ชี้ฝรั่งหนีอัยการศึกออนไลน์


เพิ่มเพื่อน    


    “ผู้พิพากษาอาวุโส-นักวิชาการ” จัดชุดใหญ่ยำเละกฎหมายไซเบอร์ ชี้ถดถอยย้อนไปกว่ายุค 2475 ถือเป็นกฎหมายอัยการศึกโลกออนไลน์ ยกสหรัฐมีปัญหาเยอะยังไม่กล้าออก เชื่อบังคับใช้ “ไฮเทคโนโลยี-บริษัทต่างชาติ” หนีแน่ แนะรอรัฐบาลใหม่ค่อยบังคับใช้หรือทบทวนแก้ไข 
    เมื่อวันอาทิตย์ ยังคงมีควันหลงจากกรณีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติผ่านร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยนายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ร่างดังกล่าวไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากร่างเดิมที่เคยให้ความเห็นถึงปัญหาไว้แต่อย่างใด เพราะหลักการใหญ่ยังเหมือนเดิม ซึ่งประชาชนจะได้รับผลกระทบจากเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ Cyber Security ในการเข้าตรวจค้น ยึด ข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ได้หมดโดยเหตุแค่เพียงต้องสงสัย โดยที่ไม่ได้เริ่มคดีหรือมีการตั้งข้อหา ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะถูกล่วงละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นส่วนตัวได้หมด โดยความผิดยังไม่เกิด เพียงแค่ถูกสงสัย และกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลต่อการตรวจสอบถ่วงดุลขอหมายค้นจากศาล ซึ่งเป็นอำนาจการถ่วงดุลระหว่างศาลกับฝ่ายบริหารทำไม่ได้ 
    นายศรีอัมพรอธิบายว่า อำนาจตุลาการของศาล ถือเป็นองค์กรเดียวของประเทศที่จะคุ้มครองดูแลสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่กลับถูกกีดกันไม่ให้ใช้อำนาจตรวจสอบการทำงานของรัฐในส่วนนี้ ส่วนที่อ้างว่าเฉพาะเหตุที่เป็นวิกฤติร้ายแรง จึงจะให้เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวโดยไม่ต้องขอศาลก่อนนั้น ขอถามว่ามาตรฐานนี้คือตรงไหน ใช่อยู่ที่คณะกรรมการไซเบอร์ชุดเล็กหรือไม่ เพราะในทางปฏิบัติ คณะกรรมการชุดใหญ่ระดับประเทศที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก็จะให้กรอบการทำงานไว้เท่านั้น แต่คณะกรรมการชุดเล็กซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานที่มีระดับอธิบดีควบคุมตามหน่วยงาน ซึ่งระดับไม่ได้สูง ใช้อำนาจได้โดยอาศัยหลักการ เพียงเชื่อว่าคณะกรรมการไซเบอร์ดังกล่าวมีหลักคุณธรรมสูง สามารถยังยั้งชั่งใจและใช้ดุลพินิจที่ดีได้ 
    “ขอถามว่าการใช้คณะกรรมการลักษณะนี้เป็นการให้อำนาจตัวบุคคลที่เราไม่สามารถมีหลักประกันอะไรเลย ว่าเขาจะไม่ใช้อำนาจที่จะเกินเลยหรือไปล่วงเกินสิทธิเสรีภาพ และอะไรคือมาตรฐานกลางที่ถือว่าร้ายแรง ตรงนี้มันไม่มีคำจำกัดความที่เหมาะสมเป็นหลักประกันเลย เป็นเพียงการอ้างความไว้วางใจที่เป็นความเสี่ยง” นายศรีอัมพรกล่าว
    ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์รายนี้ยังกล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวยังมีจุดน่าห่วงคือโทษอาญาที่มีนัยสำคัญที่ทำให้คนเกรงกลัว เช่น ไม่ยอมให้ตรวจค้น ยึดจับกุม บอกรหัสผ่านก็จะถูกดำเนินโทษทางอาญา ที่น่ากลัวคือกฎหมายยังบังคับไปถึงกลุ่มนิติบุคคล ซึ่งเป็นหุ้นส่วนบริษัทต่างๆ ต้องมีมาตรการป้องกัน ซึ่งเป็นการสร้างระบบป้องกันก่อนการกระทำผิดมากจนเป็นภาระ โดยประเทศอื่นมองว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนและนิติบุคคล อย่างในต่างประเทศ ถ้ามีความผิดเกิดขึ้นเขาถึงจับกุม แต่ร่างกฎหมายอันนี้กลับระมัดระวัง คือกำหนดให้มีแผนป้องกันจนที่ว่าจะให้เกิดความผิดไม่ได้เลย ถ้าไม่ทำแผนขึ้นมาก็จะมีโทษ ตรงนี้มันขัดกับตรรกวิทยา ส่งผลต่อบริษัทที่ประกอบการผลิตแอปพลิเคชันต่างๆ 
    “สตาร์ทอัพในสหรัฐอเมริกาหรือภาคพื้นยุโรปที่เจริญก้าวหน้า เพราะได้สิทธิเสรีภาพในการคิดค้นนวัตกรรมต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งก็มีโอกาสถูกอาชญากรรมทางไซเบอร์ได้ แม้มีความเสี่ยง เขาก็จะพยายามโปรแกรมป้องกันพัฒนาขึ้นมาต่อต้านแฮกเกอร์ แต่ไทยไปมองว่าถ้าเขากระทำผิดได้ก็ไปห้ามเขาหมด พอไปห้ามนวัตกรรมใหม่ๆ พวกนี้มันก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาก็ต้องมีความเสี่ยงก่อนถึงค่อยพัฒนา แบบนี้เท่ากับเราห้ามคิดห้ามอะไร เหมือนโรงเรียนกินนอนบังคับให้คนไทยอยู่ในกรอบ ไม่ได้คิดนอกกรอบ สมัยโบราณที่ต้องท่องจำเท่านั้น การคิดนอกกรอบแปลว่าไม่ดีต้องถูกทำโทษ เมื่อเป็นแบบนี้ ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของเราจะถดถอยลง ยิ่งกว่าอยู่สมัยก่อน 2475 ซะอีก ความคิดที่ว่าจะต้องหวาดกลัวภัยไซเบอร์ เหมือนกุ้งที่กลัวตัวงอขี้ขึ้นสมอง มันไม่ได้หรอก มันเป็นตัวขัดขวางอนาคตประเทศ” นายศรีอัมพรกล่าว
    นายศรีอัมพรยังกล่าวด้วยว่า มีปัญหาเรื่องข้อมูลทางการค้า กฎหมายยังเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่เข้าไปยึดคอมพิวเตอร์และข้อมูลทางความจำได้ ขอถามว่าข้อมูลทางการค้าของผู้ประกอบการที่ลงทุนในต่างประเทศหรือต่างประเทศ ใครจะมาไว้ใจได้อย่างไรว่าเจ้าหน้าที่จะไม่ทุจริต เพราะข้อมูลทางการค้าที่เดิมมีเรื่องการล้วงขโมยกัน อย่างสหรัฐเคยกล่าวหาว่าจีนล้วงความลับทางการค้าและเทคโนโลยีโดยผ่านเครื่องมือสื่อสาร เช่น หัวเหว่ย ซึ่งขนาดเกิดปัญหาแบบนั้นเขาก็ไม่มีการออกกฎหมายแบบเรา แค่ห้ามไม่ให้ใช้ แต่เรากลับออกมาบังคับให้ทำระบบป้องกันไม่พอ ยังบังคับให้ต้องเปิดเผย แล้วถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐเกิดทุจริต เอาความลับทางเทคโนโลยีแล้วไปขายจะทำอย่างไร จะกลายเป็นว่าประเทศจะขาดโอกาสจากอุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยี เนื่องจากเขาไม่ไว้ใจว่าตัวกฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐจะสามารถคุ้มครองหรือป้องกันความลับข้อมูลทางการค้าที่มีมูลค่าสูงมากได้ เขาก็เลยไม่มาลงทุน หันเหไปลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านที่เงื่อนไขดีและไม่มีความเสี่ยง 
    “ถ้าจะให้ผมประเมินความคุ้มค่าของภัยไซเบอร์ที่เป็นห่วงกันกับความเสียหายทางการค้าที่คิดมูลค่าเป็นเงินมหาศาล และความเสียหายต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่มีคุณค่าทางจิตใจและความเป็นมนุษย์ ถ้าเราไม่คุ้มครอง ไม่อาจประเมินเป็นราคาได้ ซึ่งไม่เข้าใจว่าเราไปห่วงภัยไซเบอร์จนประเทศชาติถดถอย และไม่ใช่ถอยธรรมดาด้วย” นายศรีอัมพรกล่าว
    เมื่อถามถึงทางแก้ไขเรื่องดังกล่าว นายศรีอัมพรระบุว่า แทบจะไม่มีทางแก้ไข เพราะมันจะเป็นกฎหมายแล้ว จะมีได้หากว่ามีรัฐบาลใหม่มาแล้วได้เห็นภัยของกฎหมาย ก็จะแก้ไขกฎหมายด้วยการลดทอนอำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ลดลงจึงจะทำได้ แต่ต้องอย่าลืมว่าการแก้ไขกฎหมายแต่ละฉบับนั้นทำได้ยาก ยิ่งเมื่อเราเข้าสู่การมีรัฐบาลปกติที่มาจากการเลือกตั้งที่จะต้องมีฝ่ายค้านในรัฐบาลที่ต้องถกเถียงกัน การออกกฎหมายต้องเข้าคิวกัน และกฎหมายแบบนี้มีความสำคัญ การถกเถียงยังสูงด้วย
    “เหตุที่ผมออกมาเพราะเราหวังดีต่อประเทศ ถ้าไม่ใส่ใจ ผมก็ไม่ต้องพูด ผมก็อยู่เฉยๆ ไม่เปลืองตัว ผมไม่มีผลประโยชน์ทางการเมือง และไม่ได้อยากออกสื่อ แต่เราเป็นผู้พิพากษาที่ห่วงชาติ ถ้าเราเห็นข้อเสียเราก็ต้องบอก เพราะเป็นข้าราชการตุลาการที่ทำหน้าที่เป็นศาลที่มีหน้าที่คุ้มครองดูแลสิทธิเสรีภาพของประชาชน นั่นคือภารกิจที่สมบูรณ์ของศาล” ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์กล่าว
    ด้าน ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวเช่นกันว่า หากกฎหมายดังกล่าวบังคับใช้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม การสร้างสรรค์ในโลกไซเบอร์และธุรกิจออนไลน์ รวมทั้งอาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและการล่วงละเมิดต่อความลับทางธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญา เพราะเหมือนกฎอัยการศึกของโลกออนไลน์ 
    ผศ.ดร.อนุสรณ์ยังประเมินว่า กฎหมายอาจนำมาสู่ความขัดแย้งอย่างกว้างขวางและไม่สอดคล้องกับโลกในปัจจุบันและอนาคต เพราะมุ่งไปที่มิติความมั่นคงมากเกินไป โดยไม่สนมิติทางเศรษฐกิจ มิติทางสังคม มิติทางด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิส่วนบุคคล ถือเป็นเรื่องที่น่าห่วงใยอย่างยิ่งต่อสังคมไทยในอนาคต หากผู้บังคับใช้กฎหมายมีลักษณะอำนาจนิยมไม่ยึดหลักการประชาธิปไตย ย่อมทำให้เกิดสภาวะ Big Brother มีการสอดส่องพฤติกรรมต่างๆของประชาชน ธุรกิจเอกชนทางออนไลน์ เป็นอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นผลบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรม กระทบความเชื่อมั่นต่อนักธุรกิจและนักลงทุนได้ 
    “หากรีบประกาศใช้โดยไม่ทบทวนเนื้อหา กระทบภาคการลงทุนและความเชื่อมั่นนักลงทุน    
    แน่นอน ไม่ควรมีการบังคับใช้กฎหมายจนกว่าจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง เพราะอาจถูกใช้เป็นเครื่องมืออย่างไม่เป็นธรรมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองได้”ผศ.ดร.อนุสรณ์ระบุ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"