ทำไมธนาธรต้อง 'เสียอารมณ์'


เพิ่มเพื่อน    

              ร้อนขนาดนี้.........

                แต่ฟัง "ธนาธร-ปิยบุตร" เกรี้ยวกราดตวาดใส่ "นายกฯ ประยุทธ์" และ "๗ กกต." วานซืน บอกตรงๆ

                "หนาววววแทน"!

                เพราะ ๒ กร่าง ท่านโกรธชนิดควันออกหู น่ากลั๊ว..น่ากลัวแค่เห็นในจอ ผมยังไข่หด

                โกรธในเรื่อง "ศรีสุวรรณ" ไปร้อง กกต.ให้ตรวจสอบธนาธรในประเด็น เข้าลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง

                เพราะตอนลงสมัคร ยังถือครองหุ้นสื่ออยู่

                ธนาธรบอก เรื่องนี้มีเหตุจูงใจมาจากทางการเมืองแหง!?

                ดังนั้น เขาฟ้องแน่.......

                เอาปูนหมายหัวไว้เลย ทั้งนายกฯ และ กกต.ถ้าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม

                "ความเป็นธรรม" ตามเจตนาที่เขาพูด คือ ถ้า กกต.ชี้ขาดว่าเขาผิด นั่น "ไม่เป็นธรรม"

                แต่ถ้าชี้ขาดว่าเขาไม่ผิด นั่น "เป็นธรรม"!

                รุ่นใหม่ธนาธร ตะเภาเดียวกับคิดใหม่ทักษิณเปี๊ยบเลย

                ไม่เพียงนายกฯ-กกต.เท่านั้นนะ.....

                "พี่ศรี" รวมทั้ง "สำนักข่าวอิศรา" ก็ถูกขู่อาฆาต "ฟ้องล้างแค้น" ด้วย!

                ดูธนาธรเล่นงิ้ว ปิยบุตรเล่นละครคาบาเรต์ หลังเข้าชี้แจง กกต.วานซืนแล้ว

                อาการที่ทั้งสองคนดูร้อนรน เหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้า แต่กลบความวิตกกังวลไว้ในความเกรี้ยวกราด

                นั่น...มีความน่าจะเป็นสูง......

                เจอทีเด็ดคณะไต่สวน กกต.จี้ถูกจุด "กังเหมิน" ธนาธรเข้าแล้ว

                ถึงได้ใช้ลีลาวาทะชิงนำทิศทางคดีในด้านประโยชน์ตน ฝังเป็นฐานความเข้าใจกับชาวบ้านผ่านการ "ชิงพื้นที่ข่าว" ไว้ก่อน

                ถึงขั้น ธนาธรบอก "ทำให้ผมอารมณ์เสียมาก....."

                "คดีนี้ มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองมาก เพราะแม้แต่คำถามพื้นฐานง่ายๆ ที่ถามกับคณะกรรมการฯว่า 'เราผิดตรงไหน'?

                เพราะได้ทำเอกสารชี้แจงไปแล้ว...........

                มีตรงไหนที่ กกต.ไม่เชื่อ หรือเห็นว่าพวกเรากระทำผิด?

                คำถามง่ายๆ แค่นี้ แต่คณะกรรมการฯ ไม่สามารถตอบหรือชี้แจงกับเราได้ 

                ทำให้ในการชี้แจง ไม่ใช่เป็นการถามเรื่องเหตุการณ์ แต่เถียงกันเรื่องหลักการว่าผมผิดตรงไหน  เอกสารตรงไหนผิด        หรือหลักฐานชิ้นใด ทำให้ไม่น่าเชื่อว่า การโอนหุ้นครบถ้วนสมบูรณ์ตามกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ ๘ ม.ค.๖๒

                ซึ่งคณะกรรมการฯ ไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้เลย"

                อืมมมม....ฟังแล้วกลุ้ม!

                วางตำแหน่งเป็นคนรุ่นใหม่ มือขวาเป็นดอกเตอร์อาจารย์กฎหมาย

                ธนาธรยัง "หลงผิด-หลงตัว" ขนาดนี้ ถ้าได้เข้าเป็นนายกฯ บริหารประเทศ ไม่เข้าป่า ออกทะเลไปเลยหรือ?

                คุณเป็น "ผู้ถูกกล่าวหา".....
                มีคนไปร้องเรียน ว่าตอนลงสมัครรับเลือกตั้ง ยังถือครองหุ้นสื่อ ซึ่งเข้าลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย

                กกต.เป็น "ผู้สืบสวนหรือไต่สวน"

                เขาเรียกให้คุณไปชี้แจงแสดงหลักฐานและไต่สวนตามประเด็นที่เขาร้องเรียน

                ฉะนั้น คุณมีหน้าที่ตอบคำซักถามของคณะไต่สวน กกต.

                ไม่ใช่คุณจะไปตั้งคำถามให้ กกต.เขาตอบในเรื่องที่คุณถาม

                ดังนั้น ที่คุณเบ่งสมอง-พองลูกตา "อวดสาวกส้ม" ที่ไปรายล้อมด้วยคำโตว่า.....

                "คณะกรรมการฯ ไม่สามารถตอบคำถามได้เลย" นั้น

                จะเปรียบว่าไงดี จึงจะเห็นภาพล่ะ?

                ประมาณว่า จิ้งจกตัวพ่อหล่นโถส้วม ไต่ขึ้นมากลับไปคุยอวดฝูง

                "มนุษย์มันกลัวพ่อว่ะ พอเห็นเท่านั้นแหละ ร้องกรี๊ด เผ่นแน่บเลย"

                ก็ทำนองนั้น.....

                ไม่ใช่ กกต.เขาตอบคำถามคุณไม่ได้ หากแต่เขาไม่จำเป็นต้องตอบอะไรกับคุณเลย

                คุณตะหาก คือผู้ต้องตอบคำถาม กกต.เพราะคุณเป็น "ผู้ถูกร้องเรียน" หรือผู้ถูกกล่าวหา

                ฉะนั้น ที่ธนาธรว่า "ทำให้ผมอารมณ์เสีย" นั้น

                ไม่ต่าง "ผายลมทางปาก"!

                ประเด็นมันมีอยู่แค่ว่า ณ วันที่ธนาธรนำบัญชีรายชื่อผู้สมัครเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค ไปยื่น กกต.เมื่อ ๖ ก.พ.๖๒ นั้น

                ธนาธรยังถือครองหุ้น "บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด" อยู่หรือไม่เท่านั้น?

                เพราะบริษัทนี้ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน ในเมื่อธนาธรสมัครเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์  ถ้ายังถืออยู่ ก็เข้าลักษณะต้องห้าม

                แต่ถ้าขายให้แม่ไปแล้ว เมื่อ ๘ ม.ค.๖๒ ก็นำหลักฐานไปแสดงให้ กกต.เห็นว่า

                ไม่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแล้วจริง ตามเอกสารหลักฐานทางราชการที่นำมาแสดง

                แค่นั้น ก็จบ คำร้องเรียนก็ตกไป

                เพราะธนาธรมีคุณสมบัติครบถ้วน และไม่เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้งแต่อย่างใด!

                เห็นว่า เตรียมเอกสารเป็นลังไปสำแดงต่อ กกต.ตั้ง ๒๖ รายการ จะให้คณะไต่สวนดูปุ๊บ แล้วตอบคำถามเป็นการชี้ขาดปั๊บ

                แบบนั้น ธนาธรต้องไปรายการ "ไมค์ปลดหนี้" ร้องปุ๊บ-ได้ปั๊บ

                แต่กับที่ กกต. "คณะไต่สวน" มีหน้าที่เพียงรวบรวมคำชี้แจงและนำเอกสารเหล่านั้น ส่งให้ กกต.พิจารณาวินิจฉัย

                ทราบแล้ว ธนาธรก็สงบสติอารมณ์หน่อย ไม่รู้-ไม่เข้าใจอะไร ปิยบุตรไม่ได้บอก ก็อมภูมิไว้ดีกว่า

                โพล่งๆ แบบนี้ เสียฟอร์มว่าที่นายกฯ ฟิวเจอริสตาหมด ทำให้คนเขาจับได้ว่า ที่แท้ บ่มิไก๊ อ้าปากเห็นแต่ลิ้นไก่

                มองไม่เห็น "ภูมิธนาธร" เลย!

                อยากจะบอกว่า ประเด็น ๘ ม.ค.ที่เถียงกัน ว่าธนาธรยังอยู่บุรีรัมย์ แต่ธนาธรอ้างเซ็นขายหุ้นให้แม่วันนั้น นั้น

                ไม่ต้องเถียงให้เมื่อยตุ้มหรอก ทำให้ "หลงประเด็น" กันไปเปล่าๆ

                ๘ มกรา ธนาธรจะอยู่บุรีรัมย์ หรือนั่งรถตู้เหาะมาโอนให้แม่ หรือจะเป็นวันที่ ๙, ๑๐, ๑๑, ๑๒ มกรา

                จะซื้อขาย เซ็นโอนกันวันไหน "ค่าเท่ากัน"

                ที่จับผิด-จับถูกวันที่ ๘ มกรา เป็นแค่ตกกระไดพลอยโจน "จับเท็จ" คำพูด ธนาธร ที่ระบุเอง "เรื่องวันที่" ซึ่งนอกเรื่อง-นอกประเด็น

                ยึดหลักไว้ กกต.เปิดรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.วันที่ ๔-๘ กุมภา ๖๒

                ฉะนั้น ก่อน ๔-๘ ก.พ. พ่อของฟ้า อยากถือ-อยากโอนวันไหน เชิญตามสบาย

                ไม่จำเป็นต้องเจาะจงวันที่ ๘ มกราหรอก........

                ต่อให้ ๔-๕ กุมภาก็ยังกอดหุ้นสื่อไว้ได้ หมาทั้งไม่เห่าและไม่กัด

                ธนาธรยื่นสมัคร ๖ ก.พ. .......

                ดังนั้น ๖ ก.พ.ธนาธรจะต้องไม่มีชื่อในฐานะผู้ถือหุ้นใน "บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด" แล้ว

                เห็นมั้ย........

                ไม่มีอะไรสับสน-ยุ่งยากเลย ธนาธรไม่จำเป็นต้องเสียอารมณ์

                ปิยบุตรก็ไม่จำเป็นเลกเชอร์กฎหมายหน้าจอเป็น "ขุนจ้อท่วมทุ่ง" เอะอะก็งัดกฎหมายสยายเขี้ยวขู่คนไปทั่ว

                รอแป๊บนึง.......

                แค่ กกต.เรียก "สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น" ที่เรียกกันว่า บอจ.๕ จาก "กรมพัฒนาธุรกิจการค้า" มาดู ก็จบแล้ว!

                "เอกสารหลักฐานทางราชการ" เป็นตัวชี้ขาด เพราะ บอจ.๕ นี้ แต่ละบริษัท เมื่อประชุมสามัญประจำปีแล้ว ต้องยื่นกรมพัฒนาธุรกิจการค้าทุกปี

                ใครบ้างถือหุ้น ถือคนละเท่าไหร่ จากหมายเลขหุ้นไหนถึงไหน ต้องระบุหมด

                และ บอจ.๕ นี้ แต่ละบริษัทกรอกเอง ยื่นเอง เมื่อยื่นแล้ว ถือเป็นหลักฐานทางราชการ

                ธนาธรว่าโอนวันที่ ๘ มกรา กกต.เปิด เขาก็จะรู้เองจาก บอจ.๕ ว่า หุ้นหมายเลขของธนาธรโอนให้แม่เรียบร้อยแล้วเมื่อ ๘ มกรา

                หรือในช่องวันลงทะเบียนผู้ถือหุ้น ลงโอนกันเมื่อ ๒๑ มีนา ๖๒ ตามเอกสารหลักฐานที่ "สำนักข่าวอิศรา" เปิดเผย

                หลักใหญ่มีว่า ต้องยึดรายชื่อผู้ถือหุ้นตาม บอจ.๕ เป็นยุติ

                ส่วน "สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น" เป็นเรื่องภายใน

                จะทำกันเอง เขียนกันเอง เซ็นกันเอง ระหว่างคนซื้อ-คนขาย หาใครซักคนเป็นพยานโละเมียะ ก็ทำได้ ปีละเป็นร้อยหนก็ได้

                พูดง่ายๆ "เรื่องของมึง" แต่ใช้เป็นเอกสารหลักฐานทางราชการไม่ได้

                ต่อเมื่อประชุมสามัญประจำปีแล้ว ที่กรรมการคัดลอกจากสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ลง บอจ.๕ ไปยื่นกรมฯ นั่นแหละ ตรงนี้ เป็นหลักฐานยืนยันทางราชการ!

                ประเด็นอื่น เป็นเรื่อง "หัวหมอ" ก็แถลกไถล กลบประเด็นให้ไขว้เขวกันไป เรื่องนี้ไม่ยากสำหรับ กกต.สรุปชี้ขาด

                ที่เห็นทำกันยอกย้อนซ่อนเงื่อนโดยไม่จำเป็นนั้น ต้องระวัง ใคร-บริษัทไหนก็ตาม ถ้าสร้างหลักฐานนำไปสู่ "แจ้งเท็จ"

                ระวัง "คุก"!

                เพราะอย่าลืม ถ้ามีการประชุมวิสามัญ ต้องมีหนังสือนัดประชุมไปถึงผู้ถือหุ้นล่วงหน้า ๗ วัน และหนังสือนั้น ต้องส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ

                ตบแต่งวัน "ย้อนหน้า-ย้อนหลัง" เผลอๆ ตายน้ำตื้น ตรงหลักฐาน "นัดประชุม" นี่ด้วย

                จบดีกว่า! 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"