
“ตั้งแต่เกิดมา พ่อแม่ก็ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ต้องเช่าที่ดินคนอื่นทำกิน ฉันก็ต้องไปทำงานรับจ้างก่อสร้างในกรุงเทพฯ เมื่อปีที่แล้วพอรู้ข่าวว่าทางจังหวัดสระแก้วมีโครงการจะแจกที่ดินทำกินฉันจึงมาลงทะเบียน เมื่อได้ที่ดินแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดียิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่ 1 เสียอีก ส่วนเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ก็รู้สึกดีใจเหมือนกัน เพราะถูกหวยอาจจะมีวันหมดเงิน แต่ได้ที่ดินมันไม่มีวันหมด ถ้าขยันเราก็ทำมาหากินได้ตลอด ทั้งปลูกผัก เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ หรือขุดบ่อเลี้ยงปลา ไม่มีวันอดตายแน่ๆ”
นี่คือเสียงจากเกษตรกรรายหนึ่งที่ได้รับการจัดสรรที่ดิน ส.ป.ก.ในจังหวัดสระแก้ว ตามนโยบายของรัฐบาลในการยึดคืนที่ดิน ส.ป.ก.จากผู้ที่ครอบครองไม่ถูกกฎหมายทั่วประเทศ เนื่องจากไม่ใช่เป็นเกษตรกร แต่ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ พ่อค้า นายทุน นักการเมือง รวมทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ฮุบเอาที่ดินของรัฐมาเป็นของตัวเอง มีตั้งแต่ระดับ 100 ไร่ จนถึงหลายพันไร่ จนคณะรักษาความสงบแห่งชาติต้องใช้มาตรา 44 ยึดที่ดินคืนจากผู้ครอบครองไม่ถูกต้องทั่วประเทศกว่า 400,000 ไร่ แล้วนำมาจัดสรรให้เกษตรกรตัวจริงที่ยากไร้และขาดแคลนที่ดินทำกิน !!
คสช.ยึดที่ดิน ส.ป.ก.จากนายทุนนำมาแจกเกษตรกรที่ยากไร้
คสช.ได้ใช้คำสั่งตามมาตรา 44 ที่ 36/2559 (ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559) เรื่อง ‘มาตรการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย’ เพื่อยึดคืนที่ดิน ส.ป.ก.จากผู้ที่ครอบครองไม่ถูกต้องทั่วประเทศตั้งแต่ช่วงกลางปี 2559 เป็นต้นมา โดยยึดคืนที่ดิน ส.ป.ก. ในพื้นที่ 28 จังหวัด รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 400,000 ไร่ เพื่อนำมาจัดสรรให้แก่ประชาชนที่ขาดแคลนที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย ในลักษณะให้เข้าอยู่อาศัยและทำกิน แต่ไม่ให้กรรมสิทธิ์ ระยะเวลาช่วงแรก 30 ปี ขณะนี้จัดสรรที่ดินให้เกษตรกรแล้วประมาณ 35,000 ไร่ ในหลายจังหวัด เช่น กาญจนบุรี อุทัยธานี นครราชสีมา กาฬสินธุ์ เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี สระแก้ว ฯลฯ
สำหรับกระบวนการจัดสรรที่ดินให้แก่ประชาชนนั้น คณะกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัด (คทช.จังหวัด) จะจัดตั้งคณะอนุกรรมการในระดับพื้นที่ขึ้นมา โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มีคณะอนุกรรมการประกอบด้วยตัวแทนจากหลายหน่วยงาน เช่น ปฏิรูปที่ดินจังหวัด เกษตร ปศุสัตว์ ชลประทาน ฯลฯ นายอำเภอ รวมทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบและคัดกรองเกษตรกรที่มีสิทธิ์จะได้รับการจัดสรรที่ดิน รวมทั้งออกแบบการใช้ประโยชน์ในที่ดิน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ฯลฯ
ส่วนเกษตรกรที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายจะต้องมีคุณสมบัติ เช่น มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท/คน/ปี ไม่มีที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นของตนเอง หรือมีเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอต่อการครองชีพ และประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ฯลฯ โดยให้เกษตรกรที่มีความต้องการที่ดินมาลงชื่อที่สำนักงาน ส.ป.ก.จังหวัด เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติและพิจารณาสิทธิ์
ส่วนที่ดินที่จะจัดสรรให้แก่เกษตรกร คณะกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัดแต่ละจังหวัดจะพิจารณาความเหมาะสมของพื้นที่ แต่ไม่เกินรายละ 6 ไร่ เช่น หากเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์จะจัดสรรให้รายละ 2 ไร่ พื้นที่เพาะปลูกรายละ 5 ไร่ และพื้นที่อยู่อาศัย 1 ไร่ นอกจากนี้ยังจัดสรรที่ดินแปลงรวมเพื่อขุดเป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร แปลงเกษตรกรรมรวม สร้างถนน อาคารเอนกประสงค์ ฯลฯ โดยที่ดินที่จัดสรรให้แก่เกษตรกรจะไม่ให้กรรมสิทธิ์ แต่จะให้เข้าไปทำประโยชน์ในพื้นที่ในลักษณะของการรวมกลุ่มกัน (ช่วงแรก 30 ปี เสียค่าเช่าไร่ละ 100 บาท/ปี) โดยชาวบ้านจะต้องรวมกลุ่มกันจัดตั้งสหกรณ์ขึ้นมา เพื่อร่วมกันบริหารจัดการที่ดิน และส่งเสริมการประกอบอาชีพตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่
นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานต่างๆ ร่วมให้การสนับสนุนการพัฒนาที่ดิน สาธารณูปโภค และส่งเสริมอาชีพ เช่น กรมชลประทาน กรมปศุสัตว์ กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์ กรมพัฒนาที่ดิน ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ฯลฯ ขณะที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช.สนับสนุนการสร้างที่อยู่อาศัยและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนตามโครงการ ‘บ้านมั่นคง’
ชาวบ้านสระแก้ววอนรัฐเร่งสร้างแหล่งน้ำ ไฟฟ้าเข้าพื้นที่
จังหวัดสระแก้ว เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่ คสช.ใช้อำนาจยึดที่ดินคืนจากผู้ครอบครองไม่ถูกต้อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจรายใหญ่และนักการเมืองระดับชาติที่นำที่ดินมาปลูกต้นยูคาลิปตัสเพื่อส่งป้อนโรงงานผลิตกระดาษ มีที่ดิน ส.ป.ก.ที่ยึดคืนมาทั้งหมด 6 แปลง คือ ที่ดิน ส.ป.ก.ตำบลโนนหมากเค็ง อ.วัฒนานคร เนื้อที่ 693 ไร่ จัดสรรให้ชาวบ้าน 60 ครอบครัว ที่ดิน ส.ป.ก.บ้านพร้าว อ.วัฒนานคร เนื้อที่ 326 ไร่ จัดสรรให้ชาวบ้าน 30 ครอบครัว
ที่ดิน ส.ป.ก.ตำบลหนองม่วง อ.โคกสูง เนื้อที่ 655 ไร่เศษ ที่ดิน ส.ป.ก.ตำบลหนองแวง อ.โคกสูง เนื้อที่ 611 ไร่เศษ ที่ดิน ส.ป.ก.ตำบลป่าไร่ อ.อรัญประเทศ เนื้อที่ 578 ไร่ และที่ดิน ส.ป.ก.ตำบลคลองหินปูน อ.วังน้ำเย็น เนื้อที่ 318 ไร่เศษ รวมเนื้อที่ทั้งหมด 3,181 ไร่เศษ นำมาจัดสรรเป็นที่อยู่อาศัยและทำกินให้ประชาชนได้ทั้งหมด 219 ครอบครัวๆ ละ 6 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัย 1 ไร่ และพื้นที่เกษตรกรรม 5 ไร่
ละอองดาว สีลาน้ำเที่ยง คณะทำงานขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดสระแก้ว ในฐานะที่ปรึกษาโครงการบ้านมั่นคงในที่ดิน ส.ป.ก. กล่าวว่า ที่ดิน ส.ป.ก.ในจังหวัดสระแก้วทั้ง 6 แปลง ขณะนี้มีชาวบ้านทยอยเข้าไปปลูกสร้างบ้านแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่แปลงหนองม่วง อ.โคกสูง ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมามอบหนังสือให้ประชาชนเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก.ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2560 หลังจากนั้นชาวบ้านในแปลงต่างๆ จึงทยอยเข้าปลูกสร้างบ้านและทำการเกษตร เช่น ปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง อ้อย หญ้าเนเปียร์ ผักสวนครัว เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ ฯลฯ
“เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ชาวบ้านในแปลงต่างๆ เช่น โนนหมากเค็ง บ้านพร้าว อำเภอวัฒนานคร และคลองหินปูน อำเภอวังน้ำเย็น ก็เริ่มเข้าสร้างบ้านและเข้าทำกินแล้ว ส่วนที่เหลือกำลังทยอยเข้าไป แต่ปัญหาสำคัญก็คือ สาธารณูปโภคที่หน่วยงานต่างๆ จะสนับสนุนชาวบ้านยังไม่พร้อมหรือต้องรองบประมาณ เช่น แหล่งน้ำเพื่อการเกษตรยังไม่มี ชาวบ้านต้องขุดบ่อเล็กๆ ใช้แต่ก็ยังไม่พอเพียง โดยเฉพาะช่วงหน้าแล้งยิ่งขาดแคลนน้ำ ทำให้พืชต่างๆ ที่ปลูกเอาไว้กำลังรอวันตาย เช่น มันสำปะหลัง ข้าวโพด หญ้าเนเปียร์ นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องไฟฟ้าและถนนที่ยังเข้ามาไม่ถึง เพราะต้องทำตามระเบียบและขั้นตอนของทางราชการ จึงทำให้เกิดความล่าช้า ทำให้ชาวบ้านได้รับความลำบาก จึงอยากขอให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเร่งรัดทำเรื่องแหล่งน้ำและไฟฟ้าให้ชาวบ้านด้วย” ละอองดาวพูดถึงปัญหาของชาวบ้าน
พอช.หนุนสร้างบ้านมั่นคงสร้างชีวิตใหม่ในที่ดิน ส.ป.ก.
ส่วนการสร้างบ้านในที่ดิน ส.ป.ก.นั้น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ จะสนับสนุนงบประมาณให้ชาวบ้านครัวเรือนละ 62,000 บาท โดยแยกเป็นงบสร้างบ้านหลังละ 40,000 บาท งบในการส่งเสริมอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต และส่งเสริมการรวมกลุ่มสร้างความเข้มแข็งของชุมชน 22,000 บาท
ส่วนแบบบ้านจะเป็นบ้านชั้นเดียว โครงสร้างเป็นเหล็ก ก่อด้วยอิฐบล็อก มีขนาดตั้งแต่ 4 X 6 - 6 X 9 ตารางเมตร ตามขนาดครอบครัว ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะสร้างขนาด 4X6 ตารางเมตร ตามงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุน แม้ว่างบประมาณที่ พอช.สนับสนุนการสร้างบ้านหลังละ 40,000 บาทจะดูไม่มาก แต่ชาวบ้านก็สามารถใช้วัสดุเก่ามาเสริม เช่น ประตู หน้าต่าง ไม้ หลังคา ฯลฯ รวมทั้งใช้แรงงานจากเพื่อนบ้านและญาติพี่น้องมาช่วยกันก่อสร้าง ทำให้ประหยัดต้นทุนค่าวัสดุและค่าก่อสร้าง ใช้เวลาสร้างบ้านประมาณ 1-2 เดือน หากมีทุนรอนก็สามารถขยายหรือต่อเติมบ้านได้อีก
สมชาติ ภาระสุวรรณ ผอ.พอช. กล่าวว่า ประเทศไทยมีประชาชนที่ขาดแคลนที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยจำนวนหลายล้านครัวเรือน ซึ่งตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี ( พ.ศ.2560-2579) พอช.ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้จัดทำแผนงานรองรับที่อยู่อาศัยของประชาชน 1 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ ขณะนี้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 1 แสนครัวเรือน
ส่วนแผนงานรองรับที่อยู่อาศัยของประชาชนในชนบทมีเป้าหมายทั้งหมด 352,000 ครัวเรือน ซึ่งโครงการบ้านมั่นคงชนบทในที่ดิน ส.ป.ก.ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานนี้ด้วย โดย พอช.สนับสนุนการสร้างบ้านมั่นคงฯ ในที่ดิน ส.ป.ก.ไปแล้วใน 10 จังหวัด เช่น กาญจนบุรี อุทัยธานี นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี สระแก้ว ฯลฯ มีเป้าหมายทั้งหมดประมาณ 2,000 ครอบครัว โดย พอช.จะสนับสนุนงบประมาณรวมครอบครัวละ 62,000 บาท
“โครงการบ้านมั่นคงชนบทในที่ดิน ส.ป.ก.นั้น พอช.จะสนับสนุนงบประมาณในการสร้างบ้าน เพื่อให้ประชาชนที่ขาดแคลนที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินได้มีบ้านใหม่ที่มั่นคง แต่ พอช.ไม่ได้มาสร้างบ้านให้ชาวบ้าน คนที่จะสร้างคือเจ้าของบ้านและชาวชุมชนที่จะมาช่วยกัน นอกจากนี้การสร้างบ้านใหม่ ชาวบ้านจะใช้วิธีการลงแรงช่วยกันสร้างบ้าน ทำให้ลดต้นทุนค่าก่อสร้างและค่าแรงงานได้มาก แต่ที่สำคัญก็คือ การลงแรงช่วยกันจะทำให้คนในชุมชนเกิดความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน เกิดความรัก ความสามัคคี ซึ่งจะเป็นรากฐานทำให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง สามารถพัฒนาและพึ่งพาตัวเองได้ต่อไป” ผอ.พอช.กล่าว
ผอ.พอช.กล่าวด้วยว่า โครงการบ้านมั่นคงในที่ดิน ส.ป.ก. รวมทั้งโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่างๆ ของ พอช. ไม่ใช่เป็นเพียงการสนับสนุนให้ชาวบ้านมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงเท่านั้น แต่ยังใช้การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้านให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิต และยกระดับความรู้ความสามารถของชาวบ้านขึ้นมา เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชนของตนเอง
“นอกจากนี้ พอช.ยังส่งเสริมให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันออมทรัพย์ เพื่อสร้างทุนภายในชุมชน ส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อผลิตอาหาร พืชผักที่ปลอดภัย การแปรรูปผลผลิต ส่งเสริมการตลาด ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านมีอาชีพแลพมีรายได้ รวมทั้งสนับสนุนให้จัดตั้งกองทุนต่างๆ มาช่วยเหลือดูแลกัน เช่น กองทุนสวัสดิการชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านมีชีวิตใหม่ที่มั่นคง ลูกหลานก็จะมีอนาคตที่ดี” ผอ.พอช.กล่าวในตอนท้าย
วิลัย เฉลิมศรี ชาวบ้านโนนหมากเค็ง อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว บอกว่า ชาวบ้านที่ได้รับจัดสรรที่ดินในตำบลโนนหมากเค็งมีทั้งหมด 60 ครอบครัว นอกจากจะได้ที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยครอบครัวละ 6 ไร่แล้ว กรมปศุสัตว์จะแจกแม่วัวเนื้อให้เลี้ยงเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้าน ครอบครัวละ 5 ตัว นอกจากนี้ยังให้เงินกู้ยืมปลอดดอกเบี้ยเพื่อนำไปสร้างคอกวัว จำนวน 58,000 บาท ระยะเวลาชำระคืนภายใน 6 ปี โดยมีเงื่อนไขคือ หากวัวที่เลี้ยงออกลูกมาเป็นตัวเมีย ผู้เลี้ยงจะต้องนำไปให้กรมปศุสัตว์เพื่อนำไปแจกเกษตรกรรายอื่นต่อไป แต่หากเป็นตัวผู้ ลูกวัวจะเป็นของผู้เลี้ยง และเมื่อเลี้ยงลูกวัวได้ประมาณ 2 ปีก็สามารถนำไปขายได้ ราคาประมาณตัวละ 20,000 บาท ส่วนที่ดิน 5 ไร่ ชาวบ้านส่วนใหญ่จะปลูกหญ้าเนเปียร์เพื่อนำมาเลี้ยงวัว
“ฉันดีใจมากที่รัฐบาลช่วยเหลือคนจนที่ไม่มีที่ดินทำกิน เพราะตั้งแต่เกิดมา พ่อแม่ก็ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ต้องเช่าที่ดินคนอื่นทำกิน ฉันก็ต้องไปทำงานรับจ้างก่อสร้างในกรุงเทพฯ เมื่อปีที่แล้วพอรู้ข่าวว่าทางจังหวัดสระแก้วมีโครงการจะแจกที่ดินทำกินฉันจึงมาลงทะเบียน เมื่อได้ที่ดินแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดียิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่ 1 เสียอีก ส่วนเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ก็รู้สึกดีใจเหมือนกัน เพราะถูกหวยอาจจะมีวันหมดเงิน แต่ได้ที่ดินมันไม่มีวันหมด ถ้าขยันเราก็ทำกินได้ตลอด ทั้งปลูกผัก เลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ หรือขุดบ่อเลี้ยงปลา ไม่มีวันอดตายแน่ๆ” เกษตรกรรายนี้บอก
ส่วนเกษตรกรในที่ดิน ส.ป.ก.คลองหินปูน อ.วังน้ำเย็น ที่ได้รับการจัดสรรที่ดินรวม 33 ครอบครัว ขณะนี้ทยอยเข้าปลูกสร้างบ้านแล้วจำนวน 13 หลัง ส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ดีใจยิ่งกว่าถูกหวย” เพราะเมื่อก่อนต้องเช่าที่ดินคนอื่นทำกิน เสียค่าเช่าไร่ละ 1,000 บาทต่อปี หากเจ้าของขายที่ดินก็ต้องไปหาที่ดินใหม่ ไม่มีความแน่นอน บ้างก็ต้องทำงานรับจ้างทั่วไป เมื่อมีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง ถึงจะไม่ได้เป็นกรรมสิทธิ์ แต่ก็สามารถทำกินได้ถึงลูกหลาน เป็นเวลานานอย่างน้อย 30 ปี แม้จะเสียค่าเช่าที่ดินไร่ละ 100 บาทต่อปี แต่ก็ถือว่าคุ้ม เพราะเป็นที่ดินของรัฐ ทำให้มีความมั่นคงในการทำมาหากิน
นอกจากนี้หน่วยงานต่างๆ ก็จะเข้ามาสนับสนุนการทำการเกษตร เช่น เอาพันธุ์ไม้ต่างๆ เอาปลาดุก เอากบมาให้เลี้ยง เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และบางรายก็เริ่มทำการเกษตรในที่ดิน 5 ไร่แล้ว เช่น ปลูกข้าวโพด ปลูกอ้อย บางรายปลูกบวบเหลี่ยม เพราะเป็นพืชระยะสั้น ใช้เวลาปลูก 45-60 วันก็เริ่มเก็บขายได้แล้ว โดยนำไปขายส่งที่ตลาดวังน้ำเย็นในราคากิโลกรัมละ 9-10 บาท ทำให้มีรายได้ในช่วงเก็บเกี่ยวประมาณวันละ 1,000-2,000 บาท
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |