 520 เมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าขยะ 400 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าชีวมวลประชารัฐ 120 เมกะวัตต์ รวมกับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานทางเลือก(เออีดีพี)กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ 18,176 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นชีวมวล 3,376 เมกะวัตต์ ก๊าซชีวภาพ 546 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์ 10,000 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 2,725 เมกะวัตต์ พลังงานลม 1,485 เมกะวัตต์ ขยะอุตสาหกรรม 44 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลือ 2,070 เมกะวัตต์เป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติไปก่อนหน้านี้และอยู่ระหว่างก่อสร้าง ยังไม่มีการจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์

“กระทรวงพลังงานยืนยันประมาณการค่าไฟฟ้าขายปลีกในช่วงปี 2561-2580 จะไม่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน โดยอยู่ระหว่าง 3.50 - 3.63 บาทต่อหน่วย หรือเฉลี่ย 3.58 บาทต่อหน่วย”นายศิริ กล่าว

ขณะเดียวกัน ได้จัดทำการพยากรณ์ค่าความต้องการใช้ไฟฟ้าระยะยาว 20 ปี โดยเร่งรัดให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาแนวทางดำเนินการโครงการพลังงานแสงอาทิตย์โซลาร์ภาคประชาชน ไม่ต่ำกว่าปีละ 100 เมกะวัตต์ ระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบค่าไฟ รวมถึงเห็นชอบหลักการคิดอัตราค่าไฟฟ้า และหลักการของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 1 โครงการเขื่อนเซเสดฉบับใหม่ โดยหลักการคิดอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ที่เป็นปัจจุบันมีอายุสัญญา 1 ปี และสามารถต่อสัญญาต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังเห็นชอบการปรับปรุงช่วงเวลาการสิ้นสุดอายุสัญญาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กหรือเอสพีพี (SPP) ระบบโคเจนเนอเรชั่นที่อายุสัญญาจะสิ้นสุดในปี 2559-2568 ให้ได้รับการต่ออายุสัญญาครอบคลุมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก 25 ราย กำลังการผลิตรวม 2,974 เมกะวัตต์ โดยให้ใช้เชื้อเพลิงตามสัญญาเดิมและได้รับอัตรารับซื้อไฟฟ้าสอดคล้องกับประเภทเชื้อเพลิง เช่น ถ่านหินรับซื้อที่ 2.54 บาทต่อหน่วย ก๊าซธรรมชาติรับซื้อ 2.82 บาทต่อหน่วย

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า โซลาร์ประชาชนที่จะนำร่อง 100 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มได้ไม่เกินกลางปีนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)อยู่ระหว่างจัดทำหลักเกณฑ์ โดยการผลิตไฟฟ้าส่วนนี้ไม่ได้ดำเนินการเฉพาะบ้านประชาชนแต่จะครอบคลุมโรงเรียนชนบท และโรงพยาบาลตำบลด้วย เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศได้รับประโยชน์ ผ่านการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ส่วนบ้านเรือนทั่วไปเชื่อว่ากลุ่มประชาชนที่มีฐานะน่าจะเริ่มติดตั้งก่อน ส่วนกลุ่มประชาชนทั่วไปที่อยากติดตั้งแต่ไม่มีทุน กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างหารือกับธนาคารของรัฐ อาทิ ธนาคารอาคารส่งเคราะห์ ธนาคารออมสิน เพื่อกำหนดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับการติดตั้งโซลาร์ประชาชน คาดว่าจะมีข้อสรุปเร็วๆนี


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"