ไป"ไต้หวัน"ชมวิวชิมสตรีทฟู้ด


เพิ่มเพื่อน    

    "ไต้หวัน" นับว่าเป็นน้องใหม่มาแรงสำหรับทริปเที่ยวเมืองนอกของคนไทยนอกเหนือจากญี่ปุ่น แถมราคาทัวร์ก็ไม่แพงเท่าญี่ปุ่น แค่หมื่นกว่าบาทก็ไปได้แล้ว ยกเว้นช่วงหยุดยาวเทศกาลต่างๆ  เช่น ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ราคาก็จะอัพขึ้นอีกประมาณเกือบหมื่นนึง แต่ถ้าใครอยากหนีร้อนบ้านเรา ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าปีนี้ร้อนสุดๆ ทะลุหน้าร้อนปีก่อนๆ ไม่ว่าจะนั่ง นอน เดินที่ไหนเหมือนเป็นไข้ตลอดเวลา เพราะอุณหภูมิกลางวันปาเข้าไปขั้นต่ำ 38 องศา และพีคสุดๆ เลย 40 องศาขึ้นไป เรื่องไปอยู่กลางแดดกลางแจ้งไม่ต้องพูดถึง คงตายภายในครึ่งชั่วโมง เพราะแดดแรงสุดๆ อดคิดไม่ได้ว่า แม้แต่ปลาเค็มที่ตากกลางแจ้งมันอาจจะแอบร้องเงียบๆ ว่าทำไมปีนี้ร้อนจังก็เป็นได้
    เอาล่ะ บ่นเรื่องอากาศร้อนบ้านเรามาให้หอมปากหอมคอแล้ว คิดว่าตรงกับใจหลายคน ทริปไต้หวันที่ไปเป็นช่วงปลายเดือนมีนาคม ยอมรับว่าไต้หวันเย็นกว่าบ้านเรา ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะ และเป็นภูเขา รวมทั้งตั้งอยู่ในโซนภูมิอากาศแบบอบอุ่น บางช่วงบางเวลาบางสถานที่ต้องใส่เสื้อหนาวตัวบางๆ ทับก็จะพอดี แต่บางแห่งที่ไปเยือนยิ่งช่วงบ่ายก็ร้อนแดดแรงขนาดต้องใช้ร่ม แต่โชคดีไม่เจอฝน ทั้งที่มีการเตือนว่าให้พกร่มและเสื้อฝนมาด้วย ไกด์ประจำทริปชื่อ อาเหว่ย บอกว่า ฝนตกเมื่ออาทิตย์ก่อนที่เราจะมาไปแล้ว เราก็เลยไม่เจอฝน

(ดอกไม้ที่ฟาร์มดอกไม้จงเข่อ)

    พอลงจากเครื่อง ช่วงเช้าหลังจากอดตาหลับขับตานอน เพราะเครื่องบินออกจากสนามบินดอนเมืองเวลาตีสาม แล้วก็มาถึงไต้หวันเวลาเช้า ใช้เวลาบินแค่ 3 ชั่วโมงกว่าๆ พอมาถึงรถบัสจากบริษัททัวร์ฝั่งไต้หวันก็มารอรับแล้ว และวิ่งออกจากสนามบินนานาชาติเถาหยวนเวลาประมาณเกือบ 8 โมง ทางบริษัททัวร์จัดชานมแต่ไม่มีไข่มุก พร้อมกับแซนด์วิชชิ้นใหญ่ไว้ให้เป็นอาหารมื้อเช้าบนรถ รถวิ่งไปเรื่อยๆ จุดหมายปลายทางของการเที่ยวจุดแรกคือ เมืองไถจง เมืองใหญ่สุดอันดับ 3 ของไต้หวัน เพื่อไป "ฟาร์มดอกไม้จงเข่อ" ในพื้นที่ขนาด 37 ไร่ ตามข้อมูลทัวร์บอกว่าฟาร์มแห่งนี้มีดอกไม้มากกว่า 1,000 สายพันธุ์ 
    ยอมรับว่า อาการง่วงเพลียเพราะนอนน้อย พอมาเจอดอกไม้สะพรึ่บสะพรั่งสวยงามตระการตาท่ามกลางอากาศที่เย็นๆ สดชื่น ช่วยปลุกความมีชีวิตชีวาได้ไม่น้อย ในภาพรวมฟาร์มดอกไม้แห่งนี้ก็คล้ายๆ ที่แม่ฟ้าหลวงที่เชียงรายบ้านเรา แต่ที่นี่เน้นใช้ดอกไม้สร้างบรรยากาศอย่างเดียว ทุกที่ ทุกจุด จะมีแต่ต้นไม้ที่มีดอกผลิบาน หรือดอกตูมอยู่ทุกที่ อีกทั้งยังจัดวางการปลูก ไม่ว่าทางเดินหรือซุ้มที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสี มุมโน้น มุมนี้ มุมนั้น ซึ่งวัตถุประสงค์หลักก็น่าจะเพื่อให้คนมาเยี่ยมชมได้ถ่ายรูปเก็บความประทับใจไปพร้อมกับดอกไม้สวยๆ อย่างดอกลิลลี่ที่มีหลายสีมาก แต่ละดอกขนาดโตๆ หรือลาเวนเดอร์ ดอกเสจ ที่ส่วนใหญ่เป็นดอกไม้เมืองหนาว

(ณ ทะเลสาบสุริยันจันทรา ถ่ายจากวัดพระถังซัมจั๋ง)

    หลังจากเสพความสวยงามของดอกไม้เต็มอิ่ม แต่ละคนหน้าตาสดชื่นเหมือนได้อาบน้ำอาบท่ากันมาแล้ว ทั้งที่จริงๆ แล้วยังไม่ได้เข้าโรงแรม จุดต่อไปก็คือการไปกินอาหารเที่ยง เป็นมื้อชาบูแบบบุฟเฟต์ หลังอิ่มหนำสำราญก็เดินทางต่อไปยังเมืองหนานโถว เพื่อล่องทะเลสาบสุริยันจันทรา ที่มีความยาว 35 กม. "อาเหว่ย" ไกด์เล่าว่า สถานที่แห่งนี้เป็นที่ชื่นขอบชองเจียงไคเช็คและมาดามซ่งมาก ด้านหนึ่งบนฝั่งมีบ้านพักตากอากาศของนายพลเจียงอยู่ด้วย เมื่อขึ้นฝั่งจะเจอกับวัดพระถังซัมจั๋ง ที่ชาวไต้หวันบอกว่าเป็นสถานที่บรรจุอัฐิของพระถังซัมจั๋งเอาไว้ ส่วนตรงบันไดท่าเรือก่อนขึ้นไปวัดก็จะมีร้านไข่ต้มใบชาเลื่องชื่อ ต้นตำรับของแท้ ส่วนที่ขายที่อื่นเป็นของลอกเลียนแบบ อาเหว่ยเล่าว่า สมัยที่อาม่าเจ้าของร้าน และสูตรไข่ต้มใบชายังเป็นสาวแรกรุ่นก็ขายไข่ต้มตรงนี้ แต่เมื่อนายพลเจียงและมาดามซ่งเดินทางมาพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลสาบสุริยันจันทรา บรรดาทหารและเจ้าหน้าที่ต้องกวาดต้อนร้านค้าแถวนั้นออกไปให้หมด ไม่ให้เกะกะกีดขวาง รวมทั้งร้านไข่ต้มของอาม่าด้วย แต่พอดี๊พอดี มาดามซ่งมาเห็นซะก่อน และได้ชิมไข่ต้มใบชาของอาม่า บอกว่าอร่อยมาก และออกปากอนุญาตให้อาม่าขายไข่ต้มใบขาตรงนี้ได้ ทำให้อาม่าขายไข่ต้มตรงจุดเดิมเมื่อ 50-60 ปีที่แล้วมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าแถวนั้นไม่มีร้านค้าอื่นๆ อีก ยกเว้นร้านไข่ต้มของอาม่าเพียงร้านเดียว เรียกว่าคำพูดของมาดามซ่งศักดิ์สิทธิ์ถึงทุกวันนี้
    ราคาไข่ต้มใบชาของอาม่าที่ปัจจุบันอายุปาเข้าไป 80 กว่าๆ ถ้าใบเดียว 13 เหรียญไต้หวัน 2 ใบ 25 ดอลลาร์ไต้หวัน ทุกวันนี้อาม่ารวยไม่รู้เรื่อง กลายเป็นเศรษฐีคนหนึ่งของไต้หวัน ปัจจุบันอาม่ายังมาขายด้วยตัวเองแม้จะมีลูกมีหลานมาช่วยสืบทอดกิจการแล้วก็ตาม

(อาหารสตรีทฟู้ดอันเลื่องชื่อของไต้หวัน)

    ทัวร์ครั้งนี้มี "มื้ออิสระ" หมายถึงให้ลูกทัวร์ไปหากินเองหลายมื้อด้วยกัน มื้ออิสระมื้อแรกของเราอยู่ที่ไท่จง ลูกทัวร์ถูกปล่อยให้ลงจากรถ และนัดแนะเวลาขึ้นรถขากลับไว้เรียบร้อย ย่านนี้เป็นย่านการค้ากลางเมือง ช่วงเย็นเปิดเป็นถนนคนเดิน มีสตรีทฟู้ดทั้งแบบเป็นร้านและรถเข็นไว้ให้ชิมมากมาย หลังจากเดินเลือก ผ่านไปมาหลายร้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวคล้ายอุด้งญี่ปุ่น ในที่สุดเราก็เดินมาถึงบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยไท่จง ซึ่งมีร้านอาหารมากมายเช่นกัน และเลือกเข้าร้านหนึ่งที่ดูเข้าท่า เมนูที่พวกเราเลือกเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นเหมือนเส้นอุด้ง กับ "ข้าวโปะหน้าไก่เมา" ตอนแรกคิดว่าคงจะแซ่บ คงมีพริกมาบ้าง แต่ที่ไหนได้ เป็นไก่ต้มหรือไก่นึ่งเย็นๆ ที่เข้าใจว่าผ่านการแช่เหล้ามาแล้ว พร้อมกับผัดผักเคียงมาด้านข้าง ผักที่ว่าก็คือต้นมัน ตอนแรกเข้าใจว่าผักบุ้ง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ แต่ก็อร่อยดี เพิ่งเคยกินต้นมันเป็นครั้งแรก 
    รสชาติโดยรวมสำหรับคนกินจืดถือว่าใช้ได้ เค็มๆ มันๆ ทุกโต๊ะไม่มีเครื่องปรุงอะไรให้เติม ต้องกินแบบออริจินอลที่ทางร้านทำมาให้เท่านั้น พอมาคิดเงินถือว่าไม่แพง ราคาจานละ 85-90 ดอลลาร์ไต้หวัน ซึ่งค่าเงินไต้หวันจะแพงกว่าเงินบาทเล็กน้อย เช่น 100 บาท จะแลกเป็นเงินไต้หวันประมาณ 80 ปลายๆ ถึง 90 ดอลลาร์ไต้หวัน และที่ร้านแถวนี้ไม่แพงน่าจะเป็นเพราะใกล้มหาวิทยาลัย ก็คงเหมือนบ้านเราที่อาหารในมหา'ลัยจะถูกกว่าข้างนอก
    สตรีทฟู้ดอื่นๆ รสชาติออกแนวจืดๆ เค็มๆ มันๆ แนวอาหารจีน ในรสชาติบางอย่างไม่คุ้นลิ้น บางอย่างเห็นคนต่อแถวยาว ดูน่ากิน แต่พอกินแล้วก็ไม่ค่อยสะใจคนไทยที่ชอบรสชาติออกแนวจัดจ้าน แต่ที่ชื่นชอบก็คงจะเป็นไข่นกกระทาทอดที่ทำจากมันทอดเป็นลูกกลมๆ เหมือนบ้านเรา รสชาติก็เหมือนกัน ราคาขั้นต่ำ 30 ดอลลาร์ไต้หวัน ขณะที่บ้านเรายัง 20 บาท และที่ขาดไม่ได้คือชานมไข่มุก คนที่ชื่นชอบก็จะสมใจอยาก และที่แปลกไม่มีที่ไหนก็คือน้ำมะระ ที่ทำจากมะระชนิดสีขาว มาทำเป็นเครื่องดื่ม หากินที่ไหนไม่ได้นอกจากไต้หวันเท่านั้น ว่ากันว่าเป็นน้ำดื่มเพื่อสุขภาพ สนนราคาแก้วเล็ก 70 แก้วใหญ่ 100 รสชาติขมนิดๆ เย็นหน่อยๆ

(ดอกซากุระหน้าวัดเทียนหยวน ที่บานให้เห็นจิ๊ดเดียว)

    จะว่าไป ทัวร์ไต้หวันก็จะคล้ายๆ ทัวร์จีน ตรงที่บรรดาบริษัททัวร์จะต้องพาเข้าร้านค้าต่างๆ ทั้งร้านขายเจอราเนียม สร้อยข้อมือ ที่โฆษณาว่าดีต่อสุขภาพผู้สวมใส่ ร้านขนมที่ขึ้นชื่ออย่างขนมอบไส้สับปะรดอย่างร้านเหว่ยเก๋อ ที่มีชื่อเสียงมากมีทัวร์มาลงไม่ขาดสาย ที่เยอะหน่อยก็ทัวร์ไทยนี่แหละ "ตลาดปลา" ซึ่งเป็นเหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตอาหารทะเลระดับไฮเอนด์ สะอาดสะอ้านไม่เหม็น ราคาก็สอดคล้องกับสถานที่ มีอาหารทะเลทั้งสดและสำเร็จรูปพร้อมกินให้เลือกสรรมากมาย หรือร้านเครื่องสำอางแบรนด์ไต้หวันที่มีวิทยากรแนะนำเป็นคนไทย เป็นเหมือนข้อบังคับโปรแกรมทัวร์ที่ทุกบริษัทจะต้องพาลูกทัวร์ไป

(พระพุทธรูปในวัดเทียนหยวน)

    วันต่อมาเราไปตั๊นสุ่ย รู้จักกันในชื่อ เมืองท่าโรแมนติก ที่อยู่ในเขตนิวไทเป เป็นศูนย์กลางการจัดส่งสินค้าและเป็นเขตการค้าสำคัญของไต้หวันตอนเหนือ จุดหมายปลายทางไม่ได้ไปช็อป แต่ไปที่ "วัดเทียนหยวน" ที่มีชื่อเสียงว่าเป็นจุดชมดอกซากุระบานสะพรั่ง เพราะมีการปลูกต้นซากุระรอบๆ บริเวณวัดไว้มากมาย พอดีช่วงที่ไปซากุระยังไม่บาน ซึ่งตามปกติซากุระจะบานประมาณช่วงดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม แต่เราไปช่วงปลายเดือนมีนา.แล้ว ซากุระก็ยังไม่บาน  อาเหว่ยบอกว่า อาจจะเป็นเพราะอากาศปีนี้ที่ไม่ค่อยหนาวเท่าที่ควร บางต้นมีดอกที่บานติดกิ่งประปราย ทำให้ดูไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ถ้ารออีกสักอาทิตย์คงจะบานกันทั่ว เพราะมีดอกตูมๆ และตาดอกออกมาให้เห็นแล้ว

(เจดีย์ที่วัดเทียนหยวน)

    วัดเทียนหยวนแห่งนี้ตั้งอยู่เชิงเขา ด้านล่างเป็นตัววัด และมีเจดีย์5 ชั้น ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน  ต้องเดินไต่เขาขึ้นไปสักระยะก็จะถึงองค์เจดีย์ ดูสวยงามมาก เป็นวัดพุทธที่จีนและไทยสักการะได้อย่างสบายใจ  
    ออกจากวัดก็เป็นกิจกรรมปล่อยโคมที่ไม่ไกลจากวัด โคมที่ว่าทำด้วยกระดาษ มีขนาดใหญ่มาก 1 โคม จะปล่อยร่วมกัน 2 คน ตัวโคมมี 4 ด้าน มีพื้นที่ให้เขียนคำอธิษฐาน หรือเขียนอะไรที่อยากเขียน คนหนึ่งก็จะเขียนได้ 2 ด้าน อาเหว่ยแจกแจงให้ฟังว่า ตรงจุดที่ปล่อยโคมนี้ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการและจะมีกระบวนการเก็บโคม ไม่ปล่อยให้เป็นขยะทำลายสภาพแวดล้อม โคมแต่ละอันจะมีชื่อเจ้าของร้านกำกับ คนที่เก็บจะเอาซากโคมไปขึ้นเงินกับร้านเจ้าของโคม โคมละ 10 บาท การเก็บโคมจึงเป็นอาชีพของชาวบ้าน ส่วนที่ว่าโคมจะลอยไปรบกวนการบินหรือไม่ อาเหว่ยบอกว่า ตรงนี้ไม่ใช่น่านฟ้าที่มีการบิน และโคมลอยไม่สูงพอ ดังจะเห็นได้ว่ามีโคมตกลงมาจำนวนมาก 

(ร้านขายลูกชิ้นปลาและเต้าหู้ไส้หมูในหมู่บ้านโบราณ ที่คนแน่นมากๆ)

    ก่อนวันกลับเป็นโปรแกรมไปหมู่บ้านโบราณ ฉือเฟิน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณไหล่เขาเมืองจิวหลง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต เนืองแน่นด้วยนักท่องเที่ยว แต่ส่วนใหญ่ที่ได้ยินเสียงพูด ก็ภาษาไทยนี่แหละ จะไปกินข้าว จะไปซื้อของ จะเข้าห้องน้ำก็เจอแต่คนไทย ทักทายกันบ้างตามประสาคนชาติเดียวกัน ประปรายชาติอื่นก็มีเกาหลี จีนแผ่นดินใหญ่ และญี่ปุ่น แต่เยอะสุดก็ต้องยกนิ้วให้คนไทย 

(ลูกชิ้นปลากับน้ำซุปไม่มีเส้น)

    ตลาดโบราณฉือเฟินก็คล้ายๆ กับตลาดร้อยปีสุพรรณฯ บ้านเรา มีของกินน่ากินเยอะแยะ ที่ได้ไปชิมก็คือ ลูกชิ้นปลา และเต้าหู้สามเหลี่ยมทอดยัดไส้หมู ร้านเล็กๆ แน่นขนัด ต้องยืนรอจนกว่าเก้าอี้จะว่าง ร้านนี้ไม่ใช่ร้านก๋วยเตี๋ยว เพราะไม่มีเส้นในชามลูกชิ้น แต่มีวุ้นเส้นลวกใส่น้ำปรุง และต้นหอมแยกต่างหากอีกชามให้เลือกกินกับคู่กับเกาเหลาลูกชิ้นปลาและเต้าหู้ในน้ำซุป แต่ละชามจะเล็กๆ ขนาดพอๆ กับถ้วยใส่ขนมหวานบ้านเรา ราคาชามละประมาณ 30 บาทไทย คนหนึ่งถ้าให้กินครบต้องกิน 3 ชาม

(ตึกไทเป 101 ในอดีตเคยรั้งตำแหน่งสูงที่สุดในโลก)

    และลืมบอกไปว่า ไปไต้หวันไม่ไปตึกไทเป 101 ก็เชยแย่ เราก็ขอบอกว่าไปมาแล้ว แต่แค่ไปถ่ายรูปหน้าตึกเท่านั้น ไม่ได้ขึ้นไปข้างบน ซึ่งต้องเสียค่าขึ้น และไม่อยู่ในโปรแกรมทัวร์ราคาโปรโมชั่น 
    มีเรื่องเล่าจากไกด์เกี่ยวกับตึกไทเป 101 ซึ่งน่าจะพอเชื่อถือได้ ไกด์เล่าว่า ช่วงสร้างตึกมีคนงานไทยไปช่วยสร้างด้วย มีช่างไทยระดับหัวหน้าคนหนึ่ง เป็นที่ชื่นชอบถูกคอ ถูกอกถูกใจของเจ้าของตึกมาก เพราะพอใจในฝีมือ และนิสัย  ช่างคนนั้น เป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด และเป็นที่มาของการตั้งชื่อตึกแห่งนี้ว่า 101.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"