คลังชงลุงตู่แจกรอบใหม!1,500บาทเที่ยวเมืองรอง


เพิ่มเพื่อน    

    รัฐบาลใหม่ยังไม่มา รัฐบาลลุงตู่ไม่สน  “คลัง” เตรียมทุ่ม 1.5 หมื่นล้านบาท ผุด 3 มาตรการท่องเที่ยวอุ้มเศรษฐกิจ อัดฉีด 1.5 พันบาทเข้ากระเป๋าหนุนคนไทย 10 ล้าน เที่ยวฟรีเมืองรอง
    รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังระบุว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้จัดทำมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อพยุงเศรษฐกิจช่วงกลางปี 2562 เสร็จแล้ว 3 มาตรการ ประกอบด้วย โครงการ ยิ่งเที่ยว ยิ่งเท่ ช่วยเปย์ เมืองรอง โดยจะมีการขอใช้งบประมาณกลางในส่วนของรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 15,000 ล้านบาท แจกให้ประชาชนคนละ 1,500 บาท นำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อีเพย์เมนต์ในเมืองรอง 55 จังหวัด เพื่อเป็นการพยุงเศรษฐกิจและส่งเสริมให้มีการใช้จ่ายผ่านระบบอีเพย์เมนต์เพิ่มขึ้น
    สำหรับผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการเพื่อรับแจกเงินจะต้องเป็นคนไทยที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นนับตั้งแต่วันเริ่มโครงการ รวมถึงต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันและขอใช้ระบบกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ จากนั้นจะมีการเติมเงินให้คนละ 1,500 บาท เพื่อนำไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่มีการลงทะเบียนคิวอาร์โค้ดไว้ โดยตั้งเป้าหมายมีคนเข้าร่วมโครงการลงทะเบียนและรับเงินไปใช้จ่ายได้ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งหลังจากนี้กระทรวงการคลังจะต้องร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และธนาคารกรุงไทย โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะเข้ามาช่วยเรื่องโปรโมตแหล่งท่องเที่ยวให้คนไทยรับทราบ ส่วนธนาคารกรุงไทยจะมาช่วยดูเรื่องระบบการชำระเงิน และการลงทะเบียน ซึ่งเปิดกว้างให้ชำระสินค้าได้ผ่านคิวอาร์โค้ดของทุกธนาคารพาณิชย์ไม่จำกัดแค่กรุงไทย หรือร้านธงฟ้า
    “เดิมทีคาดจะเริ่มแจกเงินและใช้ท่องเที่ยวได้เดือน ก.ค. แต่อาจต้องเลื่อนให้เร็วกว่าเดิม เพราะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ต้องการให้ได้เห็นผลโดยเร็วภายในเดือน พ.ค.นี้ รวมถึงยังให้ศึกษาการขยายจุดใช้จ่ายไปตามเมืองหลัก เพราะขณะนี้การท่องเที่ยวในเมืองใหญ่ก็เงียบเหงาเหมือนกัน นอกจากนี้ นายสมคิดยังเป็นคนสั่งการให้เพิ่มเงินที่แจกจากเดิมที่ตั้งไว้ให้คนละ 1,000 บาท เพิ่มเป็น 1,500 บาท เพื่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจที่แรงขึ้น” รายงานข่าวระบุ
    สำหรับโครงการ ยิ่งเที่ยว ยิ่งเท่ ช่วยเปย์ เมืองรอง ถือเป็นโครงการพยุงเศรษฐกิจที่ใช้งบมากสุดในช่วงกลางปี มีเป้าหมายต้องการกระตุ้นการบริโภคใช้จ่ายของประชาชน และกระจายเม็ดเงินไปสู่ท้องถิ่นให้มากและเร็วที่สุด โดยภาครัฐจะได้เม็ดเงินจากภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นตัวชดเชยกลับคืนมา ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้เหลือการปรับรายละเอียดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น หากมีการนำเงินไปใช้ทุกจังหวัด อาจปรับชื่อโครงการให้เหมาะสม หรือปรับวิธีการลงทะเบียนและการใช้เงินให้ง่ายขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนเข้าร่วมมากที่สุด
    ส่วนอีก 2 มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เหลือ จะเป็นมาตรการเกี่ยวข้องกับภาษี ซึ่งไม่ต้องใช้งบประมาณสนับสนุนโดยตรง ได้แก่ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย โดยจะมีการขยายเวลาให้สามารถนำค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบริการนำเที่ยว ค่าที่พักโรงแรม โฮมสเตย์ไทย และสถานที่พักไม่ได้เป็นโรงแรม มาใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามจริง ซึ่งเดิมทีได้สิ้นไปแล้วเมื่อเดือน ธ.ค.ปีก่อน พร้อมทั้งจะมีการขยายวงเงินลดหย่อนให้มากกว่า 15,000 บาทด้วย เพื่อจูงใจให้เกิดการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ
    ขณะที่มาตรการสุดท้าย ขณะนี้กรมสรรพากรได้มีการขยายระยะเวลาเปิดจุดให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มในกรุงเทพฯ และปริมณฑลให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติออกไปอีก 6 เดือน มีผลตั้งแต่เดือนเม.ย.-ก.ย. 2562 เพื่อต้องการอำนวยความสะดวกและกระตุ้นให้ชาวต่างชาติเกิดการใช้จ่ายเงินขณะท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่ม สำหรับข้อมูลการใช้สิทธิของนักท่องเที่ยวต่างชาติขอคืนภาษีในช่วง 6 เดือนแรก มีไปแล้วกว่า 5,000 ราย มูลค่าภาษีคืนเกือบ 4 ล้านบาท
    อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ นายสมคิดกล่าวว่า มาตรการเหล่านี้จะต้องทำเสร็จเสนอ ครม.ให้ได้ใน 2 สัปดาห์ และนำออกมาใช้ได้ทันที เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจไตรมาส 1-2 ปีนี้มีสัญญาณชะลอตัว เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ดี และมีความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ จนกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน ทำให้รัฐบาลต้องหารือกับกระทรวงการคลังเพื่อออกมาตรการด้านการบริโภค การท่องเที่ยว ภาคอสังหาริมทรัพย์ มาช่วยพยุงเศรษฐกิจก่อนที่เปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหาร
    ด้านความเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่น่าสนใจ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรองประธานอนุกรรมาธิการ ด้านกลไกปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ คณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สปท. กล่าวถึงกรณีที่ คสช.มีคำสั่ง ม.44 ในการเลื่อนการชำระเงินของ 3 บริษัทโทรศัพท์ ที่ได้รับสัมปทานใบอนุญาตบริการคลื่น 900 Mhz ซึ่งมีมูลค่าการเลื่อนการชำระไปสูงถึงแสนล้านบาท จากเดิมในเงื่อนไขการประกวดราคาระบุไว้ว่าบริษัทที่ต้องประมูลจะต้องยินยอมชำระเงิน และเงื่อนไขต่างๆ เช่น เงื่อนไขของการกำหนดราคา เงื่อนไขของการคิดราคากับผู้ใช้บริการ และอื่นๆ ซึ่งจะมีรายละเอียด และลายเซ็นในท้ายเอกสารตอนยื่นซองประกวดราคา 
    นายชาญชัยกล่าวว่า 2-3 บริษัทนี้ประมูลสู้กันกว่า 30 ชั่วโมง เพื่อจะให้ใบอนุญาตในการเข้ามาเป็นผู้ให้บริการคลื่นโทรศัพท์ 900 MHz แสดงให้เห็นว่าบริษัทเหล่านี้รู้อยู่แล้วว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจได้กำไรมหาศาล และถือว่าเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว อีกทั้งเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงที่ในปี 2561 มีการชงเรื่องขอให้เลื่อนการชำระค่าใบอนุญาตโทรศัพท์ ซึ่งขณะนั้นตนได้คัดค้านเรื่องนี้ไปแล้ว และไม่ได้เพิ่งมาคัดค้านในวันที่มีการออกคำสั่งเป็นมาตรา 44 นี้ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการทำลายระบบธรรมาภิบาล และผลประโยชน์ของประเทศชาติ อีกทั้งเงินจำนวนดังกล่าวนี้ต้องนำไปใช้เพื่อการพัฒนาประเทศด้านอื่นๆ 
    “นี้คือคลื่นของคนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่คลื่นของใครคนใดคนหนึ่งที่ขณะนั้นมีการพูดจาให้สัมภาษณ์ว่าจะช่วยบริษัทที่จะมีการเลื่อนนี้เอาไว้ทีหลัง ขอช่วยทีวีก่อน แสดงว่าพูดกันมาเป็นปีแล้ว หาจังหวะที่จะทำ รวมทั้งนายวิษณุ เครืองาม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่าคนพวกนี้ใช้องค์ความรู้ในการทำลายธรรมาภิบาลของประเทศ เมื่อมาดูเหตุผลในการยกเลิกนี้ แต่งบดุลของบริษัทโทรศัพท์มีความชัดเจน โดยขอยกตัวอย่างของบริษัทเอไอเอส ในปี 2559-ปี 2561 มีกำไรยังไม่หักค่าใช้จ่ายต่อปีประมาณกว่า 128,000-14,4000 ล้านบาท ขณะที่เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว มีกำไรสุทธิ 3 ปีอยู่ที่กว่า 90,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัทเอไอเอสจ่ายค่าสัมปทาน 3 ปีไปแล้ว 16,000 ล้านบาท คำถามคือกำไรสุทธินี้ของบริษัทนี้ทำไมถึงไม่นำมาลงทุนต่อ ขณะที่รัฐบาลยังช่วยเลื่อนการชำระเงินประมูลคลื่นความถี่ออกไป โดยไม่ได้คิดดอกเบี้ย ขณะที่การเอาเทคโนโลยี 5 จีมาเป็นข้ออ้างนั้น แม้ต่างประเทศเองก็ผลิตอุปกรณ์รองรับยังไม่จบ แต่ของไทยเอาเรื่องอนาคตที่ไม่รู้จะเกิดเมื่อไหร่มาเป็นเงื่อนไขลบล้าง TOR ในการประกวดราคาครั้งที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง ชนิดที่ไม่เคยเห็นใครกล้าทำได้ขนาดนี้มาก่อน” อดีต ส.ส.ปชป.กล่าว 
    นายชาญชัยระบุว่า ประชาชนที่ใช้โทรศัพท์ไม่ว่าจะค่ายเอไอเอส ทรู ดีแทค แล้วเสียเงินรายเดือนสามารถเป็นผู้เสียหาย ฟ้องได้ที่ศาลอาญาทุจริต ฟ้องเลขาธิการ กสทช. พ่วงบริษัท และฟ้อง คสช.ได้ด้วย โดยคำพิพากษาศาลปกครองกลาง เคยวินิจฉัยคดีใบอนุญาตสร้างโรงไฟฟ้า 5 พันเมกะวัตต์ไว้ว่า คำสั่งของ คสช.นั้นไม่ใช่อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ เป็นเพียงคำสั่งทางปกครอง เพื่อให้นายกฯ และหน่วยงานไปปฏิบัติ เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญไม่คุ้มครอง. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"