กก.ต้านโกงถอดใจ! 'ต่อตระกูล'ชงนายกฯเขี่ย'ป้อม'พ้นคตช./บางคนจ่อลาออก


เพิ่มเพื่อน    

   “ต่อตระกูล” เผยเหตุยื่นหนังสือถึง "ประยุทธ์" ปมนาฬิกาหรู หวังให้พิจารณาเอา“ประวิตร” ออกจาก คตช.ก่อนไม่ต้องรอ ป.ป.ช.ชี้มูลเพราะเป็นเรื่องจริยธรรม ย้อนนายกฯ ใช้ ม.44 โยกย้าย ขรก.มาหลายร้อยคนจึงทำได้เลย ยอมรับอนุ กก.บ่นอยากลาออก นั่งรอ 4-5 เดือนยังไม่มีประชุม ข้องใจ ป.ป.ช.ทำไม่เต็มที่ทั้งที่มีกรณี "สุพจน์ ทรัพย์ล้อม" เป็นตัวอย่าง "ประมนต์" เตือนถ้าไม่เอาจริงในการแก้ทุจริตกองหนุนมีแต่ถดถอย  
    เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ นายต่อตระกูล ยมนาค  ประธานอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติด้านการป้องกันการทุจริต ในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะประธาน คตช. ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อเรียกศรัทธาการแก้ปัญหาทุจริตกลับคืนมา จากกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม สวมใส่นาฬิกาและแหวนเพชรราคาแพง แต่ไม่ได้แสดงไว้ในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในกรณีเข้ารับตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ว่า สาเหตุที่ต้องทำหนังสือถึงนายกฯ ในฐานะประธาน คตช. เพราะตนในฐานะประธานอนุกรรมการฯ ต้องทำหน้าที่ เหมือนกับที่เราทำหน้าที่มาตลอด 3 ปี ว่ามีเรื่องอะไรที่นายกฯ ทำได้ สามารถสั่งการได้ แล้วจะช่วยในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พล.อ.ประวิตร เป็นหนึ่งในกรรมการ คตช. ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประธาน คตช. เหมือนกับนายวิษณุ เครืองาม และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวเป็นตำแหน่งที่สามารถให้ความเห็นได้ เรามองว่ามันสำคัญ
    “นายกฯ อาจจะทำเรื่องอื่นไม่ได้ แต่อย่างน้อยใน คตช. ท่านอาจจะพิจารณาหรือขอร้อง พล.อ.ประวิตรให้ลาออกได้ เพราะนายกฯ มีอำนาจตรงนี้ โดยไม่ต้องคิดว่าต้องรอให้มีการชี้มูลหรือตัดสินความผิดก่อน เพราะกรณีนี้มันเป็นเรื่องของจริยธรรมและจรรยาบรรณ เป็นสิ่งที่นายกฯ ทำได้ เพื่อเป็นตัวอย่าง ที่ผ่านมาท่านใช้มาตรา 44 ในการโยกย้ายข้าราชการที่มีแค่ข้อหาออกจากตำแหน่งมาประจำที่สำนักนายกฯ ทำไปหลายร้อยคนแล้ว ดังนั้นนายกฯ ทำได้เลย โดยการขอให้ลาออกหรือพิจารณาให้ออก เพราะตำแหน่งกรรมการ คตช.เป็นเพียงตำแหน่งเล็กๆ” นายต่อตระกูลกล่าว
    ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา นายต่อตระกูล ได้ทำหนังสือที่ คตช (อนปก)/15  ถึง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธาน คตช. เรื่องขอแสดงความกังวลต่อบทบาทของ คตช. ในสถานการณ์วิกฤติปัจจุบัน กรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ถูกตรวจสอบเรื่องนาฬิกาหรู โดยระบุว่า อนุกรรมการส่วนใหญ่รู้สึกมีความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความเลื่อมใสศรัทธาต่อ คตช.  
    ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีข่าวว่าหากนายกฯ ไม่พิจารณา อนุกรรมการหลายคนจะลาออกจากการเป็นกรรมการจริงหรือไม่ นายต่อตระกูลกล่าวว่า มีบางคนพูดกันอยู่ แต่ไม่ได้มาจากสาเหตุนี้เรื่องเดียว เพราะมันมีหลายเรื่อง ตอนนี้อนุกรรมการทุกคณะนั่งรอมา 4-5 เดือนกว่าแล้วว่าเมื่อไร คตช.จะนัดประชุม ไม่เหมือนแรกๆ ที่มีการประชุมกันทุกเดือน แต่ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมาว่างเว้นไปนาน ยอมรับว่ากรรมการต่างๆ ที่ถูกแต่งตั้งมาเคยทำงานด้านการต่อต้านคอร์รัปชันมาโดยตลอด ทำงานด้วยความลำบากใจ บรรยากาศมันต่างจากวันแรกๆ ที่พอเราเสนออะไรไปวันสองวันนายกฯ จะนำเข้าที่ประชุม ครม.ทันที เพื่อออกมาตรการต่างๆ อย่างรวดเร็ว เรียกว่านายกฯ อยากให้เร็วยิ่งกว่าคนที่อยู่ในวงการมานาน ทั้งนี้ ที่ตนทำหนังสือถึงนายกฯตั้งใจให้เป็นเรื่องภายในของผู้ที่ทำงานกับนายกฯ โดยส่งหนังสือเป็นทางการไปที่ทำเนียบรัฐบาลตามขั้นตอน ไม่ได้ต้องการให้เป็นข่าวอย่างที่ออกมา  
    นายต่อตระกูลกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ กรณีการถือครองนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เดิมทีเรานึกว่า ป.ป.ช.คงเต็มที่กับเรื่องนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เหมือนกับทำงานได้ไม่เต็มที่ ทั้งที่ความจริงการตรวจสอบกรณีไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินโดยอ้างว่ายืมมาจากเพื่อน มีกรณีของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นตัวอย่างอยู่แล้ว โดยกรณีของนายสุพจน์ นอกจากข้อหาร่ำรวยผิดปกติที่ ป.ป.ช.ชี้มูลแล้ว ในส่วนของรถโฟล์คที่นายสุพจน์อ้างว่ายืมมา ป.ป.ช. ก็ฟ้องข้อหาไม่แจ้งหนี้สินไปด้วย เพราะการยืมทรัพย์สินราคาแพงมากถือเป็นทรัพย์สินที่ต้องแจ้งทั้งหมด จะอ้างว่ายืมแล้วไม่แจ้งคงไม่ได้ และศาลฎีกาได้ตัดสินแล้วว่าข้ออ้างเรื่องยืมมารับฟังไม่ได้ ดังนั้น กรณีแบบนี้ไม่น่าจะต้องใช้เวลานาน ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช.บอกว่าปลายเดือน ก.พ.จะเสร็จสิ้น แต่ตอนนี้เหมือนว่าจะยืดเยื้อออกไปอีก
    ด้านนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ในฐานะกรรมการ คตช. กล่าวถึงกรณีนายต่อตระกูลทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ว่า ตนเห็นก๊อบปี้หนังสือดังกล่าวแล้ว ถือเป็นข้อคิดได้ว่าถ้าผู้ใหญ่ในรัฐบาลทำอะไรที่ทำให้คนมีความรู้สึกว่าไม่เอาจริงเอาจังในเรื่องนี้แล้ว จะทำให้คนที่ต้องการสนับสนุนถดถอยไปบ้าง 
    "การออกมาแสดงความชัดเจนของผู้นำรัฐบาลก็เป็นเสียงเรียกร้องของประชาชนมาตลอด ที่ไม่ใช่แค่มีใครในรัฐบาลที่ทำผิดหรือไม่ผิดอย่างเดียว แต่อยู่ที่ว่าการที่เราเป็นผู้นำการแสดงการความเป็นผู้ที่มีจริยธรรม คุณธรรมต้องสูงกว่าที่อื่น เป็นสิ่งที่คาดหวังของคนทั่วไปอยู่แล้ว ในฐานะที่ผมอยู่ในองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน มีพูดคุยและได้สะท้อนส่งสัญญาณออกไปในหลายๆ ประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว" นายประมนต์กล่าว
    ผู้สื่อข่าวถามว่า จะทำอย่างไรไม่ให้ถูกมองแม้นั่งอยู่ใน คตช. แต่ไม่ได้เลือกปฏิบัติในการตรวจสอบ นายประมนต์กล่าวว่า เราได้ส่งความคิดเห็นผ่านหลายเส้นทางไปแล้ว ทำหน้าที่อย่างเป็นกลางที่สุดในหน้าที่ที่รับผิดชอบ และบนความเหมาะสม ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ในการตรวจสอบทุจริต ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายตรงข้าม และมีหลายๆ วิธีในการออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจน ในฐานะองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ก็ได้สะท้อนเรื่องนี้ไปหลายๆ ครั้งแล้ว ถ้าอะไรที่เห็นว่าไม่สมเหตุสมผล
    เมื่อถามว่า ยังไม่ถึงขั้นต้องทบทวนบทบาทในคตช.ใช่หรือไม่ นายประมนต์กล่าวว่า คนละส่วนกัน ประเด็นการทำหน้าที่กรรมการ คตช.เป็นประโยชน์ในการใช้กรรมการชุดนั้นทำในสิ่งที่ถูกที่ต้อง ถ้ามีความคิดเห็นไม่ตรงกันในบางเรื่อง คิดว่าวิธีการแก้ไขปัญหาคงหาวิธีสื่อเป็นเรื่องๆ ไป
    ส่วนนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงผลสำรวจของ ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เรื่องดัชนีคอร์รัปชันไทยเดือนธันวาคม 2560 พบว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในยุครัฐบาล คสช.เพิ่มขึ้นถึง 37% สูงสุดในรอบ 3 ปีนับตั้งแต่ปี 2558 และคาดว่าการทุจริตคอร์รัปชันในปี 2561 จะเพิ่มขึ้นเป็น 48% ว่า นี่เป็นการสำรวจตามหลักวิชาการของนักวิชาการไม่ทราบว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้รับรายงานหรือไม่ อีกทั้งนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ ม.หอการค้าไทย ระบุว่าหลังปี 2558 อัตราการจ่ายใต้โต๊ะปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 5-15 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจปีละ 100,000-200,000 ล้านบาท งบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลปี 2560 จำนวน 2.932 ล้านล้านบาท รวมสองปีงบประมาณ เงินภาษีของประชาชนจะถูกปล้นไปถึง 291,600-874,800 ล้านบาท
    "ประชาชนรู้หรือไม่ว่ามีคนโกงเงินภาษีโดยอาศัยอำนาจของ คสช.และรัฐบาล โกงมากถึง 874,800 ล้านบาท นับว่าโกงชาติครั้งมโหฬารจำนวนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ทั้งที่ไม่มีนักการเมืองบริหารประเทศเลยแม้แต่คนเดียว มีแต่ คสช.และแม่น้ำ 5 สายผูกขาดบริหารล้วนๆ พล.อ.ประยุทธ์จะรับผิดชอบอย่างไร และจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างไร องค์กรตรวจสอบการทุจริตอย่าง ป.ป.ช.  คสช.ก็แทรกแซงส่งคนเข้าไปเป็นประธานกรรมการ ส่วน สนช.ก็ไม่กล้าตรวจสอบ เพราะกลัวไม่ได้เป็น ส.ว.สมัยหน้า เงินภาษีของประชาชนถูกโกงมากที่สุดเกือบ 900,000 ล้านบาท ในสองปีงบประมาณนี้ใครจะเป็นผู้ตรวจสอบและทวงคืนให้แก่แผ่นดิน" นายวัชระกล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"