
โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งมาถึงแล้ว นับถอยหลังให้ถึงวันอาทิตย์ที่ 24 มี.ค. หลายพรรคการเมืองแข่งกันนำเสนอนโยบายกันอย่างคึกคัก ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นั้นก็เช่นกัน ซึ่งวันนี้คิดกระบวนการครบวงจรขจัดความเหลื่อมล้ำอย่างเป็นรูปธรรม
“สุวิทย์ เมษินทรีย์” รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า พรรคมี 2 โจทย์ใหญ่ คือ ก้าวข้ามความขัดแย้ง นำพาประเทศสู่ความสงบ ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้นโยบายต่างๆ มีความต่อเนื่อง นอกจากนั้น ประเด็นสำคัญของประเทศไทยยังมีสิ่งที่เรื้อรังมานาน คือ ความเหลื่อมล้ำ ฉะนั้น โจทย์คือทำอย่างไรจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ นำสู่ความเท่าเทียม ดังนั้นชุดนโยบายของพลังประชารัฐส่วนใหญ่จึงเน้นลดความเหลื่อมล้ำ ฉะนั้น เรื่องสวัสดิการประชารัฐ บัตรสวัสดิการประชารัฐ พักหนี้กองทุนหมู่บ้าน 3 ปี สปก. 4.0 บ้านล้านหลัง ถือเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐาน
อีกนโยบายหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ และพรรคอื่นไม่ได้พูดถึง คือ การพัฒนาคน โดยเรามีนโยบาย มารดาประชารัฐ เป็นการเริ่มดูแลตั้งแต่แรกเกิด เด็กทุกคนที่เกิดมาต้องมีคุณภาพ เพราะไม่เช่นนั้นจะเป็นปฐมบทของการเหลื่อมล้ำ
อย่างไรก็ตาม หลายคนมองว่ามารดาประชารัฐเป็นประชานิยม ซึ่งความจริงไม่ใช่ ลองมองย้อนกลับไปเมื่อทศวรรษที่ผ่านมา เราลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพัฒนาประเทศ นั่นคือด้านกายภาพ แต่ศตวรรษที่ 21 นี้คือ การลงทุนในคน นี่คือที่มาของมารดาประชารัฐ เราคิดว่าเด็กที่อยู่ในครรภ์ไม่ใช่สมบัติของมารดาหรือครอบครัวเขาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสมบัติของชาติด้วย ดังนั้นเราจึงอยากลงทุนกับเด็กเหล่านั้น จากผลวิจัยของ
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า การลงทุนมนุษย์ตั้งแต่ในครรภ์จนถึง 6 ขวบ เป็นการลงทุนที่สำคัญที่สุด เพราะลงทุนทุก 1 บาท ได้ผลตอบแทนกลับสู่สังคมเกิน 7 บาท
มารดาประชารัฐลงทุนโดยรวมต่อเด็ก 1 คน 181,000 บาท ซึ่งมีผลตอบแทนเกิน 2 ล้านบาทแน่นอน โดยตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ให้มารดา 3,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 9 เดือน หลังจากคลอดเอาไปอีก 10,000 บาท ในเวลาเดียวกันระหว่างที่เด็กอายุ 0-6 ปี ให้อีกเดือนละ 2,000 บาท
บางคนตั้งคำถามว่า นโยบายดังกล่าวคุ้มหรือไม่ ตอบเลยว่าคุ้มอยู่แล้วในเชิงเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันยังไม่มีกระทรวงใดดูแลเป็นพิเศษ แต่หากทำแบบนโยบายของเราจะทำให้เด็กเรียนรู้เร็ว เพราะได้รับการดูแลตั้งแต่ต้นน้ำ ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ปัจจุบันดูแลเรื่องนี้แบบเบี้ยหัวแตกอยู่ราว 3-4 หมื่นล้านบาท ดังนั้นลงทุนเพียง 6 หมื่นกว่าล้านบาท ถือว่าเพียงพอแล้ว
“ถ้าเด็กมีจุดเริ่มต้นเท่ากัน ความเหลื่อมล้ำที่เหลือจะน้อยลงเรื่อยๆ แต่หากเริ่มต้นยังเหลื่อมล้ำก็จะเป็นวงจรอุบาทว์ พรรคพลังประชารัฐเชื่อว่าความเหลื่อมล้ำสืบทอดรุ่นสู่รุ่น เมื่อพ่อแม่ไม่มีโอกาส เด็กก็จะไม่มีโอกาส ดังนั้นเราจึงต้องเบรกวงจรนี้ก่อน โดยให้เด็กได้มีโอกาส ส่วนคนที่เหลือจะเติมเต็มด้วยครอบครัวประชารัฐ โดยพ่อแม่มีเวลาช่วยคลอด และต้องการยกระดับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศด้วย” รองหัวหน้าพรรคกล่าว
“สุวิทย์” กล่าวอีกว่า นอกจากนี้พลังประชารัฐยังสนับสนุนในด้านการศึกษาให้เท่าทันและทั่วถึง เพื่อสร้างเยาวชนไทย 4.0 เด็กประถมศึกษาต้องเริ่มเรียนเรื่อง A.I และต้องมีจิตสาธารณะ มีน้ำใจนักกีฬา ทั้งนี้ สมัยที่ตนเองเป็นรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรามีบอร์ดอัจฉริยะให้เด็กเล่นและหัดเขียนโปรแกรมเองในการใช้ควบคุมแสง ควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น เป็นต้น ซึ่งต้นทุนบอร์ดอยู่ที่ 300-400 บาท ทางพรรคจะแจก 1 ล้านบอร์ด ให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองสามารถเขียนโปรแกรมเองได้
นอกจากนี้ เราจะจัดให้มีโรงประลองวิศวกรรม มีทั้ง 3D ปริ๊นเตอร์และเลเซอร์อยู่ในโรงเรียน หากเด็กต้องการทำหุ่นยนต์ก็สามารถทำได้ตามความฝัน ทั้งนี้ โรงประลองต้นทุนต่ำมาก ประมาณ 5 แสนถึง 1 ล้านบาทต่อโรง ถ้าโรงเรียนมี 10,000 โรง ก็ใช้งบประมาณ 10,000 ล้านบาทเอง
“สุวิทย์” กล่าวต่อว่า ในส่วนของอาชีวศึกษา อนาคตของเด็กต้องกำหนดเองได้ สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ สร้างโอกาส โดยเริ่มจากอาชีวะประชารัฐ มีงานทำตั้งแต่เรียนและตั้งกองทุนยุวสตาร์ทอัพในสถานศึกษาอาชีวะและมหาวิทยาลัย นั่นหมายถึงว่าหากมีไอเดียดีจะมีรายได้ตั้งแต่ตอนนั้น อย่างไรก็ตาม อาชีพในอนาคตจะค่อนข้างเปลี่ยนแปลง เราจึงจะจัดตั้งสถาบันแนะแนวทักษะในการประกอบอาชีพด้วย รวมทั้งจะสร้างนักรบเศรษฐกิจพันธุ์ใหม่ สร้างสตาร์ทอัพ 10,000 คน สร้างเมกเกอร์นักประดิษฐ์ 100,000 ราย สมาร์ทฟาร์มเมอร์ 1 ล้านราย และสร้างสมาร์ทเอสเอ็มอี 5 ล้านราย
อย่างไรก็ตาม พลังประชารัฐยังมีนโยบายที่ครอบคลุมไปถึงผู้สูงอายุ สูงวัยอย่างแฮปปี้ สูงวัยสุขสรรค์ เขาระบุว่า เราจะมีโรงเรียนสูงวัยเพื่อให้ทำกิจกรรมร่วมกัน จะได้ไม่เป็นโรคซึมเศร้า และทำจิตอาสา เพราะกลุ่มนี้จะมีประสบการณ์สูง และมีบ้านสูงวัย 1 ล้านหลังทั่วประเทศ อีกทั้งยังจะมีโรงพยาบาลเฉพาะสำหรับผู้สูงวัย นอกจากนี้ จากผลวิจัยพบว่า สตาร์ทอัพที่มีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ การเป็นสตาร์ทอัพตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป ดังนั้นคนสูงวัยจะมีอาชีพใหม่ด้วย
“สุวิทย์” ทิ้งท้ายว่า ทั้งหมดที่กล่าวมาคือ "ประชารัฐสร้างคน คนสร้างชาติ" ไม่ใช่แค่นโยบายด้านการศึกษา แต่นี่คือการบูรณาการสุขภาพ การศึกษา การมีงานทำเข้าด้วยกัน รวมวงจรตั้งแต่เกิดยันตาย ถ้าทั้งหมดทำได้ความเหลื่อมล้ำจะลดลง ทั้งนี้ มารดาประชารัฐเป็นการสร้างสังคมที่เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างสังคมที่มีโอกาส และเป็นต้นปฐมบทให้สังคมมีความสามารถ.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |