ศาลจังหวัดนครพนมพิพากษาจำคุก 51 เดือน "เจ๊สุ" เจ้าแม่เงินกู้ชื่อดัง ปลอยกู้คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด ลูกน้องคนสนิทถูกจำคุก 60 เดือน
    เมื่อวันที่ 12 มีนาคมนี้ ศาลจังหวัดนครพนมเปิดบัลลังก์พิจารณาคดีอาญาดำที่ 2631/2560 อาญาแดงที่ 861/2562 กรณีพนักงานอัยการจังหวัดนครพนม เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท อภิภาคิณณ์ จำกัด จำเลยที่ 1, “เจ๊สุ” หรือนางสาวสุนภา หรือสุพิชญ์ฌา เรืองสุวรรณ หรืออภิชัจฐ์โภคิน อายุ 58 ปี เจ้าของร้านจำหน่ายรถจักรยานยนต์รายใหญ่ เขตเทศบาลเมืองนครพนม จำเลยที่ 2, นายสมบัติ พรมไทย จำเลยที่ 3  และนางสาวนรกมล หรือนวลมณี เสนศรี จำเลยที่ 3 ในข้อหา ให้กู้ยืมเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตรากฎหมายกำหนด และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยมีลูกหนี้เจ๊สุจำนวน 42 คน เป็นโจทก์ร่วม มีนายสมหมาย วงมะแสน เป็นทนายฝ่ายลูกหนี้ 
    โดยศาลชั้นต้นใช้เวลาในการอ่านคำพิจารณานานกว่า 2 ชั่วโมง สรุปว่า น.ส.สุนภา หรือเจ๊สุ รับสารภาพในส่วนที่ปล่อยเงินกู้เกินกว่ากฎหมายกำหนด แต่ปฏิเสธในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และจากการสืบพยานในชั้นศาล พบว่าผู้เสียหายทั้ง 42 ราย ให้การคล้ายคลึงกัน และขาดหลักฐานยืนยันว่าจำเลยร่วมกันชักชวนให้ไปกู้เงินจากบริษัทดังกล่าว ประกอบกับคดีขาดอายุความเกิน 3 เดือน ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงจึงไม่มีน้ำหนัก พิพากษายกฟ้อง 
    ส่วนข้อหาให้กู้ยืมเงินคิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด ศาลพิพากษาจำคุกเจ๊สุเป็นเวลา 51 เดือน ส่วนนายสมบัติ จำเลยที่ 3 ผู้เสียหายให้การตรงกันว่าเป็นผู้ไปตรวจที่ดินและประเมินราคาว่าหลักทรัพย์พอเพียงกับเงินที่ขอกู้หรือไม่ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่านายสมบัติมีอำนาจตัดสินใจเองได้ และให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พิพากษาจำคุก 60 เดือน สำหรับนางสางนรกมล หรือนวลมณี ผู้เสียหายทุกคนล้วนให้การและเบิกความว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการปล่อยเงินกู้เกินอัตรากฎหมายกำหนด เป็นเพียงคนส่งเอกสารทวงหนี้เท่านั้น ศาลพิจารณายกฟ้อง และให้ปรับจำเลยที่ 1 บริษัท อภิภาคิณณ์ เป็นเงิน 17,500 บาท  
    หลังสิ้นคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำศาลจังหวัดนครพนมได้ควบคุมตัวเจ๊สุ เจ้าแม่เงินกู้ชื่อดัง และนายสมบัติ ลูกน้อง เข้าห้องขังใต้ถุนศาล เพื่อรอการขอประกันตัวต่อไป
    คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 พ.ค.2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครพนม นำโดย พ.ต.อ.อุกกฤษณ์ ทรงชัยสงวน ผกก. (ในขณะนั้น) จับกุมตัว “เจ๊สุ” เนื่องจากมีชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนเข้าแจ้งความร้องทุกข์ โดยกล่าวหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ให้กู้ยืมเงินแล้วเรียกดอกเบี้ยในอัตราเกินกว่ากฎหมายกำหนด และปลอมแปลงเอกสาร ขณะที่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ยืนยันว่าดำเนินการปล่อยเงินกู้ตามกฎหมายกำหนด ไม่ได้เอารัดเอาเปรียบลูกหนี้แต่อย่างใด.