กห.แจงยิบงบกองทัพไม่มีมุบมิบ


เพิ่มเพื่อน    


     โฆษกกลาโหมกางข้อมูลแจงยิบงบปี 49-62 ไม่ต่างยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ เติบโตอยู่ที่เกณฑ์ 7% เป็นปกติไม่มีนัยพิเศษ ระบุงบประจำ 49% ซื้ออาวุธ 14.75% ผ่านขั้นตอน พ.ร.บ.งบฯ ตรวจสอบได้  วอนนักการเมืองอย่าพูดลอยๆ มานั่งพูดคุยกันได้ พร้อมรับข้อเสนอแนะ กลุ่มอยากเลือกตั้ง-คนเสื้อแดง พาเหรดหน้า ทบ.จี้ "บิ๊กแดง" เลิกเปิดเพลง "หนักแผ่นดิน" ชี้สร้างความเกลียดชัง "เพื่อชาติ" เหน็บ "ลุงตู่" ควรเปิดเพลงคืนความสุข สงสัยช่วงนี้ไม่ค่อยเปิด  ปชป.ย้อน พท.ยุค "ปู" เพิ่มงบ กห.มากกว่ายุค ปชป.เสียอีก
     ที่กระทรวงกลาโหม (กห.) วันที่ 20 กุมภาพันธ์  พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม   แถลงชี้แจงงบประมาณกระทรวงกลาโหม ภายหลังจากที่หลายพรรคการเมืองเสนอนโยบายตัดงบประมาณเหล่าทัพว่า กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานความมั่นคงที่มีบทบาทหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และพ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม 2551 ทั้งในด้านการป้องกันประเทศ และการรักษาความมั่นคงภายในการพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์  พิทักษ์รักษาอธิปไตยของชาติ พัฒนาประเทศ และช่วยเหลือประชาชน ซึ่งขนาดของกองทัพก็เป็นไปตามสภาพของภัยคุกคามและสถานการณ์ในช่วงนั้นๆ ตามแต่รัฐบาลและสังคมเป็นผู้กำหนด  
    "กระบวนการจัดสรรงบประมาณของกระทรวงกลาโหมไม่แตกต่างจากกระทรวงอื่น ต้องให้ความเห็นชอบและเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนหรือซ่อนเร้น โดยกระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรงบประมาณเป็นอันดับ 4 รองจากกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง"
    พล.ท.คงชีพกล่าวว่า เดิมงบประมาณทั้งประเทศวงเงินประมาณ 1 ล้านล้านบาท ถึงปัจจุบันเพิ่มเป็นจำนวน 3 ล้านล้านบาท ซึ่งการจัดทำงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมตั้งแต่ 2536 ถึง 2541 อยู่ที่ 12.7% ของประเทศ แต่เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ก็ถูกลดจนเหลือเพียง 6.5 ถึง 6.3% แต่อย่างไรก็ตามหลังปี 2549 งบประมาณได้เพิ่มเป็น 7.38% จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่ที่  227,126 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.57% ของงบประมาณประเทศ โดยปี 2549-2562 ก็อยู่ที่ประมาณ 7.59 % ไม่ต่างจากยุคของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีการการเติบโตยังคงอยู่ที่เกณฑ์ 7% ซึ่งเป็นปกติไม่มีนัยพิเศษใด  
    "ช่วงเกิดวิกฤติจนงบประมาณกระทรวงกลาโหมถูกปรับลดลงเหลือเพียง 6% จนทำให้ไม่มีงบประมาณในการฝึก งบประมาณในการใช้น้ำมัน ต้องใช้กระสุนสำรองในอัตราสงครามมาใช้ฝึก หรือแม้แต่การบำรุงยุทโธปกรณ์ ทำให้ยุทโธปกรณ์เสียหาย โดยเฉพาะนักบิน เกิดวิกฤติสมองไหล เพราะไม่มีชั่วโมงบิน ซึ่ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทราบเรื่องนี้ดี และเมื่อผ่านวิกฤติไปแล้ว เป็นช่วงฟื้นฟูในปี 2549 ถึง 2551 ทำให้งบประมาณถูกปรับขึ้นมาเป็น 7.9%" พล.ท.คงชีพ กล่าว
     โฆษก กห.กล่าวอีกว่า เมือเปรียบเทียบการจัดทำงบประมาณที่มีการเติบโตตามผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ (จีดีพี) ตามแผนพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพที่ตั้งไว้ของประเทศไทยอยู่ในอันดับ 6 หรือ 7 ของประเทศในอาเซียน โดยอันดับ 1 คือ ประเทศสิงคโปร์ บรูไนฯ เวียดนาม มาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งการพิจารณาแผนพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพจะเป็นการรับรองภัยคุกคามตามห้วงระยะเวลา ต้องมียุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยสมัย ป้องกันการสูญเสียอธิปไตย แต่ไม่ได้ทำมากเกินไป การจัดหายุทโธปกรณ์เป็นการจัดหาที่เป็นไปได้และดำรงสภาพในการป้องกันประเทศได้ตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งต้องสร้างความพร้อมรบให้เพียงพอต่อการปฏิบัติได้ทันทีเมื่อเกิดภัยคุกคาม ภายใต้ภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศไทย
     อย่างไรก็ตาม งบประมาณกระทรวงกลาโหม 49% เป็นงบรายจ่ายที่ให้กับบุคลากร อาทิ เงินเดือน สิทธิกำลังพล ด้านสวัสดิการของกำลังพล ซึ่งเป็นงบประจำอยู่แล้ว ส่วนอีก 20% เป็นงบประมาณด้านการเตรียมกำลัง การพัฒนายุทโธปกรณ์ การจัดตั้งหน่วยใหม่ ซึ่งเป็นงบในการจัดหายุทโธปกรณ์ 14.75% ซึ่งการจัดซื้อเป็นเรื่องของกองทัพในการผูกพันงบประมาณแต่ละปี เช่น โครงการเรือดำน้ำ ที่เป็นไปตามแผนพัฒนากองทัพ รวมไปถึงการจัดหายุทโธปกรณ์เพื่อทดแทนของเก่าที่กำลังปลัดประจำการ เช่น รถถังเอ็ม 41 ที่ใช้มานานตั้งแต่ยุคสงครามโลก หรือเฮลิลคอปเตอร์ ที่สหรัฐให้กับไทยมา 52 ลำ ที่ตอนนี้ใช้ได้แค่ 3 ลำ มีการซ่อมบำรุง แต่ก็มีสภาพเก่ามาก ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ จึงมีความจำเป็นที่จัดหาใหม่  
ใช้งบโปร่งใสตรวจสอบได้
    “การจัดหายุทโธปกรณ์เป็นไปตามแผนพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ ซึ่งจะประเมินภัยคุกคาม ต้องจัดหายุทโธปกรณ์เพื่อรบแล้วไม่แพ้ ไม่สูญเสียอำนาจอธิปไตย ซึ่งจัดหาตามเกณฑ์พื้นฐานความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ว่าปัจจุบันนี้อาวุธของกองทัพยังไม่ครบตามอัตรา จึงอยู่ระหว่างค่อยนำมาเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความยั่งยืน พร้อมยืนยันว่างบของประเทศคือภาษีของประชาชน และทหารทุกคนก็เสียภาษีเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ งบประมาณในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นอยู่ในกระบวนการที่สามารถตรวจสอบได้โปร่งใสมากขึ้นด้วยซ้ำ ตามพระราชบัญญัติงบประมาณที่ออกมาใหม่ การจะใช้งบประมาณในโครงการใดเกินกว่า 1,000 ล้านบาท ต้องนำเข้า ครม. จัดหายุทโธปกรณ์ก็เป็นแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล” โฆษก กห.กล่าว 
    ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามนโยบายของพรรคการเมืองหากกระทรวงกลาโหมถูกตัดงบ 10 เปอร์เซ็นต์ จะส่งผลกระทบอะไรต่อกองทัพ พล.ท.คงชีพกล่าวว่า มิติความมั่นคงไม่ใช่เรื่องการป้องกันประเทศเพียงอย่างเดียว เพราะส่งผลกระทบต่อประชาชนด้วย เนื่องจากกองทัพต้องมีงบประมาณในส่วนของช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติ และทุกภัยที่ไม่ได้เกิดจากสงครามปัจจุบันก็มีมากมาย แต่เราพร้อมรับฟังทุกข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็นของประชาชนทุกคน หากข้อเสนอเป็นประโยชน์ เราก็พร้อมรับฟัง และอยากพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน ไม่อยากให้มีการพูดกับแบบลอยๆ และหากนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ หรือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย มีข้อมูลเสนอมา ตนก็พร้อมรับฟัง
     เมื่อถามถึงแนวคิดที่เสนอให้ยกเลิกการมีกองบัญชาการกองทัพไทย และตั้งเป็นฝ่ายกรมเสนาธิการแทน สามารถทำได้จริงหรือไม่ โฆษก กห.กล่าวว่า อยากให้ผู้ที่เสนอมานั่งคุยกับตนมากกว่า ไม่อยากให้พูดแบบลอยๆ ผ่านสื่อมวลชน เพราะจะกระทบกับโครงสร้างความมั่นคงทั้งระบบ เรื่องนี้ไม่สามารถได้ทำได้ง่ายๆ เพียงวันเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ทุกอย่างเป็นไปได้ แต่ต้องศึกษาให้ดี 
    ถามว่าทำไมหลายพรรคจึงชูนโยบายตัดงบประมาณของกลาโหมโดยไม่พาดพิงกระทรวงอื่น พล.ท.คงชีพกล่าวว่า การที่ทหารเข้ามาเพราะประชาชนต้องการ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป อยากให้ไปถามเรื่องนี้กับนักการเมืองมากกว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ปัญหาที่ผ่านมาของบ้านเราอยู่ที่คนมากกว่า ดังนั้นคนต้องเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้ดีขึ้น ยืนยันรัฐบาลพิจารณาทุกงบประมาณอย่างโปร่งใส และไม่มีมุบมิบ สำหรับงบประมาณกระทรวงกลาโหมตั้งแต่ปี 2557-2562 มีดังนี้ ปี 2557 ได้รับงบประมาณ 183,819 ล้านบาท, ปี 2558 ได้รับงบประมาณ 192,949 ล้านบาท, ปี 2559 ได้รับงบประมาณ 206,461 ล้านบาท, ปี 2560 ได้รับงบประมาณ  213,544 ล้านบาท, ปี 2561 ได้รับงบประมาณ 218,503 ล้านบาท และปี 2562 ได้รับงบประมาณ 227,126 ล้านบาท
    ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงกรณีช่วงนี้หลายพรรคการเมืองมีนโยบายโจมตีกองทัพ จะมีการชี้แจงอย่างไรเพียงสั้นๆ ว่า ก็รู้อยู่แล้วยังจะถามอีก เมื่อถามว่ามีเพลงที่อยากแนะนำให้ไปฟังหรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบเช่นเดิมว่า รู้อยู่แล้วยังจะถามอีก
    วันเดียวกัน เมื่อเวลา 09.00 น. ที่บริเวณเกาะกลางถนน ด้านหน้ากองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ถ.ราชดำเนิน กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง นำโดยนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน พร้อมพวก ซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อนนักศึกษาประมาณ 4 คน เดินทางมายื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. เพื่อขอให้ยกเลิกการเปิดเพลงหนักแผ่นดิน ในสถานีวิทยุเครือกองทัพบก และเสียงตามสายในหน่วยทหาร
จี้เลิกเปิดหนักแผ่นดิน
    ทั้งนี้ นายพริษฐ์ได้อ่านจดหมายเปิดผนึกถึง ผบ.ทบ.ว่า การที่ พล.อ.อภิรัชต์พูดถึงเพลงหนักแผ่นดิน และสั่งการให้เปิดเพลงดังกล่าวในสถานีวิทยุเครือกองทัพบก รวมถึงเสียงตามสายภายในหน่วยทหารนั้น รู้สึกว่า พล.อ.อภิรัชต์ไม่เข้าใจเนื้อหาเพลงดังกล่าว เพราะเป็นเพลงที่ไม่สร้างสรรค์ อาจจะสร้างความขัดแย้งให้กับสังคมได้ ที่ผ่านมาก็สร้างบาดแผลให้กับสังคมเป็นอันมาก 
    “เนื้อหาเพลงหนักแผ่นดินมีเนื้อหาโจมตีผู้เห็นต่างทางการเมืองว่าเป็นผู้บ่อนทำลายสังคม ดูถูกเพื่อนร่วมชาติว่ารับใช้อิทธิพลจากต่างประเทศ เนื้อหาของเพลงก่อให้เกิดแห่งความเกลียดชัง มีเป้าประสงค์เพื่อชี้ชวนให้มองว่าผู้เห็นต่างเป็นพวกหนักแผ่นดิน บั่นทอนความเป็นมนุษย์ของเพื่อนร่วมชาติ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความรุนแรงได้ และที่ผ่านมาเพลงดังกล่าวก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างบรรยากาศให้เกิดความเกลียดชังและความรุนแรงในหลายเหตุการณ์ ขอให้ ผบ.ทบ.ยกเลิกการเปิดเพลงดังกล่าว” นายพริษฐ์กล่าว
    สำหรับบรรยากาศที่ด้านหน้า บก.ทบ. ทางเจ้าหน้าที่ทหารได้นำแผงเหล็กมากั้นป้ายกองทัพบกไว้ เพื่อห้ามไม่ให้กลุ่มบุคคลที่มาทำกิจกรรมเข้าไปบริเวณดังกล่าว โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.นางเลิ้ง ทั้งในและนอกเครื่องแบบประมาณ 50 นายเฝ้าสังเกตการณ์ และห้ามไม่ให้เคลื่อนไปยังบริเวณด้านหน้า บก.ทบ. หลังจากนายพริษฐ์อ่านจดหมายเปิดผนึกแล้วเสร็จจะนำไปยื่นต่อทหาร แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อนุญาต นายพริษฐ์จึงได้นำจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวไปติดที่ป้ายบริเวณเกาะกลางถนนแทน ก่อนนำกระดาษขนาดใหญ่ระบุข้อความ "เพลงหนักแผ่นดิน สร้างความเกลียดชัง ความรุนแรง ความเจ็บปวดในสังคม" วางบนพื้นเกาะกลางถนน จากนั้นตำรวจได้เข้ามาเชิญตัวนายพริษฐ์พร้อมพวกขึ้นรถควบคุมผู้ต้องขังไปให้ข้อมูลที่ สน.นางเลิ้ง 
    ต่อจากนั้นเวลา 09.30 น. นายเอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมทางการเมือง พร้อมด้วยนายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ เดินทางมาทำกิจกรรมต่อเนื่อง โดยนายเอกชัยกล่าวว่า พล.อ.อภิรัชต์เคยบอกว่ามีความเป็นกลางทางการเมือง แต่กลับมีพฤติกรรมหลายอย่างที่ตรงกันข้าม ล่าสุดก็ยังให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน ซึ่งเป็นเพลงที่เปิดก่อนเกิดเหตุการณ์นองเลือดวันที่ 6 ต.ค.2519 พล.อ.อภิรัชต์ไม่ควรฟังเพลงประเภทนี้เพราะเชยและล้าสมัย
    จากนั้นนายเอกชัยพร้อมพวกได้ทำกิจกรรมด้วยการสวมหน้ากากกันฝุ่นละออง นำตุ๊กตาหมีขนาดใหญ่และเก้าอี้พับมาตั้งไว้บนฟุตปาธบริเวณใต้ต้นมะขามเกาะกลางถนนด้านหน้า บก.ทบ. พร้อมนำเชือกฟางสีขาวที่เตรียมไว้เพื่อประกอบการแสดงต่อสื่อมวลชน จากนั้นนายเอกชัยได้นำเชือกมาพันรอบคอตุ๊กตาหมีเตรียมพร้อมไว้ ต่อด้วยการเปิดเพลง “ประเทศกูมี” จากเครื่องขยายเสียงที่นำติดตัวมาด้วย หลังจากนั้นสมาชิกในกลุ่มก็ได้เตรียมนำตุ๊กตาหมีขึ้นผูกบนต้นไม้ แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาห้ามให้หยุดกระทำกิจกรรมดังกล่าว พร้อมนำกำลังมาล้อมเป็นวงกลม 2 ชั้น ทำให้นายเอกชัยใช้เก้าอี้พับที่เตรียมมาจำลองเหตุการณ์ โดยการทำท่าตีที่นายโชคชัยแทน ประกอบเพลงประเทศกูมีที่เปิดขึ้นไปพร้อมกัน  
    ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้ใช้เครื่องขยายเสียงควบคุมฝูงชนแบบติดตามตัวเปิดเพลงความฝันอันสูงสุด เพื่อกลบเสียงเพลงประเทศกูมี ก่อนจะเชิญกลุ่มบุคคลทั้งหมดพร้อมอุปกรณ์ขึ้นรถควบคุมผู้ต้องขังของ สน.นางเลิ้งออกไป
    ขณะเดียวกัน ยังมีกลุ่มของนายอนุรักษ์ ฟอร์ด เจนตวนิชย์ แกนนำเสื้อแดงราชประสงค์ พร้อมสมาชิกประมาณ 20 คน เดินทางมาสนับสนุนการทำกิจกรรมต่อต้าน พล.อ.อภิรัชต์ที่ให้เปิดเพลงหนักแผ่นดิน ก่อนที่จะสลายตัวไปหลังจากนายเอกชัยและพวกถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญตัว
    หลังจากนั้น นายบัญชา ปรานนิวัฒน์ กลุ่มคนฝั่งธนรักสันติ เข้ายื่นหนังสือพร้อมดอกไม้ให้กำลังใจ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ว่าตนและพวกพร้อมอยู่เคียงข้างทหารทุกเหล่าทัพ เพราะเห็นว่าเหนื่อย ทำงานเสียสละดูแลประชาชน ซึ่งแม้จะเป็นกลุ่มเล็กๆ หากยังมีการเคลื่อนไหวและโจมตีวิพากษ์วิจารณ์ในอนาคต ตนและกลุ่มพร้อมจะมาให้กำลังใจแต่จะไม่ออกมาชุมนุมสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน
ควรเปิดเพลงคืนความสุข
    ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมในปัจจุบันมีการใช้งบที่หละหลวม เราไม่จำเป็นต้องมีนายพลถึงกว่าพันนาย และไม่จำเป็นต้องมีกำลังพลถึง 4 แสนนาย เราเชื่อว่ากำลังรบของกองทัพในศตวรรษที่ 21 รูปแบบมันเปลี่ยนไปเยอะแล้ว เราอยากทำให้กองทัพทันสมัย เท่าทันโลก การตัดงบกองทัพจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่เห็นว่าเรื่องที่เราเสนอเป็นภัยกับประเทศชาติ เพียงแต่สิ่งที่เสนออาจไปกระทบกับผลประโยชน์ของผู้นำกองทัพมาก เขาจึงต้องออกมาปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองเป็นเรื่องปกติ
    ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้มีหลายพรรคการเมืองอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ คสช. หากสถานการณ์นำไปสู่การรัฐประหาร พรรคอนาคตใหม่จะทำอย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองตอนนี้ตึงเครียดมาก หากเกิดอุบัติเหตุนิดเดียว อาจกลายเป็นสึนามิทางการเมือง ขอให้ประชาชนทุกคนร่วมกันกดดัน อย่าเพิ่งลดการ์ดลง อย่าให้ใครใช้รัฐประหารในการแก้ปัญหาเพราะหากเกิดรัฐประหารอีกครั้ง ประเทศจะพัง และขอฝากให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำการเลือกตั้งครั้งนี้เท่าเทียมกันในทุกพรรคการเมือง เพราะนี่เป็นก้าวแรกที่จะเดินไปสู่ทางออก แต่หากเกิดรัฐประหารจริง คนที่รับผิดชอบคือคนที่ทำ ทั้งนี้ไม่มีใครอยากล้มการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่แน่
    ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ปกป้องผบ.ทบ.เรื่องเพลงหนักแผ่นดินว่า เพลงนี้เอาไว้ปลุกปั่นให้คนฆ่ากัน วันนี้การเอาเพลงหนักแผ่นดินมาเปิดนั้น ต้องการให้คนไทยฆ่ากันอีกหรือ ดังนั้นตนไม่เชื่อแน่นอนว่าทั้ง พล.อ.ประยุทธ์และ ผบ.ทบ.ไม่รู้ประวัติศาสตร์ เพราะฉะนั้นตนยังยืนยันว่าเพลงที่เหมาะที่สุดในเวลานี้คือเพลงคืนความสุขที่ พล.อ.ประยุทธ์แต่ง
    "เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการเป็นแชมป์ต่อ พรรคการเมืองก็ต้องเสนอว่า 4 ปีต่อไปนี้จะทำดีกว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์อย่างไร จึงเป็นเรื่องปกติที่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ งบกองทัพ 5 ปี กับงบล้านล้าน ที่ไม่สอดคล้องกับความยากจนของประชาชน ซึ่งมีความยากลำบาก พรรคก็ต้องเสนอแนวทาง หนึ่งในนั้นก็เสนอลดงดกองทัพ เพราะประเทศไม่มีศึกสงคราม มีแต่ความยากจน เดือดร้อน เหลื่อมล้ำ จึงจำเป็นต้องมีเงินเอาไปแก้ไขสาธารณสุข การศึกษา และความยากจนของประชาชน" นายจตุพรกล่าว 
     นายรยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า จากกรณีเพลงหนักแผ่นดิน แสดงถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงในการเข้าสู่อำนาจของ คสช. นั่นก็คือเพื่อผลประโยชน์ของกองทัพ ทำให้เมื่อมีพรรคการเมืองนำเสนอนโยบายลดงบประมาณกองทัพ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหลายคนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรี รวมถึงตัว ผบ.ทบ.เอง ได้แสดงอาการไม่พอใจ และบอกให้ผู้เสนอนโยบายดังกล่าวไปฟังเพลงหนักแผ่นดิน การกระทำเช่นนี้มองว่ากองทัพกำลังพยายามจะทำตัวเป็นมาเฟีย ทำตัวมีอำนาจ และมีอิทธิพลเหนือประชาชน เป็นการสร้างความขัดแย้งมากกว่าปรองดอง ผิดมารยาททางการเมือง เพราะการนำเสนอนโยบายถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพรรคการเมือง ไม่เกี่ยวกับกองทัพ ไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพที่จะห้ามมิให้ใครวิพากษ์วิจารณ์ ผบ.ทบ. จึงต้องระมัดระวัง และพึงสำรวมว่าจากนี้ไปรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนต้องอยู่เหนือกองทัพ
    "เพลงที่ควรนำมาเปิดตอนนี้มิใช่เพลงหนักแผ่นดิน แต่ควรเป็นเพลงคืนความสุข ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้แต่งเมื่อ 5 ปีก่อน เพลงนี้เคยเปิดบ่อยๆ เหตุใดช่วงหลังๆ นี้จึงไม่เปิดเลย คิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เหมาะที่สุด เพราะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าสิ่งที่รัฐบาลทหารพูด สัญญานั้น ไม่เป็นความจริง และจะเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่าควรคืนความสุขให้ประชาชนโดยเร็วผ่านการเลือกตั้งได้แล้ว อย่าผิดคำพูดบ่อยๆ และขอเตือนว่าอย่าพยายามที่จะล้มกระดานการเลือกตั้งอีก เพราะครั้งนี้ประชาชนจะไม่ทนอีกต่อไป" นายรยุศด์กล่าว
    ร.ท.หญิงสุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ความไม่พอใจของคนในสังคมที่มีต่อท่าทีของ พล.อ.อภิรัชต์ เรื่องการเปิดเพลงหนักแผ่นดินนั้น สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่กองทัพเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง ดังนั้นในการปฏิรูปกองทัพ ต้องมีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรด้วย เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิดของทหารในกองทัพให้เข้าใจบทบาทของตนเองในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาคัดเลือกนายทหารที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้บังคับหน่วย ควรพิจารณาปูมหลังเกี่ยวกับความคิดทางการเมืองด้วยว่าเป็นอันตราย หรือเป็นปฏิปักษ์กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะเป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะก่อการยึดอำนาจได้เมื่อสบโอกาส ซึ่งวิธีนี้น่าจะช่วยป้องกันการปฏิวัติรัฐประหารได้อีกทางหนึ่ง
    "หากคนไทยส่วนใหญ่เทคะแนนให้พรรคการเมืองที่ชูนโยบายตัดงบประมาณในการซื้ออาวุธของกองทัพและยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร กองทัพก็ควรเคารพการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน" ร.ท.หญิงสุณิสากล่าว และว่า บ้านเมืองของเราบอบช้ำมามากแล้วประเทศควรเดินไปข้างหน้าเสียที หากมีการล้มกระดานเลือกตั้งอีก สมควรถูกประณามว่าหนักแผ่นดินของจริง
ยุค"ปู"เพิ่มงบกห.มากกว่าปชป.
    นายธนา ชีรวินิจ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แถลงเรียกร้องให้เพจเฟซบุ๊กลุงตู่ตูน ถอนข้อความที่มีการเผยแพร่ข้อมูลกราฟฟิกที่ระบุว่า พรรคปชป.อนุมัติงบประมาณกองทัพและกระทรวงกลาโหมมากที่สุดในรอบ 12 ปี เพราะเป็นการเสนอข้อมูลเท็จ เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เข้ามาเป็นนายกฯในเดือนธันวาคม 2551 แต่การจัดทำงบประมาณปี 2552 จัดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์  ส่วนรัฐบาลพรรค ปชป. จัดทำงบประมาณปี 2553 และ 2554 ซึ่งพบว่างบกระทรวงกลาโหมปี 2553 ที่จัดทำโดยรัฐบาลพรรค ปชป. อยู่ที่ 154,032 ล้านบาท น้อยกว่างบปี 2552 ที่จัดทำโดยรัฐบาลนายสมชาย ซึ่งอยู่ที่ 170,157 ล้านบาท และงบปี 2554 ที่ทำโดยรัฐบาลพรรค ปชป. ซึ่งอยู่ที่ 168,502 ล้านบาท ก็เป็นตัวเลขต่ำสุดหากนับจากรัฐบาลถัดมาจนถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน 
    "ไม่อยากให้มีการใช้สื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยเฉพาะที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน และขณะนี้หลายพรรคการเมืองมีการประกาศจะตัดงบทหารเท่านั้นเท่านี้ แต่ที่สุดก็ไม่เห็นมี  แต่เรายืนยันว่าการให้ข้อมูลกับประชาชนต้องมีความเป็นจริง จึงขอแจ้งไปยังเพจดังกล่าวให้ถอดข้อความเท็จนี้ภายใน 24 ชั่วโมง มิเช่นนั้นพรรคจะดำเนินคดีทางกฎหมายข้อหาที่นำเอาข้อมูลที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์"  
    ผู้สื่อข่าวถามว่า มองการจัดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมในช่วงที่มีการรัฐประหารอย่างไร นายธนาธรกล่าวว่า หลายงบประมาณที่ประชาชนมีความเคลือบแคลง โดยเฉพาะงบจัดซื้อเรือดำน้ำ  หรืองบจัดซื้อรถถัง ที่มองว่ายังไม่มีความจำเป็น และควรนำงบนี้มาช่วยเหลือประชาชนที่ยากจน กระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศเดินหน้าได้ประโยชน์มากกว่า เพราะปัจจุบันการสู้รบของทหารน่าจะมีความจำเป็นลดน้อยลง
    ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคปชป. ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรค โพสต์เฟซ บุ๊กระบุว่า ไม่มีเจตนาจะปกป้องหรือกล่าวหาใคร แต่หากดูจากตารางจะเห็นว่า งบทหารเพิ่มขึ้น (เกือบ) ทุกปีจริง แต่ตามจริงงบทุกกระทรวงก็เพิ่มขึ้นตาม GDP ที่สูงขึ้นเหมือนกัน ปีเดียวที่กล้าปรับลดงบทหารลงไปคือในสมัยคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร เป็น รมว.กลาโหม) หากวัดจากสัดส่วนต่อ GDP เราจะเห็นว่างบทหารไม่ได้ผิดปกติ และลดลงต่อเนื่องในยุค คสช. แต่ละประเทศจะมีการจัดสรรงบทหารตามความเหมาะสมตามสถานการณ์ของตน ปกติจะใช้วิธีเปรียบเทียบกับ GDP ซึ่งจะเห็นว่ามีทั้งต่ำกว่าและสูงกว่าเรา
     "การใช้งบรัฐไม่ว่าจะงบประมาณรายจ่ายประเภทใดก็ตาม (รวมถึงงบทหาร) ต้องโปร่งใส แต่ทุกฝ่ายไม่ควรเพิ่มเงื่อนไขความแตกแยก โดยไม่มีความรับผิดชอบต่อข้อเท็จจริง ประชาชนควรดูพฤติกรรมของทุกรัฐบาลในอดีตว่าเคยมีท่าทีอย่างไร พรรคที่ประกาศว่างบทหารต้องลดลง เคยมีการปรับงบทหารลงในยุคที่มีอำนาจหรือไม่ ในสมัยเราเป็นรัฐบาล กลาโหมร้องของบซื้อเรือดำน้ำ คุณอภิสิทธิ์ถามว่า ‘ทหารเรือเราใช้เรือดำน้ำเป็นหรือยัง? และจึงมีนโยบายให้ไปฝึกมาก่อนที่คิดจะซื้อ สุดท้ายไม่ได้มีการจัดซื้อเรือดำน้ำในยุคเรา" นายกรณ์ระบุ 
    ด้านนายอภิสิทธิ์ กล่าวกรณีพรรคการเมืองเสนอตัดงบประมาณกลาโหมว่า เป็นสิทธิ์ของแต่ละพรรคเสนอ แต่การนำเสนอต้องอยู่กับข้อเท็จจริงและเหตุผล ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี มีอยู่ยุคหนึ่งที่งบกลาโหมลดลง นั่นคือสมัยที่ตนเป็นรัฐบาล และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กห. แปลว่าปรับลดงบ กห.ได้ แต่ต้องมีเหตุผลว่าลดเพราะอะไร อยากเห็นพรรคการเมืองสร้างสรรค์ การวิพากษ์วิจารณ์ทำได้ แต่อย่าให้เกิดบรรยากาศขัดแย้ง 
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีมีหลายพรรคการเมืองพูดถึงนโยบายลดงบประมาณกองทัพว่า ประเทศเป็นบ้าน ทหารเป็นรั้ว ถ้ารั้วเราไม่แข็งแรงขโมยจะเข้าบ้าน ที่ผ่านมาขโมยเข้าบ้านเยอะ เราต้องเรียนรู้วิธีอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ที่ผ่านมาพี่น้องทหารก็มีความเสียสละ เช่น ทหารใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่คอยเฝ้าระวังความปลอดภัยให้คนไทย เราจะไปบอกว่าทหารไม่ดีก็ไม่ได้ เพราะทุกคนต่างทำหน้าที่วันนี้เราต้องรีเซตใหม่ ประชาธิปไตยจะกลับมาสู่ประเทศ ทุกคนปรารถนาดีต่อบ้านเมือง ถ้าใครต้องการเห็นความขัดแย้งหรือสนับสนุนให้มีความขัดแย้งในบ้านเมือง คนนั้นคือคนหนักแผ่นดิน
    นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ กล่าวว่า คสช.และกองทัพควรวางเป็นกลางตัว ทำให้การเลือกตั้งเสรีและเป็นธรรม รวมทั้งยอมรับผลการเลือกตั้ง มั่นใจว่าจะได้ไปกาบัตรในวันที่ 24 มี.ค.อย่างแน่นอน 
    พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวขณะที่เดินพบปะประชาชนที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า "ทหารคือปัญหาของบ้านเมือง ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา หากผมได้มีโอกาสเข้าไปบริหารบ้านเมือง ต้องไม่มีเกณฑ์ทหาร ต้องยุบหน่วยทหารที่ไม่จำเป็นออก กองบัญชาการทหารสูงสุดต้องยุบ กองทัพน้อยต้องยุบ ศาลทหารไม่มีศึกสงคราม ไม่ต้องมี”.  


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"