คำตอบ 'ทหารมีไว้ทำไม?'


เพิ่มเพื่อน    

         นี่.........

                เขาจะหาเสียงเลือกตั้งกัน หรือรณรงค์ "ล้มกองทัพ" ก็ไม่ทราบ?

                เห็นบางพรรค "เล่นหนัก"!

                ตัดงบกองทัพ เลิกทหารเกณฑ์ ย้ายหน่วยทหารทั้งหมดไปนอกเมือง ทหารเป็นส่วนเกินสังคม

                จนถึงขั้นปล่อยเชื้อไวรัสให้ระบาดในสมองชาวบ้านด้วยชุดคำถาม

                "ทหารมีไว้ทำไม....

                งบเพื่อกองทัพมากกว่างบเพื่อประชาชน?"

                ในความเป็นรัฐบาล คสช. ถ้าพลเอกประยุทธ์เป็นเนื้อ กองทัพก็คือหนังที่หุ้มเนื้อ

                มองผิวๆ เป็นเช่นนั้น

                แต่ถ้ามองลึกลงไป ปฏิบัติการวาทกรรมเชิงลบต่อทหารและกองทัพต่อเนื่อง มันไม่ใช่หวังผลแค่ชิงอำนาจจาก "พลเอกประยุทธ์" ในความเป็นรัฐบาล คสช.แค่นั้น

                เป้าหมายมันลึกและกว้างไกลกว่านั้น!

                เคยได้ยินคำว่า "น้ำหยดลงหิน" ใช่มั้ย?

                เขาจะสร้างทัศนคติเชิงปฏิปักษ์ต่อทหารและกองทัพให้ประชาชนได้ยิน-ได้เห็นไปเรื่อยๆ เพาะเชื้อทอนความเชื่อและศรัทธาต่อกองทัพ

                แรกๆ คนอาจไม่คิดอะไร

                แต่พอนานไป เห็นการลบหลู่เชิงหยามต่อทหารและกองทัพบ่อยๆ ซักวันก็ต้องฉุกคิด

                เอ๊ะ...หรือจะจริงอย่างเขาว่า?

                แค่นั้น ศรัทธาก็สั่นคลอน!

                จากที่ไม่คิดอะไร ประชาชนจะเริ่มคิดในทาง "คล้อยตาม"

                "ทหารหมดยุค....

                ไม่จำเป็น..เอาเงินงบประมาณไปทำอย่างอื่นดีกว่า?"

                นั่นคือ "เป้าหมายหลัก" ของเขา

                เพราะกองทัพคือ "เปลือก" คอยหุ้มเนื้อนอกรักษา "แก่นใน" คือสถาบันชาติ

                ถ้าเปลือก "เสื่อมสภาพ" หรือถูกลอกได้

                การ "ล้มแก่น"......

                เหมือนปอกกล้วย!

                เมื่อวาน ได้หนังสือมาเล่ม "ปฏิบัติการลับในสมรภูมิรบ" ดร.ทิพภานิดา ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ถ่ายทอดจากบันทึกของคุณพ่อ "พลตรีจักรชัย ศุภางคเสน"

                เป็นบันทึกประวัติศาสตร์การทหาร การเมืองไทย ที่พลตรีจักรชัย บันทึกเหตุการณ์ตัวท่าน นับแต่ปี  ๒๔๗๔-๒๕๒๐

                เมื่อ ดร.ทิพภานิดาพบ

                จึงนำเอกสาร "ประวัติศาสตร์ชีวิตจริง" มาเรียบเรียง ในชื่อหนังสือ "ปฏิบัติการลับในสมรภูมิรบ" นี่แหละ

                ผมว่าถูกกาล-ถูกเวลา หนังสือเล่มนี้ เป็นส่วนประวัติศาสตร์ "เติมเต็ม" สถานการณ์ "ปัจจุบันพร่อง" ได้พอดี

                จะไม่ใช้คำว่า "ควรอ่าน" สำหรับเลือดไทย

                ขอใช้คำว่า "ต้องอ่าน" กันเลยทีเดียว!

                ทหารมีไว้ทำไม...อ่านซะ จะได้ไม่ต้องถามให้เป็นที่รุ่มร่ามสังคมชาติอีก

                สำนักพิมพ์ ริเวอร์ บุคส์ จำกัด ที่ท่าเตียน ตรงข้ามวัดโพธิ์ พิมพ์จำหน่าย สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามคัดลอก

                แต่ด้วยอยากให้หาอ่านกันมากๆ ไม่ลอกเนื้อ ขอลอกคำนำบางส่วน ที่ ดร.ทิพภานิดาเขียนไว้ มาเป็นกระสายก็แล้วกัน

                "......เอกสารของคุณพ่อทุกชิ้นอยู่ในกล่องที่เดิม เหมือนเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้ว เมื่อคุณพ่อจากไปใน พ.ศ.๒๕๒๑ ลูกมองดูด้วยความซึ้งใจเหลือเกินที่คุณแม่ไม่เคยทิ้งเอกสารของคุณพ่อเลย ความรู้สึกระคนกัน ทั้งแปลกใจและดีใจ มันเหลือเชื่อจริงๆ ที่เอกสารเก่า..แสนเก่าเหล่านี้ ไม่ถูกชั่งกิโลขายไปเสียตั้งนานแล้ว

                เป็นไปได้อย่างไร? หรือมีเทพเทวาองค์ใดคอยปกปักรักษาเอกสารเหล่านี้อยู่?

                ................

                วันหนึ่ง ลูกนำกล่องบรรจุเอกสารที่ฝุ่นหนาเตอะมาตั้งและค่อยๆ เปิดกล่องทุกกล่องไปทีละกล่อง  เปิดแฟ้มทุกแฟ้มไปทีละหน้า ปัดฝุ่น ทำความสะอาด จัดเก็บ แยกหมวดหมู่    ................

                เรื่องราวที่บรรจุอยู่ในบันทึกความทรงจำเหล่านี้มันไม่ธรรมดาเลย สิ่งที่ลูกไม่เคยรู้ว่า คุณพ่อต้องผ่านอะไรมาบ้าง ถูกเปิดเผย ทุกเหตุการณ์ ทุกความรู้สึก

                ถูกบันทึกไว้ในบันทึกความทรงจำที่คุณพ่อตั้งชื่อหัวเรื่อง ถามว่า 'พระไทยเทวาธิราชมีจริงหรือ'

                บันทึกเรื่องราวความจริงที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อช่วง พ.ศ.๒๔๘๒ เป็นต้นมา เป็นความลับที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน ก็พรั่งพรูออกมาจากกระดาษที่บรรจุเรื่องราวมากมาย กระดาษนั้นเก่ามากจนกลายเป็นสีน้ำตาลด้วยกาลเวลา

                ............ในช่วงเวลาหนึ่งที่ชาติไทยมีศึกสงคราม คุณพ่อในฐานะนายทหารไทยที่ทำงานในตำแหน่งปฏิบัติการ มีส่วนร่วมในการปฏิบัติหน้าที่สำคัญหลายด้าน โดยได้รับมอบหมายภารกิจลับซึ่งมีความเสี่ยงสูง

                ภารกิจที่ถ้าพลาด คือ ตาย

                เมื่อต้องเอาชีวิตเข้าแลกย่อมอยู่ในเงื้อมมือทหารญี่ปุ่นเพื่อปฏิบัติการลับ ชี้เป้าเส้นทางยุทธศาสตร์ทางรถไฟสายมรณะ โดยท่านต้อง

                ....ข้ามชายแดนไทยไป 'พะม่า' กับทหารญี่ปุ่น อ้างว่าไปดูงานการรถไฟทหารของญี่ปุ่นที่มะละแหม่ง โดยมีคำสั่งพิเศษว่า

                ให้ไปสืบว่า ย่านรถไฟของกองทัพญี่ปุ่นอยู่ที่ไหน เพื่อจะได้รายงานพิกัดให้ฝ่ายสัมพันธมิตรทราบ เพื่อทำการทิ้งระเบิดทางเครื่องบิน ทำลายเส้นทางส่งกำลังทางรถไฟสายไทย-พะม่า...

                วันนั้นท่านเลือกได้ ถ้าเลือกจะทำเพื่อรักษาตัวเองรอด ก็เพียงแต่อ้างเหตุขัดข้องป่วยเจ็บ ไม่สามารถเดินทางไปได้ แต่คุณพ่อเลือกที่จะรักชาติมากกว่าชีวิตตัวเอง

                ยอมพาตัวเองไปสู่สถานการณ์ที่ความเป็นกับความตายห่างกันเพียงชั่ววูบของความคิดของทหารญี่ปุ่นเท่านั้น ที่หากเกิดระแวงสงสัยขึ้นมา เพียงหยิบปืนขึ้นเล็งและเหนี่ยวไกเท่านั้น ชีวิตท่านคงต้องจบลง

                ในยามสงคราม ไม่มีอะไรคุ้มครองท่านได้ แม้แต่อำนาจอธิปไตยของไทยก็ยังถูกรุกราน ท่านไปตัวเปล่า ไม่มีกองกำลังสนับสนุนใดๆ และหากภารกิจไม่สำเร็จ กองทัพไทยย่อมไม่รับรู้และไม่รับผิดชอบใดๆ            

                นี่ใช่ไหมคือ 'การกระทำของคนรักชาติ'

                บันทึกเหตุการณ์จริง อีกปฏิบัติการหนึ่ง ที่ถ้าพลาด คือ ตาย

                เมื่อต้องพานายพลจัตวาทหารอังกฤษท่านหนึ่งหนีออกจากประเทศไทยเพื่อหลบหนีจากเงื้อมมือของทหารญี่ปุ่น ให้รอดจากการถูกจับไปเป็นเชลยศึก

                '....ทุกคนกระชับปืนกลมือแน่น ไม่ทราบชะตากรรมข้างหน้าจะเป็นอย่างไร...บ้างก็พูดว่า เราควรกลับไปบอกผู้บังคับบัญชากันดีกว่า เพราะดูมันเสี่ยงมากเกินไป หากทหารญี่ปุ่นจับนายนพลจัตวา (อังกฤษ) พร้อมด้วยเอกสารสำคัญ มีขบวนการเสรีไทยติดต่อกับกองทัพพันธมิตรได้ การรบระหว่างทหารไทยและทหารญี่ปุ่นต้องเกิดทันที...'

                ................................

                การปฏิบัติภารกิจของทหารคนหนึ่งและเพื่อนทหารไทย ได้สร้างเครดิตให้กับขบวนการเสรีไทย และต่อมารัฐบาลไทยได้ใช้เป็นข้อต่อรองให้ไทยไม่ตกเป็นฝ่ายผู้แพ้สงคราม ส่วนตัวคุณพ่อและเพื่อนนายทหารหลายๆ คน ที่ร่วมขบวนการ ทุกคนยอมสละได้แม้ชีวิต

                ตลอดเวลาที่ผ่านมาจวบจนวันสุดท้ายของชีวิตท่าน ได้พิสูจน์จนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า สิ่งที่ท่านได้ทำมานั้น ท่านไม่เคยเรียกร้องหาคำสรรเสริญใดๆ

                จากบันทึกความทรงจำอีกฉบับของคุณพ่อ 'ทำไมเราต้องแย่งกันรักชาติ' ที่ท่านบันทึกไว้ เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๐

                คุณพ่อในฐานะรองเสนาธิการกองทัพภาคที่ ๒ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๐ และขึ้นเป็นเสนาธิการกองทัพภาคที่ ๒ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ จนครบเกษียณ

                อายุราชการใน พ.ศ.๒๕๑๘ เวลากว่า ๘ ปีที่ท่านปฏิบัติราชการอยู่ในพื้นที่สีแดงต่อสู้กับอุดมการณ์ภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ คุณพ่ออยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง หลายต่อหลายครั้ง ที่คนไทยต้องฆ่ากันเอง จนถึง พ.ศ.๒๕๑๖ และ พ.ศ.๒๕๑๙

                จนท่านต้องตั้งคำถามว่า 'ทำไมเราต้องแย่งกันรักชาติ' รักจนต้องประหัตประหารกันเอง และท่านต้องถามอีกครั้งว่า

                '...การหลั่งเลือดเพื่อการแตกแยกนั้น เราจะทำไปทำไม' "

                ครับ....เป็นบางส่วน-บางตอน "เป็นตัวอย่างนำเรื่อง" ที่คัดจากคำนำ และอีกท่อน ที่ผมจะคัดมาปิดท้าย ดังนี้

                บันทึกของคุณพ่อไม่ใช่บันทึกของนักวิชาการที่ทำการค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลต่างๆ แล้วนำมาเรียบเรียงเขียน ไม่ใช่บันทึกของนักประวัติศาสตร์ที่เสาะแสวงหาข้อมูล ไม่ใช่บันทึกของนักข่าวที่รายงานเหตุการณ์

                แต่บันทึกของคุณพ่อเป็น "บันทึกความจริง" รูปภาพทั้งหมดและเรื่องราวทั้งหมดถูกบันทึกจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ จากนายทหารผู้ปฏิบัติการจริงในพื้นที่

                เอาเท่านี้เป็นตัวอย่างนะครับ.......

                หนังสือนี้ เป็นส่วนประวัติศาสตร์ที่เติมเต็ม เป็นคำตอบวาทกรรมคนชังชาติเวลานี้ ที่ว่า "มีทหารไว้ทำไม?"

                ตามร้านหนังสือน่าจะมี ถ้าหาไม่ได้ ไปที่ริเวอร์ บุคส์ "วังพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์" ที่ท่าเตียน นั่นแหละ

                ผมก็ตั้งใจจะไปอยู่เหมือนกัน "เกิดวังปารุสก์" เล่ม ๒ ซื้อจากแผงสนามหลวง ตั้งแต่ปี ๒๕๐๖ ไม่รู้หายไปไหน จะไปหามาแซมให้ครบ

                พรุ่งนี้ คุยกันใหม่เน้อ.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"