ปั่นโซเชียลสางแค้น เชื่อทักษิณอาฆาตเอาคืน! ปลุกระดมป่วนงานสำคัญ


เพิ่มเพื่อน    

    “ชูชาติ” อธิบายเป็นพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ที่จะทรงเรียกคืนเครื่องราชฯ “เด็กบิ๊กป้อม” ข้องใจทำไมที่ผ่านมาหน่วยงานไม่กราบบังคมทูลฯ “อิศรา” รวบรวมมีอีก 7 รายที่เข้าข่ายเดียวกับ “ทักษิณ” โดยเฉพาะยิ่งลักษณ์ สุวินัยเชื่อ "เหลี่ยม" สางแค้นแน่ เพราะคนอาฆาต เชื่อจะปลุกปั่นผ่านโซเชียลฯ สร้างความวุ่นวายในช่วงพระราชพิธีที่สำคัญ “เพจติ่งแม้ว” เย้ยเรื่องปกติ แต่ทำไมไปลากโยงเกี่ยวกับการเมือง
    เมื่อวันอาทิตย์ ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีราชกิจจานุเบกษา เล่ม 136 ตอนที่ 8 ข เผยแพร่ประกาศ เรื่อง เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์เฟซบุ๊กอธิบายเรื่องดังกล่าวว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 9 บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์และพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการให้พระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ทรงใช้ดุลพินิจที่จะกระทำการดังบัญญัติในมาตรานี้ได้ตามพระราชอัธยาศัยของพระองค์เอง โดยพระราชโองการเมื่อวันที่ 30 มี.ค.2562 เป็นการใช้พระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญที่ประชาชนชาวไทยลงมติยอมรับจำนวนกว่า 16.8 ล้านคน
    ขณะที่นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์เฟซบุ๊กเช่นกันว่า เครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้นมี 2ประเภท คือที่ทรงพระราชทานเองตามพระราชอัธยาศัย กับที่รัฐบาลขอรับพระราชทาน สำหรับข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำ ฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ขอรับพระราชทานให้ ดังนั้นจึงมีหน้าที่ต้องนำความกราบบังคมทูล เพื่อโปรดเกล้าฯ เรียกคืน และน่าแปลกใจว่าหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมาทำไมจึงไม่นำความกราบบังคมทูลเพื่อเรียกคืนตามระเบียบ ใครรับผิดชอบในการดูแลรักษาระเบียบนี้
    ด้านสำนักข่าวอิศราได้เขียนบทความเรื่อง เช็กชื่อ 'นักการเมือง-อดีต ขรก.' 7 รายที่ยังไม่ได้ถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ เหมือน 'ทักษิณ' ระบุว่า การเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของนายทักษิณนั้น ในปี 2558 สำนักข่าวอิศราเคยนำข้อมูลมาเสนอไปแล้ว ว่าตามขั้นตอนทางกฎหมายนายทักษิณจะต้องถูกเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เนื่องจากกระทำความผิดเข้าข่ายระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ.2548 ซึ่งตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (8) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ในข้อที่ 2, 3 ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และเป็นผู้ต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ หรือเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 
ยิ่งลักษณ์เข้าข่ายเดียวกับแม้ว
    สำหรับรายชื่อนักการเมืองที่อยู่ในข่ายที่จะต้องถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ เช่นเดียวกับนายทักษิณนั้น พบว่ามีอีกอย่างน้อย 4 รายด้วยกันคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์, นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ และนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งยึดข้อกำหนดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชฯ โดยระเบียบดังกล่าวกำหนดเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชฯ ไว้ทั้งหมด 8 ข้อด้วยกัน ซึ่งมีข้อหนึ่งที่เข้าเหตุ น.ส.ยิ่งลักษณ์, นายบุญทรง, นายภูมิ และนายมนัส คือข้อที่ 6 ระบุว่า เป็นผู้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ เพราะมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ซึ่งทั้ง 4 รายต่างถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดทั้งถอดถอนและดำเนินคดีอาญา 
    ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีกรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง ป.ป.ช.เห็นว่ามีพฤติการณ์เป็นการส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 และส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 11 (1) อันเป็นเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 270 ซึ่งมีมูลเพียงพอที่จะดำเนินการส่งให้วุฒิสภาดำเนินการถอดถอนต่อไปได้ ต่อมาที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยมีมติเสียงข้างมาก 190 เสียงให้ถอดถอน ซึ่งคะแนนเกินกว่า 3 ใน 5 ของ สนช. ทั้งหมด 220 ราย ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ส่วนในทางอาญา มีมูลความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ จึงส่งรายงานและสำนวนให้อัยการสูงสุด (อสส.) ส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้รับพิจารณาคดีนัดแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 
    ส่วนกรณีนายบุญทรง, นายภูมิ และนายมนัส ในกรณีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยมิชอบ ป.ป.ช. เห็นว่าร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 พร้อมกับส่งรายงานและสำนวนการไต่สวนให้แก่ อสส. และส่งให้วุฒิสภาดำเนินการถอดถอน ต่อมาที่ประชุม สนช.ได้ถอดถอนนายบุญทรง, นายภูมิ และนายมนัส โดยมีมติเสียงข้างมาก 182 เสียง 180 เสียง และ 158 เสียงตามลำดับ ซึ่งคะแนนเกินกว่า 3 ใน 5 ของ สนช. ทำให้ทั้ง 3 ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ส่วนในทางอาญา มีกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.ฮั้ว และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 เช่นกัน จึงส่งรายงาน และสำนวนให้ อสส. ฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปัจจุบันคดีทุจริตระบายข้าวจีทูจีล็อตแรก ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุกนายบุญทรง, นายภูมิ และนายมนัส ว่ามีความผิดตามกฎหมายไปแล้ว ส่วน น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่ระหว่างการหลบหนีคดีในต่างประเทศ 
เครื่องราชฯ ของปูที่ต้องคืน
    สำหรับเครื่องราชฯ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ต้องถูกเรียกคืน ได้แก่ 1.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) 2.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) 3.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) 4.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นเบญจมาภรณ์ช้างเผือก (บ.ช.) 5.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นเบญจมาภรณ์มงกุฎไทย (บ.ม.) และ 6.เหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1
    ส่วนของนายบุญทรงที่ต้องถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ ได้แก่ 1.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) และ 2.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) ของนายภูมิ ได้แก่ 1.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) และ 2.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)
    ทั้งนี้ ยังมีกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาจำคุกอดีตนักการเมืองใหญ่อย่างนายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย ถูกศาลตัดสินจำคุก 10 ปี ฐานร่วมสนับสนุนทุจริตการก่อสร้างโครงการบำบัดน้ำเสียคลองด่าน เมื่อปี 2551 และนายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย ถูกศาลตัดสินจำคุก 12 ปี และ พล.ต.ต.อธิรักษ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. ถูกศาลตัดสินจำคุก 10 ปี ฐานร่วมสนับสนุนทุจริตในโครงการจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิง กทม. เมื่อปี 2556 ด้วย รวมไปถึงกรณีล่าสุดที่ศาลฎีกาฯ พิพากษายึดทรัพย์กว่า 68 ล้านบาทของ น.ส.นฤมล หรือณัฐกมล หรือณฐกมล หรืออินทร์ริตา นนทะโชติ หรือนนทะ วัชรศิริโชติ ข้าราชการฝ่ายการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฐานร่ำรวยผิดปกติ 
    “เมื่อนับรวมรายชื่อทั้งหมดจะอยู่ที่ 7 ราย คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์, นายบุญทรง, นายภูมิ, นายมนัส, นายวัฒนา, นายประชา และ น.ส.นฤมล ที่ยังไม่ได้ถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ แบบเดียวกับนายทักษิณในขณะนี้” สำนักข่าวอิศราระบุ 
    ขณะที่ รศ.สุวินัย ภรณวลัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อการปฏิวัติเงียบกับสัญญาณเตรียมลุกฮือของคนแดนไกล ระบุว่า ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวลึกๆ ทั้งจากสองฝั่ง จับอาการได้ว่าเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงมาก ชนิดพร้อมแตกหักกันได้ทุกเมื่อ ประดุจช้างกำลังจะชนช้าง ระวังหญ้าแพรกจะแหลกลาญไปด้วย  ประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือของศึกช้างชนช้างในขณะนี้ โดยไม่ออกไปเคลื่อนไหวบนท้องถนนเป็นอันขาด ใครมีลูกมีหลานที่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงจะออกไปประท้วงบนท้องถนน ควรตักเตือนให้ได้คิดด้วย
    “ผมอยากเตือนสติทุกคนทุกฝ่ายอีกครั้งว่า ไม่มีอุดมการณ์หรือลัทธิการเมืองไหนที่คู่ควรกับการอุทิศชีวิตเข้าแลก ไม่มีจริงๆ สู้กันด้วยความคิด ด้วยเหตุผลและเคารพความเห็นต่างก็พอแล้ว เพราะนี่คือเส้นทางไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง" รศ.สุวินัยโพสต์
เชื่อปลุกม็อบตอบโต้แน่
    รศ.สุวินัยยังโพสต์อีกว่า อาจารย์ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ รศ.ประจำศูนย์วิจัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งตอนนี้ลี้ภัยไปอยู่ที่ญี่ปุ่น ได้โพสต์บทความเมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่ไม่รับผิดชอบต่อชีวิตของมวลชนฝ่ายตนเลยว่า เราไม่มีทางเอาชนะมันด้วยกระบวนการทางการเมืองที่เป็นอยู่ มีวิธีเดียวที่จะเอาชนะมันได้ นั่นคือการโค่นล้มจากพลังมวลชนบนท้องถนน มีความเสี่ยงอยากถูกยิงกะโหลก แต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะเอาคืนอำมาตย์ได้ ขอเรียกสั้นๆ ว่าเป็นวิธีการต่อสู้แบบบาสติล ในอีกฝั่งหนึ่ง คือปรากฏการณ์ผิดสังเกตที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพนำโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดตบเท้าแถลงจุดยืนของกองทัพต่อบทบาทและหน้าที่ในการปกป้องสถาบันหลักของชาติ พร้อมยกพระบรมราโชวาท ร.9 เปิดโอกาสให้คนดีบริหารบ้านเมือง คสช.กำลังรอสลายตัว หลังกระบวนการเลือกตั้งเดินตามโรดแมปใกล้จบตามกติกา ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ออกสารแสดงความเป็นห่วงสภาพจิตใจของประชาชนที่เฝ้าติดตามข่าวการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล รวมทั้งขอความร่วมมือสื่อมวลชนนำเสนอข่าวในระดับที่เหมาะสม ที่ลดความเครียดของประชาชน เนื่องจากขณะนี้ใกล้เข้าสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่จะเริ่มต้นตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนนี้
    “จะเห็นได้ชัดว่า คนแดนไกลต้องการเอาคืนที่ถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ เมื่อคืนแน่ๆ เพราะคนอย่างเขาเป็นคนอาฆาตพยาบาท เมื่อเขาไม่มีความสุข อย่าหวังว่าบ้านเมืองจะสงบสุขด้วยเป็นอันขาด อาวุธอันทรงพลังที่คนแดนไกลยังมีอยู่ในมือตอนนี้ คือปลุกระดมมวลชนผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ออกมาก่อความไม่สงบบนท้องถนน ก่อนช่วง-ในช่วง-หลังช่วงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั่นเอง” รศ.สุวินัยระบุ
    รศ.สุวินัยโพสต์อีกว่า สัญญาณส่งมาแล้วให้พวกหมากพวกเบี้ยในมือของคนแดนไกลขยับตามคำบัญชาการ ซึ่งขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ไม่มีอุดมการณ์หรือลัทธิการเมืองใดที่คู่ควรกับการอุทิศชีวิตเข้าแลก ไม่มีจริงๆ แค่ประชาชนทุกคนสู้กันด้วยความคิด ด้วยเหตุผล เคารพความเห็นต่างก็พอแล้ว บ้านเมืองเราจะเคลื่อนไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงได้เอง ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เลือกหนทางนี้ จุดจบแบบซีเรียจะเป็นอนาคตใหม่ของประเทศไทยแน่นอน
    ส่วนเฟซบุ๊กชื่อ ณัฐพันธุ์ กรุงเทพ กรุงเทพ ทันใจ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนและติดตามรายงานความเคลื่อนไหวของคนในตระกูลชินวัตรอย่างใกล้ชิด ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า การเรียกคืนเครื่องราชฯ เป็นเรื่องหลักเกณฑ์ปกติของการเรียกคืนเครื่องราชฯ ที่ผ่านมา ข้าราชบริพาร ข้าราชการ ทหาร-ตำรวจ เมื่อถูกตัดสินคดี ก็ถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ ทั้งนั้น จึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ปกติของการเรียกคืนเครื่องราชฯ 
“การเรียกคืนเครื่องราชฯ ดร.ทักษิณครั้งนี้ จึงมีคนพยายามนำเรื่องนี้มาโจมตีเพื่อหวังผลทางการเมือง ใช่หรือไม่ ส่วนคดีความต่างๆ ของ ดร.ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ประชาชนต่างรู้ดีว่า มาจากกระบวนการที่ผิดปกติหรือไม่” เพจตั้งคำถามไว้.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"