จำคุก2โจ๋คนละ7ปีรุมกระทืบ-เผาลูกพ.ต.ท.


เพิ่มเพื่อน    


    จำคุก 2 โจ๋โหดคนละ 7 ปี-ชดใช้ 6 ล้าน คดีรุมกระทืบ ปาขวดน้ำมันใส่ลูกชาย พ.ต.ท. เจ็บสาหัส ต้องตัดขาทิ้ง เหตุเกิดเมื่อปลายปี 60
    เมื่อวันที่ 26 มีนาคมนี้ ที่ห้องพิจารณา 707 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีพยายามฆ่าผู้อื่น ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายธนายุทธ หรือซีน ขันทอง อายุ 20 ปี ชาว จ.นนทบุรี, นายธนภัค หรือเพิร์ธ สุพรรณเภสัช อายุ 21 ปี ชาวกรุงเทพฯ, นายปิยะชัย หรือเป้ สิริสมานศักดิ์ อายุ 26 ปี, นายภูมิศักดิ์ หรือมิก ศิริราช อายุ 26 ปี และนายสุขสันต์ หรือยีนส์ นกศิริ อายุ 24 ปี เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ
    อัยการโจทก์ฟ้องระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 21 พ.ย.2560 เวลากลางคืน  จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันขี่รถจักรยานยนต์พุ่งชนรถจักรยานยนต์ของนายกุลธวัช วิสิทธิ์ อายุ 28 ปี ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นบุตรชายของนายตำรวจยศ พ.ต.ท.นายหนึ่ง ล้มลงกับพื้น และได้ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายกระทืบ เตะ ต่อยผู้เสียหายเข้าที่บริเวณศีรษะและร่างกายหลายครั้ง และร่วมกันใช้น้ำมันที่จำเลยทั้งห้าได้ตระเตรียมใส่ขวดแก้วมา ปาใส่ผู้เสียหายจนเกิดเปลวไฟลุกไหม้เผาร่างกายของผู้เสียหาย อันเป็นการทรมานและโดยทำทารุณโหดร้าย ทำให้ผู้เสียหายมีเลือดออกชั้นเยื่อหุ้มสมอง และมีบาดแผลไฟไหม้ที่ขาทั้งสองข้าง จำเลยทั้งห้าได้ลงมือฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองและทรมาน แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เนื่องจากแพทย์ได้ทำการรักษาผู้เสียหายได้ทันท่วงที ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยทั้งห้า เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289 พวกจำเลยให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี
    โดยในวันนี้ จำเลยทั้งห้าซึ่งได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาล พร้อมทนายความ 
    ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว ทางนำสืบรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 21 พ.ย.2560 นายกุลธวัช ผู้เสียหาย ได้ไปดื่มสุราที่ร้านสามล้อบาร์ แอนด์ เรสทัวรองท์ ซอยชินเขต 2/26 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. ด้านหลัง ม.ธุรกิจบัณฑิต กระทั่งเวลา 23.30 น. มีกลุ่มวัยรุ่นมาเที่ยวที่ร้าน โดยนั่งในห้องแอร์แล้วทะเลาะวิวาทกับนายสุขสันต์ จำเลยที่ 5 ซึ่งนั่งดื่มอยู่ภายในร้าน จากนั้นนายกุลธวัช ผู้เสียหาย จึงเข้าไปช่วยเจ้าของร้านอาหารห้ามปรามไม่ให้กลุ่มวัยรุ่นทะเลาะวิวาทกัน ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 มีรอยถูกตบด้วยแก้วที่ใบหน้า ก่อนที่เจ้าของร้านจะบอกให้จำเลยที่ 5 กลับบ้านไป 
    หลังจากนั้นจำเลยที่ 5 ได้ติดต่อให้พวกจำเลยกับพวกอีกหลายคนมาที่ร้าน และพยายามจะเข้าไปในร้าน แต่ถูกห้ามไว้ จึงทำได้เพียงขี่รถจักรยานยนต์วนเวียนอยู่บริเวณหน้าร้าน จนกระทั่งเวลา 01.20 น. ขณะที่นายกุลธวัช ผู้เสียหาย ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากร้าน จำเลยที่ 1 และที่ 5 ได้ขี่รถจักรยานยนต์ติดตามไปและถีบรถผู้เสียหายล้มลง ก่อนที่จะรุมทำร้ายและปาขวดแก้วบรรจุน้ำมันใส่ผู้เสียหายจนเกิดไฟลุกไหม้ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งภายหลังผู้เสียหายถูกตัดขาและมีบาดแผลที่ใบหู  
    ศาลเห็นว่า คดีนี้โจทก์มีพยานหลักฐานแน่นหนา พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และ 5 กระทำผิดจริง ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 7 ปี และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 6,349,830 บาทแก่ผู้เสียหายด้วย ส่วนจำเลยที่ 2-4 ไม่ปรากฏหลักฐานว่าร่วมกระทำผิดด้วย ให้ยกฟ้อง.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"