ธนาธรส่ออนาคตดับ กกต.แจ้งข้อกล่าวหาถือหุ้นสื่อ/จับตาใบส้มลามถึงยุบพรรค


เพิ่มเพื่อน    

    “ธนาธร” ไม่รอด กกต.เชื่อมีมูลถือหุ้นวีลัคฯ ให้แจ้งข้อกล่าวหา โดยให้โอกาสแจงภายใน 7 วันนับแต่วันที่ 23 เม.ย. “แสวง” ลั่นมีอำนาจสอบ แย้มหากรู้ขาดคุณสมบัติยังดันทุรังอาจลามถึงยุบพรรค “ปิยบุตร” ทำตัวยิ่งกว่าศาล สรุปทันทีห้ามแจกใบส้ม ตอกย้ำโอนหุ้นต้องจบตั้งแต่ 8 ม.ค. “พ่อฟ้า” เตรียมกลับถึงไทย 25 เม.ย. “ศรีสุวรรณ” จับผิดคำชี้แจง “อ.นิติเรด” ชี้ต้องนั่งเอฟวันถึงมา กทม.ทัน ข้องใจอีซี่พาสของใคร ที่สำคัญทำไมไม่มีสเตทเมนต์มาโชว์ ขู่อาจเข้าข่ายผิดฟอกเงินอีกกรณียุบบริษัทที่มีหนี้ 11 ล้านบาท 
    เมื่อวันที่ 23 เมษายน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังคงมีการประชุมเพื่อพิจารณากรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นร้องเรียนว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ถือครองหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด จำนวน 675,000 หุ้น เข้าข่ายเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 98 (3) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 42 (3) อันเป็นกระทำการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง          
    โดยนายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. ได้แถลงตามเอกสารข่าว กกต.ที่ 51/2562 ในหัวข้อ กกต.มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ระบุว่า คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้วมีหลักฐานเบื้องต้นฟังได้ว่า นายธนาธรเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัคฯ ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ จำนวน 675,000 หุ้น เลขหมายใบหุ้นตั้งแต่ 1350001 ถึง 2025000 กกต.จึงมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาแก่นายธนาธร โดยมอบหมายให้เลขาธิการ กกต.เป็นผู้แจ้งข้อกล่าวหาและรับฟังพยานหลักฐานแทน ตาม พ.ร.ป.กกต.2560 มาตรา 43 และระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวนไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2561 ข้อ 64 และให้ดำเนินการไต่สวนให้สิ้นกระแสความต่อไป
    “ตามข้อกล่าวหาข้างต้น นายธนาธรมีสิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำหรือมีหนังสือชี้แจงแสดงพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหา และมีสิทธิที่จะให้ทนายความหรือบุคคลซึ่งไว้วางใจเข้าร่วมฟังการชี้แจงแสดงหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาได้ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งข้อกล่าวหา” นายแสวงแถลง
    นายแสวงกล่าวต่อว่า หนังสือแจ้งข้อกล่าวหาจะส่งถึงนายธนาธรในวันที่ 23 เม.ย. ซึ่งขณะนี้ถือเป็นขั้นตอนการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าข้อกล่าวหามีมูลเพียงพอแจ้งข้อกล่าวหา ยังไม่ถึงขั้นตัดสินว่าทำผิดไปแล้ว หลังจากนี้ต้องรอฟังการชี้แจงของนายธนาธร ซึ่งอาจแก้ข้อกล่าวหาได้ และที่นายธนาธรส่งทนายมายื่นคำชี้แจงก่อนหน้านี้ ทางสำนักงานก็จะมอบให้กับคณะกรรมการไต่สวนนำไปพิจารณารวมกับคำชี้แจงของนายธนาธรที่จะชี้แจง ทั้งนี้ เมื่อคณะกรรมการไต่สวนได้รับฟังคำชี้แจงจากฝั่งของนายธนาธร ก็จะนำมาสรุปผลการไต่สวนก่อนเสนอให้ที่ประชุม กกต. พิจารณาอีกครั้ง
ลั่น'กกต.'มีอำนาจ
    นายแสวงยังปฏิเสธให้ความเห็นที่ว่า หากผลการไต่สวนพบว่านายธนาธรกระทำผิดจริง กกต.จะพิจารณาให้ใบส้มหรือไม่ โดยระบุว่า ขั้นตอนดังกล่าวเป็นดุลยพินิจของ กกต. ไม่ขอสมมุติ ไม่ขอให้คำตอบแทน กกต. เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน รวมทั้งจะดำเนินคดีอาญาในฐานะรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติในการลงสมัคร แต่ยังมาลงสมัครหรือไม่ และการใช้ตำแหน่งหัวหน้าพรรครับรองส่งตนเองลงสมัคร จะเข้าข่ายให้เป็นเหตุต้องยุบพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ ก็ต้องไปดูข้อเท็จจริงตอนนั้น แต่ถ้าตามกฎหมายฟังได้ว่ารู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีสิทธิสมัคร แต่ยังมาสมัคร หากเข้าช่องนั้นก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย ส่วนเรื่องการส่งนายธนาธรลงสมัคร โดยกรรมการบริหารพรรครู้เห็นเป็นเหตุให้ยุบพรรคหรือไม่นั้น ขอให้รอฟังข้อเท็จจริงก่อน เพราะยังมีประเด็นเรื่องเงื่อนเวลาก่อนหรือหลังต้องดำเนินการอย่างไร แต่ยอมรับว่าถ้าก่อนการประกาศรับรองผล กกต.พบว่ามีการทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตเป็นอำนาจของหน้าที่ กกต.ที่จะดำเนินการ
    ส่วนกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ระบุว่า กกต.ไม่สามารถวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติได้ เพราะเลยกำหนดเวลาการตรวจสอบคุณสมบัติไปแล้ว นายแสวงกล่าวว่า ไม่สามารถกล่าวแบบนั้นได้ เนื่องจากไม่ว่าก่อนเลือกตั้งหรือหลังเลือกตั้ง กกต.ก็สามารถตรวจสอบคุณสมบัติได้ เป็นอำนาจของ กกต.
เมื่อถามถึงกระแสข่าวกรณีประธานอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนไม่พอใจขอลาออกจากหน้าที่ นายแสวงกล่าวว่า เป็นแค่ข่าว ยังไม่มีการลาออก ซึ่งการตรวจสอบดังกล่าวมีคณะกรรมการ 2 ชุด ชุดแรก คือ คณะกรรมการสืบสวนไต่สวน และคณะกรรมการช่วยตรวจสอบสำนวน ซึ่งจะทำหน้าที่กลั่นกรองสำนวนจากชุดไต่สวน
พ่อฟ้าบินด่วนกลับไทย
    ขณะที่นายธนาธรได้โพสต์เฟซบุ๊กในเรื่องนี้ว่า ดูเหมือนสถานการณ์การเมืองไทยจะไม่เอื้อให้ตนเองได้ทำอะไรมากไปกว่าใช้พลังไปกับการขับเคี่ยวในเกมการเมือง โดยเพิ่งได้รับแจ้งจากเมืองไทยว่าให้รีบกลับไปเตรียมพร้อมรับสถานการณ์อันไม่คาดคิด เจอกันที่ไทยครับ
    ขณะที่ช่วงเช้า นายปิยบุตรได้เปิดแถลงข่าวอีกครั้งกรณี กกต.อาจมีมติแจกใบส้มให้นายธนาธรจากการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัคฯ อีกครั้งว่า กระบวนการตรวจสอบกรณีของนายธนาธรตอนนี้แบ่งเป็น 3 ช่องทางคือ 1.การตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งทำตั้งแต่วันสมัครถึงวันที่ 23 มี.ค. หากพบปัญหา กกต.จะส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณา 2.กรณีเลือกตั้งไปแล้วนับแต่วันที่ 24 มี.ค. จนถึงก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง ที่กำหนดว่าจะเป็นวันที่ 9 พ.ค. ก็จะตรวจสอบการทุจริตเลือกตั้งที่จะนำไปสู่การแจกใบเหลือง ใบแดง และใบส้ม เป็นอำนาจ กกต.วินิจฉัย ซึ่งใช้สำหรับ ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งเท่านั้น และ 3.หากประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว ถ้าพบ ส.ส.ที่รับรองไปแล้วขัดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามอีก ก็ต้องไปร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งกระบวนการตรวจสอบกันนี้ถือว่าหมดเวลาไปแล้ว นายธนาธรเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ 1 การตรวจสอบและร้องเรียนทำตามข้อสองไม่ได้ และหากจะไปรอส่งศาลรัฐธรรมนูญ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับรอง ส.ส.  
    "ถ้าจะตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในฐานผู้สมัคร ส.ส.ก็เลยมาแล้ว ถ้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ต่อ ก็ต้องรอรับรองผลให้เป็น ส.ส.ก่อน แล้วจึงส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา จึงพยายามใช้ช่องใบส้ม หากมีการใช้ช่องใบส้มถือเป็นการใช้กฎหมายคนละช่องคนละประตู จึงไม่มีที่ให้ใช้แจกใบส้มล้านเปอร์เซ็นต์" นายปิยบุตรระบุ
    นายปิยบุตรยังกล่าวถึงกรณี ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม เข้ายื่นหนังสือถึง กกต. เพื่อให้ตรวจสอบคุณสมบัติการถือหุ้นสื่ออีกกว่า 30 รายชื่อ ว่าได้ชี้แจงไปแล้วว่าจะดูแค่หนังสือบริคณห์สนธิไม่ได้ และที่ร้องเรียนว่าที่ ส.ส.กว่า 30 คนจาก 7 พรรค ระวังให้ดี พรรคฝ่ายสืบทอดอำนาจของ คสช. อย่าคิดว่าไม่มีเรื่องพวกนี้ ลองไปหาดูก็เจอ และคนที่ไปร้องเรียนก็ต้องระวังด้วยว่าอาจเข้าข่ายแจ้งความเท็จ หรืออีกฝ่ายไปร้องกลับบ้างมันจะไม่จบ
    “ผมเห็นบรรดานักร้องแต่ละคนที่ไปร้องเรียนกัน วันๆ นี่ไม่ต้องคิดเรื่องสร้างสรรค์เลยนะ คิดอยู่อย่างเดียว ใครไปถือหุ้นอันไหน ชีวิตไม่ต้องคิดเรื่องอื่นสร้างสรรค์แล้ว การเมืองไทยจะเอาแต่แบบนี้หรือ” นายปิยบุตรกล่าว
    ในเวลา 18.00 น. นายปิยบุตรแถลงถึงมติ กกต.ว่า เพิ่งได้คุยกับนายธนาธร ซึ่งยังมีกำลังใจดีอยู่ เพียงแต่เสียดายเวลาที่ได้ดูงาน ตอนนี้กำลังเร่งเดินทางกลับมาเพื่อชี้แจงข้อกล่าวหา โดยจะถึงไทยในวันที่ 25 เม.ย.นี้ ยืนยันว่าเรามั่นใจเป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งทางข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ซึ่งหลังเห็นมติ กกต.ก็รู้สึกประหลาดใจกับมติแจ้งข้อกล่าวหา เพราะการโอนหุ้นมีผลสมบูรณ์ทางกฎหมายเรียบร้อยตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 ม.ค.แล้ว  
    เมื่อถามว่า มองการแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวของ กกต.อย่างไร นายปิยบุตรกล่าวว่า ถ้าอิสระสมชื่อจริงๆ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของอำนาจอะไรก็ตาม คงไม่นำเรื่องนี้มากีดกันตัดสิทธินายธนาธร จึงขอให้ทำหน้าที่อย่างอิสระอย่างแท้จริง เพราะเกียรติภูมิศักดิ์ศรีจะอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่วันนี้ใครกดดันต้องทำตาม แต่ประวัติศาสตร์จะบันทึกไว้ติดตัวไปจนตาย ซึ่งให้กำลังใจ กกต.บ่อยครั้ง เพราะต้องทำหน้าที่สำคัญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
    "ขอตั้งข้อสังเกตว่าตั้งแต่เราเริ่มก่อตั้งพรรควันที่ 15 มี.ค.2561 ก็โดนข้อกล่าวหาอยู่พรรคเดียวเต็มไปหมด จึงสงสัยว่าต้องการอะไร การเมืองเก่าก็บอกไม่เอาแล้ว พอเราจะสร้างการเมืองแบบใหม่ก็มาเจอเรื่องแบบนี้อีก ซึ่งขอยืนว่าไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเรา อนาคตใหม่จะยังเดินหน้าทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง”นายปิยบุตรกล่าว  
จับผิดแก้ตัวแทนธนาธร
    ส่วนนายศรีสุวรรณยังเดินทางไปยื่นคำร้องเพิ่มเติมต่อ กกต.รอบที่ 3 เพื่อให้เป็นข้อมูลในการพิจารณาวินิจฉัยจากกรณีคำแถลงของนายปิยบุตรที่ออกมาแถลงแก้ต่างให้นายธนาธร ซึ่งมีพิรุธ โดยก่อนหน้านี้นายธนาธรยืนยันมาตลอดว่า โอนหุ้นให้กับแม่ คือนางสมพรไปแล้วก่อนสมัครรับเลือกตั้ง และขณะทำนิติกรรมการโอนนั้นอยู่ กทม. แต่ปรากฏข้อมูลจากสื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่านายธนาธรลงพื้นที่ช่วยผู้สมัคร ส.ส.พรรคที่ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเมื่อวันที่ 22 เม.ย. นายปิยบุตรออกมาแถลงแก้เกี้ยวว่าในวันที่ 8 ม.ค.นั้น นายธนาธรได้หาเสียงที่ จ.บุรีรัมย์ ในช่วงเช้าและขึ้นเวทีในช่วงบ่าย ก่อนขึ้นรถตู้กลับมาจาก จ.บุรีรัมย์ตั้งแต่ช่วงบ่ายเพื่อมาโอนหุ้น โดยมีหลักฐานเป็นค่าใบเสร็จอีซี่พาสชัดเจนว่านายธนาธรได้มาถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 4 โมงเย็น โดยข้อมูลในใบเสร็จอีซี่พาสระบุว่าเป็นช่วงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง และในวันที่ 8 ม.ค. นายธนาธรก็ได้นอนค้างอยู่ที่บ้าน ก่อนที่วันที่ 9 ม.ค. นายธนาธรจะได้เดินทางด้วยเครื่องบินไปทำภารกิจที่ จ.นครศรีธรรมราช ในช่วงเช้า 
    “จากการตรวจสอบข้อมูลในใบเสร็จอีซี่พาสที่พรรคอนาคตใหม่ได้เผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยสำนักข่าวอิศรานั้น พบว่าเมื่อวันที่ 8 ม.ค. ได้ใช้บัตรอีซี่พาสขาเข้าที่ด่านธัญบุรี ช่องทางที่ 14 โดยเวลาที่ผ่านด่านเก็บเงินที่ 14.57 น. ขณะที่รายชื่อของเจ้าของบัตรแม้ถูกปิดเอาไว้ แต่ก็ปรากฏว่ามีไม้หันอากาศ และตัวการันต์เป็นส่วนประกอบของชื่อด้วย จึงไม่ใช่บัตรอีซี่พาสของนายธนาธร นอกจากนั้นการเดินทางจาก อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ มายังด่านธัญบุรี ต้องใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง 27 นาที เพราะมีระยะประมาณ 402 กิโลเมตร ดังนั้นถ้าหากนำเวลา 14.57 น. ที่นายธนาธรได้เดินทางมาถึงด่านธัญบุรีหักลบด้วยเวลาเดินทาง 5.27 ชม. ก็จะพบว่านายธนาธรนั้นน่าจะออกจาก อ.สตึกประมาณ 09.30 น. แต่เมื่อนำไปเทียบเคียงกับคำชี้แจงของนายปิยบุตร จะพบว่าค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก ยกเว้นจะใช้รถแข่ง F1 ซิ่งมาเท่านั้น” นายศรีสุวรรณกล่าว
    นายศรีสุวรรณยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า ในคำแถลงของนายปิยบุตร สิ่งที่ไม่พูดถึงเลยคือหลักฐานการโอนเงินค่าซื้อขายหุ้นเข้าบัญชี คือไม่มีสเตทเมนต์ธนาคารเลย เพราะหลักฐานอื่นๆ สามารถทำปลอมได้ทั้งหมด นอกจากนั้น การโอนไปโอนมาระหว่างภรรยาของนายธนาธรให้นางสมพร แม่ของธนาธร และนางสมพรไปให้หลานอีก 2 คนนั้น ไม่ปรากฏว่ามีเช็คหรือมีหลักฐานตราสาร รวมทั้งสเตทเมนต์ของธนาคารมาแสดงให้ดูให้ครบทั้งหมดแต่อย่างใด และหลักฐานอีกประการที่ไม่นำมาโชว์คือหลักฐานการเป็นหนี้ที่แถลงว่าเป็นหนี้สูญ 10 ล้านบาทนั้นเป็นหนี้จริงหรือไม่ มีเอกสารทางบัญชี กำไร-ขาดทุน โดยผู้ตรวจสอบบัญชีมารับรองหรือไม่ มีการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วหรือไม่ เพื่อให้เป็นหนี้สูญโดยชอบด้วยกฎหมาย
เข้าข่ายผิดฟอกเงินอีก
    “ประเด็นที่นายปิยบุตรอ้างว่านางสมพรโอนหุ้นให้หลาน 2 คน เพราะบริษัทยังมีหนี้อยู่ 10 ล้านบาท ต้องการทวงหนี้ และอยากให้หลาน 2 คนเรียนรู้นั้นเป็นเรื่องเลื่อนลอย ไม่ใช่การปฏิบัติทางธุรกิจตามปกติทั่วไป เพราะการทวงหนี้เพียงให้พนักงานบริษัทธรรมดาๆ ไปทวง ทำหนังสือเรียกให้ชำระหนี้ หรือให้ทนายความยื่นโนติสก็ทำได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ถือหุ้นเป็นคนทวง ข้ออ้างของนายปิยบุตรเช่นนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล หากหลาน 2 คนอยากเรียนรู้การทวงหนี้ ก็แค่ทำหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทรับงานทวงหนี้ไปทำได้เลย” นายศรีสุวรรณกล่าว 
    นายศรีสุวรรณยังกล่าวอีกว่า นายปิยบุตรอ้างว่าเมื่อโอนหุ้นให้หลาน 2 คนไปแล้วไปทวงหนี้ พบว่าหนี้เป็น NPL ไม่สามารถชำระหนี้ได้ หลานจึงโอนหุ้นกลับให้นางสมพรเพื่อปิดบริษัท ยิ่งเป็นเรื่องไม่มีเหตุผลทางธุรกิจเช่นกัน เพราะผู้ถือหุ้นที่เหลืออยู่ก็สามารถปิดบริษัทเองได้ และจะสะดวกกว่า เพราะนางสมพรอายุมากแล้ว และประเด็นทางกฎหมายข้างต้นคือ การจะแทงหนี้สูญ หากเป็นหนี้ก้อนโตต้องฟ้องดำเนินคดีตามมาตรา 65 ทวิ (9) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกฎกระทรวงฉบับที่ 186 (พ.ศ.2534) ไม่ใช่ว่าพอลูกหนี้ผิดชำระหนี้ก็จำหน่ายเป็นหนี้สูญได้ เพราะกรมสรรพากรไม่มีทางเชื่อแน่ หรืออาจเข้าข่ายความผิดทางอาญาฐานฟอกเงินได้
    ขณะเดียวกัน ในโลกโซเชียลยังได้ตั้งคำถามกรณีนายธนาธรบึ่งรถจาก จ.บุรีรัมย์มากรุงเทพฯ เพื่อโอนหุ้นบริษัท วีลัคฯ ให้ครบกำหนดเส้นตายวันสมัคร ส.ส.ด้วยว่า ในวันดังกล่าวยังไม่มีใครรู้ว่าจะเลือกตั้งวันไหน จะสมัคร ส.ส.วันที่เท่าไหร่  เพราะพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งประกาศวันที่ 23 ม.ค.ให้สมัคร ส.ส.วันที่ 4-8 ก.พ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"