นักประชาธิปไตยรุ่นใหม่ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ประชาชนต้องมีสิทธิ์เลือก


เพิ่มเพื่อน    

        นับถอยหลังเหลือเวลาไม่ถึง 10 วัน วันเลือกตั้ง 24 มี.ค.  ที่คราวนี้มีผู้มีสิทธิ์ตื่นตัวไปใช้สิทธิ์มากที่สุดครั้งหนึ่ง หลังจากห่างหายการเลือกตั้งมานาน คราวนี้มีหลายพรรคการเมือง เสนอตัวรับใช้พี่น้องประชาชนจำนวนมาก ผู้นำพรรคบางคนเป็นหน้าใหม่ บางคนเป็นหน้าเก่า เช่นเดียวกับนโยบายที่มีหลากหลาย และดูเหมือนครั้งนี้ไม่เพียงคนรุ่นใหม่สนใจ ตื่นตัวการเมืองมากขึ้น พรรคการเมืองต่างๆ ยังเต็มไปด้วยผู้สมัครหน้าใหม่ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง พร้อมเข้ามารับใช้ประชาชนในฐานะผู้แทนราษฎร

        อีกดาวรุ่งหน้าใหม่ที่หวังก้าวเป็นนักการเมืองหน้าใหม่สังกัดพรรค “เสรีรวมไทย” ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เป็นหัวหน้าพรรค “สู” นายจิรพัฒน์ สัจจยากร อายุ 27 ผู้สมัคร ส.ส.เขต 29 ภาษีเจริญ-ตลิ่งชัน (ยกเว้นแขวงตลิ่งชัน-ฉิมพลี) หนุ่มหล่อทายาทนักธุรกิจและเจ้าของโรงเรียนนานาชาติ ดีกรีนักเรียนนอก ป.ตรีด้านการบริหารธุรกิจ จากออสเตรเลีย ป.โท ด้านการบริหารความเสี่ยงและวิกฤติจากประเทศอังกฤษ ที่กำลังลงหาเสียงในพื้นที่ทั้งเช้า กลางวัน เย็น

     

      เหตุผลที่ถอดเสื้อสูทจากนักธุรกิจไฟแรงมาลงเล่นการเมือง

        ที่อยากเข้ามาเล่นการเมือง เพราะส่วนตัวแล้วชอบทำงานเพื่อส่วนรวม และด้วยที่ตัวเองมีโอกาศได้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท จึงอยากที่จะนำความรู้ที่มีมาพัฒนาเพื่อคนส่วนรวม และเมื่อได้ลงหาเสียงในเขต 29 พบว่ามีปัญหาต่างๆ ที่ความรู้ความสามารถเราที่ไปเรียนมาสามารถนำไปแก้ปัญหาได้ โดยเฉพาะปัญหาปากท้องของประชาชน ความยากจนและปัญหาต่างๆ ที่พบนั้น พบว่าเชื่อมต่อกันไปหมด ทั้งปัญหาการพนัน ปัญหายาเสพติด ซึ่งปัญหาเหล่านี้ที่ลงไปสัมผัสด้วยตัวเอง ถ้ามีโอกาสผมสามารถแก้ปัญหาตรงนี้ให้กับประชาชนเขต 29 ได้แน่นอน

 

      เหตุที่เลือกมาอยู่กับพรรคเสรีรวมไทยของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์

        หลังจากเรียนจบมาได้เข้ามาช่วย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตั้งแต่ลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร และมีโอกาศได้ทำงานที่มูลนิธิเราจะเป็นคนดี ช่วยเหลือเด็กเยาวชนของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เรียนรู้การทำงานเพื่อคนอื่นของมูลนิธิและจากตัวหัวหน้าพรรคเอง กระทั่งผู้ใหญ่เห็นความสามารถให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขต 29 มุมมองของผมเองต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มองว่าท่านเป็นคนจริง คนตรง และสิ่งหนึ่งที่เห็นมาตลอดคือท่านทำอะไรทำจริง อาชีพตำรวจก็ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่จนได้ฉายา “วีรบุรุษนาแก” และอยู่ในตำแหน่งสูงสุดขององค์กร คือ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เมื่อลงมาเล่นการเมืองก็มั่นใจว่าจะไปถึงจุดที่ท่านฝันไว้

 

      ในฐานะคนรุ่นใหม่มองการเมืองที่ผ่านมาเป็นอย่างไร

        การเมืองที่ผ่านมามีทั้งข้อดีและข้อด้อย ส่วนข้อด้อยเราต้องผ่านไปให้ได้ แต่สิ่งสำคัญคือ “ประชาธิปไตย” 5 ปีที่ผ่านมาเราไม่ได้ปกครองแบบประชาธิปไตย และการปกครองที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยพิสูจน์ให้เห็นแล้วตั้งแต่ระดับชุมชนถึงระดับประเทศได้รับผลกระทบพอสมควร ถ้าเราจะก้าวข้ามปัญหาเหล่านี้ไปให้ได้ “ประชาชนต้องมีสิทธิ์เลือก” ไม่ว่าเลือกพรรคไหน ผลที่ออกมาไม่ว่าจะแพ้หรือจะชนะการเลือกตั้งก็ต้องยอมรับ แล้วทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดี

        ที่ผ่านมาหลายคนมองการเมืองคือผลประโยชน์ แน่นอนว่ากลุ่มไหนได้ประโยชน์ อีกกลุ่มหนึ่งก็ต้องออกมาต่อต้านเป็นวงจรการเมืองปกติของไทย ถ้าจะทำอย่างไรให้เราหลุดพ้นจากวงจรการเมืองแบบเดิม การเลือกตั้งครั้งนี้ขอให้ประชาชนเลือกพรรคใหม่และเป็นพรรคที่เป็นประชาธิปไตย “เสรีรวมไทย” จะตอบโจทย์ในครั้งนี้ เพราะพรรคเสรีรวมไทยไม่ใช่นักการเมืองมืออาชีพ ทำงานแบบนักการเมืองแบบเดิมไม่เป็น แต่สิ่งที่เราเป็น ทีมงานในพรรคมีความรู้เฉพาะด้าน ตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติและรักประชาธิปไตยจริงๆ และจะไม่กลับไปเป็นแบบเดิมแน่นอน

 

      แต่ละพรรคการเมืองพยายามผลักดันนักการเมืองหน้าใหม่เข้าสู่สนามเลือกตั้ง คิดว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้จะสามารถนำพาประเทศให้พัฒนากว่านักการเมืองรุ่นเก่าหรือไม่

        คนรุ่นใหม่จะเข้ามาพร้อมความคิดใหม่ๆ มีความกระตือรือร้นที่จะมาทำงานเพื่อประเทศชาติ ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้คนรุ่นใหม่สามารถเข้าสู่สภาได้ จะมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน แต่แนวความคิดใหม่ยังอาจจะมีกรอบครอบไว้คือกรอบของพรรคการเมือง ถ้าคนรุ่นใหม่อยู่ในพรรคเก่า ไม่มากก็น้อยก็กลับเข้าสู่โหมดเดิมๆ คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาพัฒนาประเทศก็ต้องมาจากพรรคใหม่ด้วยถึงจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ

 

      โดยส่วนตัวแล้วเรียนจบปริญญาโทด้านการวิเคราะห์ความเสี่ยง จะสามารถนำต่อยอดกับการเมืองได้อย่างไร

        หลังจากเรียนจบมาได้ทำงานวิเคราะห์ให้กับธนาคารแห่งหนึ่ง การทำงานหรือธุรกิจทุกอย่างมีความเสี่ยง และทุกอย่างมีเหตุและผล ปัญหาหลักๆ ที่เห็นในชุมชนและสังคมไทย คนเราจะชอบโทษดวงชะตา ถ้าวันไหนประสบสิ่งที่ไม่ดีมักจะบอกว่าฟาดเคราะห์ เดียวมันจะผ่านไป ยอมรับกับอะไรที่ไม่น่าจะยอมรับ อย่างเช่นปัญหาเด็กตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร เมื่อลูกท้องพ่อกับแม่ยังบอกว่า “ฟาดเคราะห์ชาติที่แล้วคงไม่ทำอะไรกับเขาไว้ ชาตินี้ขอให้หายกัน” แต่ถ้ามองในความเสี่ยงทุกอย่างมีเหตุและผล ถ้าวันนี้เด็กหญิงคนนี้ไม่กระทำพฤติกรรมที่ไม่อยู่ในสายตาผู้ปกครองเด็กคนนี้จะท้องไหม ความเสี่ยงจะบอกว่าถ้าเด็กท้องจะมีผลต่อครอบครัว ปัญหาอะไรหลายๆ อย่างจะตามมา เราต้องอยู่หน้าปัญหาถึงจะสามารถแก้ไขได้ถูกต้อง เช่นเดียวกันกับการเมืองทุกอย่างมีเหตุและผล เราสามารถขจัดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้.

 

นายจิรพัฒน์ สัจจยากร (สู) อายุ 27 ปี ผู้สมัคร ส.ส.เขต 29 ภาษีเจริญ-ตลิ่งชัน (ยกเว้นแขวงตลิ่งชัน-ฉิมพลี) พรรคเสรีรวมไทย

 

ประวัติการศึกษา

- ปริญญาโท ด้านการบริหารความเสี่ยงและวิกฤติ จาก University of Portsmouth ประเทศอังกฤษ

- ปริญญาตรี ด้านการบริหารธุรกิจ จาก Queensland University of Technology ประเทศออสเตรเลีย

 

ประวัติการทำงาน

- อดีต นักวิเคราะห์ความเสี่ยงที่ธนาคารต่างชาติ

- คณะทำงาน มูลนิธิเราจะเป็นคนดี

- คณะทำงานแก้ไขปัญหาความยากจน พรรคเสรีรวมไทย


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"