
กทม.ลุยบิ๊กคลีนนิ่งทั่วเมือง "อัศวิน" ฟุ้งค่า PM 2.5 กลับสู่เกณฑ์มาตรฐานแล้ว ระบุยังต้องฉีดพ่นละอองน้ำและล้างถนนอีก "สพฐ." ให้ ผอ.โรงเรียนตัดสินใจ 4 ก.พ.จะเปิด-ปิดเรียนหนีฝุ่นพิษต่อหรือไม่ "ขนส่ง" คุมเข้มตรวจควันดำรถบรรทุก-รถโดยสาร "บิ๊กป้อม" ขอทุกฝ่ายช่วยกันแก้ปัญหา วอนอย่าโทษกันไปมา "โพล" ชี้ ปชช.เบื่อนักการเมืองเอาฝุ่นมาทำลายกัน หนุนรัฐแจกหน้ากากชาวบ้าน
เมื่อวันที่ 3 ก.พ. กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้จัดกิจกรรมบิ๊กคลีนนิ่งล้างถนนและฉีดพ่นละอองน้ำ เพื่อลดฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ PM 2.5 โดยพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เริ่มกิจกรรมบิ๊กคลีนนิ่งมาตั้งแต่ช่วงเวลา 22.00 น. วันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการปล่อยขบวนรถน้ำ ที่บริเวณห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาพระราม 2 เขตบางขุนเทียน ซึ่งเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างกองพันทหารม้าที่ 19 กองทัพเรือ สำนักสิ่งแวดล้อม สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานเขตภาษีเจริญ สำนักงานเขตหนองแขม สำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ และกองบังคับการตำรวจจราจร
พล.ต.อ.อัศวินนำทุกหน่วยงานฉีดพ่นละอองน้ำ และทำการฉีดล้างพื้นถนนและต้นไม้ ทั้งขาเข้าและขาออก บนถนนพระราม 2 ตั้งแต่รอยต่อจังหวัดสมุทรสาคร จนถึงแยกบางปะแก้ว ระยะทางรวม 14.5 กิโลเมตร เพื่อล้างฝุ่นละอองขนาดเล็ก ภายหลังได้ใช้เครื่องบินฉีดพ่นละอองน้ำ ทำให้ฝุ่นละอองขนาดเล็กตกลงมายังพื้นถนน จึงต้องรีบทำการฉีดล้างเพื่อไม่ให้ฝุ่นละอองขนาดเล็กลอยขึ้นไปบนอากาศ
ต่อมาเวลา 09.00 น. นายไทวุฒิ ขันแก้ว รองผู้อำนวยการสำนักการโยธา กทม. นำเจ้าหน้าที่สำนักการโยธา และสำนักงานเขตดินแดง กรุงเทพมหานคร (กทม.) กว่า 500 คน ปฏิบัติการฉีดพ่นละอองน้ำบนชั้นดาดฟ้า ศาลาว่าการ กทม. 2 ดินแดง หลัง กทม.ออกหนังสือขอความร่วมมือตึกสูงทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 3,200 แห่ง ฉีดพ่นละอองน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาด PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน
นายไทวุฒิกล่าวว่า สำนักการโยธาได้ส่งแบบในการติดตั้งสปริงเกลอร์บนชั้นดาดฟ้าไปยังตึกสูง 3,200 ตึก เพื่อให้แต่ละตึกนำไปประกอบการตัดสินใจในการติดตั้ง รวมทั้งไซต์งานก่อสร้าง 150 แห่ง ประกาศหยุดการก่อสร้างกว่า 40 โครงการ โดยมาตรการต่างๆ ทั้งการขอความร่วมมือหยุดการก่อสร้าง การฉีดพ่นละอองน้ำจะดำเนินการไปจนกว่าสถานการณ์มลพิษทางอากาศจะคลี่คลาย โดยการฉีดพ่นละอองน้ำจะดำเนินการทุกๆ ชั่วโมง ประมาณคราวละ 20 นาที ส่วนสปริงเกลอร์จะปล่อยละอองน้ำตลอดทั้งวัน ตามผลการศึกษาที่ว่าลักษณะน้ำเป็นฝอย ถึงจะสามารถดักจับฝุ่นละอองขนาด PM 2.5 หรือฝุ่นละอองขนาดเล็กได้
"ตึกสูงอีก 3,200 แห่ง อาทิ ตึกใบหยก ตึกมหานคร ตึกจีแลนด์ และเซนทรัลเวิลด์ เจ้าหน้าที่สำนักการโยธาจะเข้าไปประจำการอยู่ในแต่ละตึกเพื่อติดตามและสรุปผลในการดำเนินการ ผลที่ได้คือจะช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองขนาด PM 2.5 ได้ตามผลการศึกษาไว้ รวมทั้งยังใช้รถดับเพลิงฉีดพ่นที่พื้นราบ เพื่อดักไม่ให้ฝุ่นละอองที่ตกลงมาฟุ้งกระจายกลับขึ้นไปอีก" รอง ผอ.สำนักการโยธาฯ กล่าว
เช่นเดียวกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าในความรับผิดชอบของ รฟม. ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี, โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต, โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย- มีนบุรี ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมบิกคลีนนิ่งเดย์ จัดกิจกรรมพร้อมกันทุกพื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานคร เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง ร่วมกับสำนักงานเขตในพื้นที่ตามแนวสายทาง เพื่อรวมพลัง ทำความสะอาด ฉีดน้ำ ดูดฝุ่น ขัดล้างทำความสะอาดแผงผ้าใบ ทำความสะอาดผิวจราจร ตามแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า เพื่อลดฝุ่นละออง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้สอดคล้องตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม “One Transport ปลอดฝุ่น PM2.5” คมนาคมรวมใจช่วยลดฝุ่น เพื่อความสุข สุขภาพดีของประชาชน
ฟุ้งฝุ่นเข้าสู่เกณฑ์ดีขึ้น
พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ได้โพสต์เฟซบุ๊ก "ผู้ว่าฯ อัศวิน" ว่า ค่าฝุ่นละออง PM2.5 เข้าสู่เกณฑ์มาตรฐานทุกพื้นที่แล้ว หลังปฏิบัติการอย่างเข้มข้นทุกรูปแบบของทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง วันนี้ (3 ก.พ.) ค่าฝุ่นละออง PM 2.5 กลับเข้าสู่เกณฑ์มาตรฐานแล้ว แต่เราก็ไม่ประมาท ยังคงเดินหน้าปฏิบัติการตามแผนงานและมาตรการต่างๆ ต่อไป
"อย่างเช้านี้เครื่องบินเล็กโรงเรียนการบินกรุงเทพ (BAC) ได้ทำการบินต่อเนื่องเพื่อโปรยละอองน้ำจับฝุ่นละอองทางอากาศเหนือพื้นที่เขตบางแค บางบอน ทวีวัฒนา และตลิ่งชัน รวมทั้งหมด 11 เที่ยวบิน ส่วนทั้ง 50 เขตได้ระดม Big Cleaning บริเวณหน้าบ้านและสถานที่ต่างๆ โดยในช่วงค่ำ กทม.ก็จะระดมล้างถนนตั้งแต่เวลา 22.00 น. บริเวณถนนกาญจนาภิเษก ระหว่างถนนพระราม 2 ถึงถนนกัลปพฤกษ์ด้วย" พล.ต.อ.อัศวินกล่าว
ผู้ว่าฯ กทม.กล่าวว่า สำหรับวันเปิดทำงานเช้าวันจันทร์มีแนวโน้มว่าค่าฝุ่นละอองอาจจะสูงขึ้นเล็กน้อย แต่กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่า 4 ก.พ.62 ลมทิศใต้และตะวันออกเฉียงใต้ จะเริ่มมีกำลังแรงขึ้นต่อเนื่องจนถึงวันที่ 10 ก.พ. ทำให้มีลมเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์อีกทางหนึ่ง หากพวกเราทุกคน ทุกหน่วยงาน ดำเนินมาตรการลดฝุ่นละอองเช่นนี้อย่างเข้มข้นและต่อเนื่องเช่นนี้ ปัญหาฝุ่นละอองก็สามารถลดลงได้ในช่วงนี้ ส่วนมาตรการแก้ปัญหาระยะยาว ทั้ง กทม.และหน่วยงานภาครัฐกำลังประสานหารือเพื่อประกาศเป็นแนวทางต่อไป
ขณะที่นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า เมื่อเวลา 10.00 น.หน่วยฝนหลวงเคลื่อนที่เร็ว 2 หน่วยได้ขึ้นบินปฏิบัติการแล้ว โดยใช้หน่วยฝนหลวง จ.ระยอง รวมทั้ง จ.นครสวรรค์ เพื่อต่อสู้ปัญหาฝุ่นละอองในอากาศพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยได้ปฏิบัติการติดตามอย่างใกล้ชิดมาตลอด
นายสุรสีห์กล่าวว่า ขอชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน ในการทำฝนหลวงได้ทำตามตำราฝนหลวงพระราชทาน ทุกขั้นตอนมีการประเมินผลระหว่างวัน โดยกำหนดเป็นหลักๆ ขั้นตอนแรกคือการก่อกวน จะใช้สารเกลือแกง ที่เรารับประทานในบ้าน บดเป็นแป้ง โปรยในอากาศที่ระดับ 6,000-7,000 ฟุต ซึ่งปกติอนุภาคเกลือแกงเป็นสารแขวนลอยในอากาศอยู่แล้ว เมื่อมีความชื้นมากกว่า 60% จะไปจับร่วมกันเป็นกลุ่มน้ำมากขึ้นคือก้อนเมฆ และขั้นตอนสอง ใช้สารแคลเซียมคลอไรต์ เสริมการพัฒนาตัวเมฆให้เป็นแนวตั้ง ร่วมกับพลังจากแสงอาทิตย์ ช่วยสร้างพลังงาน พัฒนาตัวเป็นเมฆฝนให้ได้ และขั้นตอนที่สาม การโจมตี ใช้สารไปทำให้สภาพแวดล้อมเกิดความเย็นจัด สารยูเรีย หรือน้ำแข็งแห้ง โปรยใต้ฐานเมฆ ทำให้เกิดความเย็นมาก เร่งให้เกิดการควบแน่น เป็นหยดน้ำกลายเป็นฝนตกลงมาได้ในพื้นที่เป้าหมาย
"เมื่อวันที่ 2 ก.พ. ได้ทำให้มีฝนตกเล็กน้อย ที่เขตจตุจักร พญาไท ลาดพร้าว จากที่ได้ขึ้นบินปฏิบัติการก่อกวน ก่อเมฆ ใช้เกลือแกงโปรยแนว อ.บางบ่อ สมุทรปราการ อ.บางน้ำเปรี้ยว เมื่อเวลา 11.00 น. มีความเร็วลม 15 กม.ต่อ ชม. เมื่อเมฆเกิดขึ้นจะเคลื่อนตามทิศทางของลม ระหว่างทางเมฆไปร่วมกับเมฆอื่นๆ ดูดซับอนุภาคแขวนลอยในธรรมชาติ จากการติดตามภาพเรดาร์พบกลุ่มเมฆฝน เวลาประมาณ 16-17.00 น. จากบริเวณเราทำฝนหลวง ใช้เวลาเดินทาง 5-6 ชม. จะเห็นว่าเป็นระยะทางทำฝนมาตกในเขตจตุจักร พญาไท ลาดพร้าว" อธิบดีกรมฝนหลวงฯ กล่าว
ด้านนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) แจ้งถึง ผอ.สพท.ในเขต กทม. ปริมณฑลและจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ว่าสำหรับการพิจารณาเปิด/ปิดสถานศึกษาตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.62 เป็นต้นไป ให้พิจารณาตามสภาพของสถานการณ์ของฝุ่น ณ จุดที่ตั้งของโรงเรียน โดยให้ผู้อำนวยการสถานศึกษาพิจารณาเปิดหรือปิดได้ตามอำนาจหน้าที่ และผลกระทบที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของนักเรียนเป็นสำคัญ
ขออย่าโทษกันไปมา
"กรณีที่มีความจำเป็นจะต้องปิดเรียนต่อเนื่อง ขอให้สถานศึกษาแนะนำให้นักเรียนได้เรียนผ่านระบบการเรียนการสอนทางไกล DLTV ที่มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดส่งสัญญาณทั้งทางระบบโทรทัศน์และอินเทอร์เน็ต หรือเสนอแนะให้ทบทวนความรู้จากแอปพลิเคชัน ติวฟรี.คอม หรือจัดสอนสดผ่านช่องทางสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต หรือวิธีการอื่นที่เหมาะสม" เลขาฯ กพฐ.กล่าว
นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขส.ทบ.) กล่าวว่า มอบหมายให้สำนักงานขนส่งจังหวัดทั่วประเทศตรวจวัดควันดำรถโดยสารสาธารณะและรถอื่นๆ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารบนถนนสายต่างๆ ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และเข้มงวดตรวจสอบการดำเนินการของสถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) โดยได้สั่งการให้สำนักงานขนส่งจังหวัดทั่วประเทศ จัดส่งเจ้าหน้าที่ลงสุ่มตรวจการดำเนินการของสถานตรวจสภาพรถเอกชนในเขตพื้นที่ หากพบสถานตรวจสภาพรถใดละเลยไม่ตรวจสภาพรถให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด พิจารณาสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการ
"ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. ขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งทั้งรถบรรทุกและรถโดยสารทั่วประเทศ นำรถเข้ารับการตรวจสภาพก่อนถึงกำหนดรอบชำระภาษีรถ เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ป้องกันสาเหตุการเกิดควันดำและก่อให้เกิดฝุ่นละออง PM 2.5" อธิบดีกรมการขนส่งฯ กล่าว
วันเดียวกัน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ในวันที่ 4 ก.พ.62 เวลา 10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้เรียกประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ที่สำนักนโยบายและแผน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อกำหนดมาตรการระยะต่างๆ รองรับการแก้ปัญหาภาวะฝุ่นละอองขนาดเล็กที่สะสมในบรรยากาศ
พล.ท.คงชีพกล่าวว่า สำหรับพื้นที่ กทม. มี กทม.เป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก ได้ประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมและจัดตั้งศูนย์ประสานและแก้ปัญหามลพิษในอากาศใน กทม. เพื่อทำงานร่วมกับส่วนราชการต่างๆ รวมทั้ง 5 จังหวัดปริมณฑลอย่างใกล้ชิด โดยประเมินสถานการณ์เป็นระยะ และแจ้งข้อมูลให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ทุกจังหวัดในส่วนภูมิภาคได้ร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาไปด้วยกัน ทั้งมาตรการป้องกันและการแก้ปัญหา โดยเน้นการมีส่วนร่วมกัน ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาชนด้วยดี
"มลภาวะที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทุกฝ่ายต่างได้รับผลกระทบและมีความจำเป็นต้องมีส่วนร่วมแก้ปัญหาและให้กำลังใจกันและกัน โดยไม่โทษกันไปมา ซึ่งถือเป็นเวลาแห่งความท้าทายที่เราคนไทยทุกคนต้องตระหนักรู้ มีส่วนร่วมรับผิดชอบและรวมพลังหาทางออกร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเชื่อว่าเราทุกคนจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกันโดยเร็ว" โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าว
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง ฝุ่นพิษการเมือง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพ จำนวนทั้งสิ้น 1,097 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 26 ม.ค.-2 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 48.5 ติดตามข่าวฝุ่นพิษบ่อยๆ, ร้อยละ 48.3 ติดตามบ้าง และร้อยละ 3.2 ไม่ติดตามเลย
ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่ร้อยละ 81.4 เห็นด้วยที่คนไทยตื่นตัวห่วงใยสุขภาพจากปัญหาฝุ่นพิษ ปิดหน้ากากกันฝุ่นคือข้อดี อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 65.3 ไม่เห็นด้วยที่นักการเมืองเอาปัญหาฝุ่นพิษมาทำลายกัน ในขณะที่ร้อยละ 20.9 เห็นด้วย และร้อยละ 13.8 ไม่มีความเห็น
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ร้อยละ 68.9 ระบุมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นพิษคือแจกหน้ากากป้องกันฝุ่นฟรี รองลงมาคือร้อยละ 63.6 ระบุหน่วยงานรัฐเข้มงวดจริงจังต่อเนื่อง ทั้งแหล่งปล่อยฝุ่นพิษ และพวกฉวยโอกาสขายหน้ากากแพง, ร้อยละ 60.9 ระบุพ่นน้ำลดฝุ่นพิษ, ร้อยละ 55.1 ระบุควบคุมแหล่งปล่อยฝุ่นพิษระยะยาว และร้อยละ 12.8 ระบุอื่นๆ เช่น ทุกพรรคการเมืองเอาเป็นนโยบายสุขภาพ แก้ปัญหาไม่ใส่ร้ายป้ายสีกันไปมา ทุกฝ่ายช่วยกันป้องกันแก้ไข ลดมลพิษ ตระหนักรักษาสิ่งแวดล้อม หยุดเรียน หยุดทำงาน เป็นต้น.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |