เที่ยวถ้ำ ความงามในความมืดที่แม่ฮ่องสอน


เพิ่มเพื่อน    

    ใครจะไปเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ช่วงนี้คงต้องคิดหนักกันน่าดู เพราะทั้งภาคเต็มไปด้วยจุดฮอตสปอต กลายเป็นพื้นที่สีแดง ค่าฝุ่น PM 2.5 หนาแน่นจนน่ากลัว ไม่เหมาะกับการอยู่ในพื้นที่โล่ง แต่ถ้าวางโปรแกรมตระเตรียมไว้แล้วมากมาย  คงยากที่จะถอนตัว ถอยหลัง คงต้องลุยกันต่อไป
    การเดินทางครั้งนี้ไฮไลต์สำหรับฉันคือ การได้ไปชมความงามของถ้ำ ที่แม้ว่าจะแอบกังวลและกลัวอยู่บ้าง แต่ก็เหมือนกับได้เอาชนะใจตัวเองด้วย เครื่องบินมาลงที่จังหวัดเชียงใหม่ก่อน เพื่อจะได้แวะเที่ยวตามเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน

(ออบหลวง วิวธรรมชาติสร้างที่งดงาม)

    ระหว่างทางได้แวะที่อุทยานแห่งชาติออบหลวง กว่าจะเดินทางมาถึงก็หลับไปหลายตื่นเลยล่ะ แสงแดดที่เจิดจ้าช่วงหน้าร้อนต้อนรับแบบจัดเต็ม ที่นี่มีไฮไลต์ของธรรมชาติที่สร้างสรรค์ให้เราได้ชมความงามของผาสูงชัน มีช่องเขาขาดให้น้ำไหลผ่าน เดินลัดเลาะไปตามทางเดินขึ้นไปบนสะพานที่พาดผ่านระหว่างช่องเขาขาดก็จะเห็นวิวมุมสูงของภูเขาที่เรียงซ้อนกัน และสายน้ำเชี่ยวไหลผ่านช่องเขาอย่างชัดเจน ใครมีเวลาอีกหน่อยก็สามารถเดินศึกษาเส้นทางธรรมชาติและดินแดนมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ของที่นี่ได้ เพราะตอนนี้ภาพเขียนช้างสีขาวและสีแดงก็ดูจะเลือนรางลงเรื่อยๆ

(สวนสนบ่อแก้ว ร่มรื่นในยามอากาศร้อน)

    ไม่ให้เสียเวลา ชาวคณะออกเดินทางต่อไปยัง อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน ก่อนจะถึงยังจุดหมายเราก็ได้แวะเก็บภาพสวนสนบ่อแก้วกันสักหน่อย ร่มเงาและลมเย็นๆ จากต้นสนทำให้ร่างกายได้ผ่อนคลายจากการนั่งรถนานได้พอสมควร เมื่อมาถึงยังจุดหมายที่ถ้ำแก้วโกมล ถ้ำที่พบเพียง 3 ประเทศในโลก ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศออสเตรเลีย และประเทศจีน สิ่งที่นักท่องเที่ยวควรรู้คือ ข้อห้าม เพราะภายในถ้ำไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพและสัมผัสแร่แคลไซต์ เพราะจะทำให้ตัวแร่เสียหาย แต่สำหรับคณะเดินทางของเราได้รับอนุญาตในการบันทึกภาพและวิดีโอ เนื่องจากเป็นการนำไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว ความพิเศษของถ้ำเริ่มตั้งแต่การตั้งชื่อถ้ำที่มีความหมายว่า ถ้ำแห่งแก้วอันงาม และชื่อห้องภายในถ้ำทั้ง 5 ห้อง ห้องพระทัยธาร ห้องวิมานเมฆ ห้องเฉกหิมพานต์ ห้องม่านผาแก้ว ห้องเพริศแพร้วมณีบุปผา ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 พระราชทานนาม

(หินแคลไซต์ในห้องพระทัยธาร)

    เจ้าหน้าที่อุทยานนำทางพาเราเข้าชมภายในถ้ำ ทางเดินเป็นทางชันกับทางราบสลับกัน แต่มีบันไดให้เดินแบบสบาย บางช่วงมืด ต้องส่องไฟฉายเข้าช่วย และต้องระวังทางให้ดีๆ เดินเข้าถ้ำช่วงแรกอาจจะมืดสักหน่อย เดินถึงห้องแรก พระทัยธาร มีที่มาจากน้ำในถ้ำละลายหินปูนไหลเหมือนธารน้ำตก ซึ่งตอนนี้น้ำจะน้อยไปสักหน่อย แสงสว่างจากดวงไฟที่ติดอยู่ในถ้ำทำให้เราได้เห็นว่าภายในถ้ำถูกฉาบไปด้วยผลึกแร่แคลไซต์สีขาวใส แวววาวระยิบระยับ ยิ่งเมื่อกระทบกับแสงไฟยิ่งเห็นความวาว เดินมาถึงห้องที่สอง วิมานเมฆ ที่แร่ภายในห้องมีความคล้ายกับปุยเมฆ แต่ก็มีแร่บางส่วนที่คล้ำดำจากการสัมผัสของมนุษย์
    เดินชมมาเรื่อยๆ จนถึงห้องที่สาม เฉกหิมพานต์ สู่ห้องที่สี่ ม่านผาแก้ว ที่ขาวโพลนไปด้วยแร่เต็มผนังถ้ำ และห้องสุดท้ายที่เป็นไฮไลต์ เพริศแพร้วมณีบุปผา ห้องนี้มีหินผลึกแร่รูปร่างต่างๆ คล้ายกับปะการัง ผลน้อยหน่า มีหินงอกหินย้อยที่เกิดจากไอน้ำ แต่ก็มีความเปราะบางและแตกหักง่าย ดังนั้นหากใครได้มีโอกาสเข้าชมก็ต้องระวัง ช่วยกันรักษาด้วยนะ อย่าลืมข้อควรจำอีกอย่างคือ ถ้ำจะปิดให้บริการเข้าชมช่วงฤดูฝน ประมาณช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายนของทุกปี

(ทางเดินไปถ้ำปะการังและถ้ำเพชร)

    ไม่ให้เสียเวลา เราเดินทางมายังบ้านแม่ละนา อ.ปางมะผ้า แน่นอนชื่อเสียงเรียงนามของถ้ำในพื้นที่นี้รู้จักกันดีคือ "ถ้ำแม่ละนา" ที่มีความยาวถึง 12 กม. เรียกได้ว่ายาวที่สุดในเอเชีย แต่ที่คณะเราจะไปไม่ใช่ถ้ำแม่ละนา เป็นถ้ำปะการัง และถ้ำเพชรที่อยู่ในพื้นที่นี้เช่นกัน หลังจากทานข้าวฝีมือชาวบ้านจนอิ่มแปล้เตรียมร่างกายให้พร้อม เราก็นั่งรถไปจนถึงทางที่ต้องเดินเท้าเพราะรถเข้าไม่ถึง เนื่องจากทางสูงชันมาก ทางเดินแม้จะเป็นถนนซีเมนต์แต่ก็เดินยากและเหนื่อยไม่เบา มาถึงปากถ้ำปะการังเล่นเอาหอบแฮกๆ แต่ยังดีที่ลมที่พัดออกมาจากปากถ้ำทำให้อากาศที่ร้อนระอุเย็นขึ้นมาบ้าง การเดินถ้ำไม่ใช่ว่าอยากจะมาเดินก็มา เพื่อความปลอดภัยของตัวเองก็ควรที่จะมีเจ้าหน้าที่ดูแล หรือมีไกด์ท้องถิ่นนำทางจะดีกว่า 

(ปะการังจริงๆ ที่ได้กลายเป็นหิน)

    ลุงเทียนทอง ไกด์ท้องถิ่นของที่นี่เป็นคนพาเดินชมถ้ำ ไฟฉายโดนแจกจ่ายให้ครบทุกคน เพราะในถ้ำมืดมาก และไม่ควรจะเข้าถ้ำเกิน 10 คน เพราะอากาศข้างในอาจจะไม่พอ ความยาวของถ้ำนี้ประมาณกว่า 800 เมตร ความยากที่รับรู้เริ่มขึ้นตั้งแต่ทางลงไปยังถ้ำ แม้จะมีบันไดไม้ แต่ขาสองข้างก็ยังสั่นๆ ก้าวลงทีละก้าวอย่างช้าๆ สิ้นสุดทางไฟฉายนำทางที่สวมไว้ที่ศีรษะแต่ละคนก็ฉายภาพบรรยากาศภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อย เดินลึกเข้าไปด้านในอีกก็จะพบกับหินรูปร่างคล้ายปะการังเยอะมาก สมกับชื่อของถ้ำเลย ถ้ำแห่งนี้ยังมีร่องรอยของปะการังจริงๆ บ่งบอกได้ว่าพื้นที่แห่งนี้อาจเป็นทะเลมาก่อน

(หินที่ก่อตัวกันคล้ายกับปะการัง)

    หินรูปร่างแปลกๆ ยังปรากฏให้เห็นตลอดทางเดิน ทั้งหินกรอบรูป หินย้อยหอยสังข์ หินนมสาว หินไอศกรีม ทุกชื่อที่ถูกขานเรียก ลุงเทียนทองบอกว่าชาวบ้านตั้งชื่อกันตามรูปร่างของหินนั้นๆ เดินไปสักพักก็ต้องปีนป่ายขึ้นไปตามกลุ่มหิน จะก้าวจะเหยียบจะเกาะส่วนไหนก็ต้องระวังดีๆ เลย แต่ยังดีหน่อยที่ในถ้ำอากาศเย็นๆ หายใจสะดวก ยิ่งลึกเท่าไหร่ ความงามของถ้ำก็ยิ่งชวนหลงใหล แต่ที่อดยิ้มไม่ได้คงเป็นความเชื่อของคนไทยที่มีอยู่ทุกที่จริงๆ เพราะตามรูหินที่งอกขึ้นมา พบว่ามีเงินเหรียญอยู่ด้านในไม่ใช่แค่ 1 รู แต่ยังพบถึง 3-4 รูเลย สมกับเป็นเมืองไทยเสียจริง

(ภายในถ้ำปะการังที่ไฟฉายช่วยให้เห็นความสวยงาม)

    ถ้ำเพชรอยู่ห่างจากถ้ำปะการังไม่มากนัก ระยะทางเดินในถ้ำก็น้อยกว่าถ้ำปะการังประมาณ 300 เมตร ถ้ำนี้แค่ปากทางเข้าก็ลำบากแล้ว เพราะเป็นช่องแคบและชัน ต้องลงบันไดอย่างระวัง เกาะให้แน่น ใจก็จะหวิวๆ หน่อย แต่ก็ผ่านมาจนได้ เข้ามาปุ๊บสิ่งที่รู้สึกได้อย่างแรกเลยคือ อากาศที่ค่อนข้างร้อนและไม่ค่อยถ่ายเทเท่าถ้ำปะการัง แต่ความพิเศษของถ้ำนี้คือมีผลึกใส ส่งประกายแวววาวราวกับเพชรมากกว่า และยังเป็นผลึกใสที่ยังคงมีชีวิต ระหว่างเดินไปตามทางหัวก็ต้องระวังหินที่ย้อยลงมา ถึงทางจะแคบไปสักหน่อย ที่สีขาวใสของผลึกแร่ที่เกิดทำให้เราละสายตาไม่ได้เลย จุดพีคของถ้ำนี้คือการปีนกลุ่มหินก้อนใหญ่ขึ้นไปชมม่านผลึกใสชิ้นพิเศษ ถ้าจะให้อธิบายถึงความสวยก็ไม่รู้จะเปรียบเทียบกับสิ่งไหน ต้องลองไปสัมผัสเองถึงจะรู้ว่าคุ้มค่ามากๆ ที่ยอมเดินเหนื่อยมาไกลขนาดนี้

(ภายในถ้ำผีแมน)

    ค่ำคืนอีกวันที่แม่ฮ่องสอนเราได้ไปค้างแรมกันที่โฮมสเตย์ บ้านจ่าโบ่ ชุมชนชาวลาหู่ ที่ได้รวมตัวกันเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและมีที่พักแรมให้ด้วย ราคาโฮมสเตย์ก็แค่หลักร้อย แต่ได้ชมวิวหลักล้าน เรียกได้ว่าตื่นเช้ามาแค่เดินออกมาจากบ้านก็ได้ชมพระอาทิตย์ดวงโตปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว และได้ลิ้มรสอาหารชนเผ่าตามฤดูกาล ชมวิถีชีวิตชาวเขาแท้ๆ ที่ไม่ปรุงแต่งแต่อย่างใด ช่วงเช้าเราออกเดินทางต่อไปยังถ้ำผีแมน ชื่อนี้เรียกตามเรื่องเล่าต่อๆ กันมา หรือเรียกตามชื่อโลงของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุกว่า 2,500 ปี เพราะเป็นถ้ำที่มีความเชื่อ สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อเข้าไปในถ้ำคือ 1.ห้ามหัวเราะเสียงดังหรือหยอกเล่นกัน 2.ห้ามพูดคำว่าเหม็น และ 3.ห้ามเดินข้ามโลงผีแมนเด็ดขาด

(โลงผีแมนภายในถ้ำ)

    เราเริ่มเดินลัดเลาะมาตามทางชมวิวภูเขาชิวๆ ก่อนจะมาถึงทางขึ้นถ้ำ บอกเลยว่าเทียบกับ 2 ถ้ำที่ผ่านมา หนักใจกับทางขึ้นถ้ำผีแมนมากที่สุด แต่ยังดีที่ชาวบ้านได้ทำบันไดไว้ให้ เดินขึ้นไปได้สัก 30 นาที อาการหอบก็เริ่มทำงาน แขนขาทำท่าจะไม่ไหว ถึงจะเป็นการปีนขึ้นที่มีอุปกรณ์ช่วยก็เถอะ เมื่อถึงจุดแรกเราก็พบกับโลงผีแมนทำจากไม้สักที่มีสภาพผุพังไปตามกาลเวลา ภายในถ้ำมีโลงทั้งหมด 7 โลง บางโลงก็ยังสภาพดีอยู่ แต่จะอยู่สูงขึ้นไปอีก ภายในถ้ำก็เหมือนถ้ำปกติทั่วๆ ไป เราเดินต่อ ทางเดินก็เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีโลงที่วางขวางและเดินทางเดียว คือ ต้องเอี้ยวตัวหลบ ซึ่งต้องตั้งขา เท้าเกาะให้มั่นและค่อยย้ายตัวไปอีกฝั่งหนึ่งอย่างระวัง ตัวเองจะบาดเจ็บ ไหนจะกลัวเท้าไปโดนโลง พอผ่านมาได้ก็อดยิ้มให้กับความพยายามของตัวเองไม่ได้ ถ้ำผีแมน
    ไม่ใช่ใครจะเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าได้นะ เพราะทุกปีชาวบ้านต้องทำการขออนุญาตก่อนพานักท่องเที่ยวเข้าถ้ำเสมอ เที่ยวในถ้ำถึงแม้มันจะดูเสี่ยง อันตราย และเหนื่อยบ้าง แต่มันก็สนุกที่ได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้น พอถึงตอนจะกลับก็อดเสียดายที่ไม่ได้ไปถ้ำลอด เพราะเดี๋ยวไม่ทันไฟลต์บิน แต่สัญญาเลยคราวหน้ามาจะไม่พลาด จะต้องเตรียมร่างกายมาให้พร้อมกว่านี้แน่นอน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"