'กษัตริย์-รัฐ-ราษฎร์' รวมใจ


เพิ่มเพื่อน    

     เป็น "มหัศจรรย์" ประจักษ์

                การเปลี่ยนถ่ายแผ่นดินที่ ๙ สู่แผ่นดินที่ ๑๐ ช่างโดดเด่น สวยงาม

                และ "สูงส่ง" ยิ่งนัก!

                แต่ละขั้นตอนพระราชพิธีทั้ง ๓ วัน (๔-๖ พ.ค.๖๒) ละเอียดซับซ้อน เกินโลกจินตนาการ

                บ่งบอกถึงไทยเป็นชาติมี "รากอารยะ" ก่อเกิดเอกลักษณ์ลุ่มลึก ยาวนาน

                ทุกขั้นตอนของพระราชพิธี ไม่ว่า การ...

                -ทรงสรงมุรธาภิเษก

                เปลี่ยนพระราชสถานะสู่ "พระมหากษัตริย์" จาก "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เป็น "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"

                -ทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎ

                ประทับบนพระราชบัลลังก์ ประกาศพระนาม และทรงประกาศพระปฐมบรมราชโองการ

                -เสด็จฯ เลียบพระนคร

                โดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค ประกาศถึงพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์ให้เป็นที่ประจักษ์ และ

                -เสด็จออก ณ สีหบัญชร ให้พสกนิกรเฝ้าชมพระบารมี และแสดงความจงรักภักดี

                ขั้นตอนในพระราชพิธีเหล่านี้ อย่าพูดถึงการกระทำเลย

                กับสังคมไร้ราก.....

                "แค่คิด" ก็ยากแล้ว!

                คุณ Kiccha Buranond โพสต์ fb ไว้น่าใคร่ครวญ ผมอ่านยังพลอยปลื้ม ขออนุญาตนำมาให้ปลื้มทั่วๆ กัน

                Kiccha Buranond

                "ขอเรียนออกนอกลู่นอกทางว่า...อาจเป็นเพราะ ผมมีโอกาสคบค้ากับผู้หลักผู้ใหญ่ชาวฝรั่งที่บ้านเราตั้งแต่ผมเป็นเด็กๆ

                จึงขอออกตัวว่า ในฐานะเป็นเด็ก อายุยังไม่ทันบรรลุนิติภาวะ ในขณะคบค้าร่วมสังสรรค์กับพวกท่าน

                ผมจึงมักจะไปนั่งเงียบๆ ไม่พูดไม่จามากนัก เพราะรอบข้าง มีก็แต่ผู้ใหญ่ฝรั่งที่คุยเก่งๆ ทั้งนั้น เรียนจากพวกท่านชาวทูตานุทูต จะมิดีกว่าหรือ

                อยู่มาวันหนึ่ง....

                ที่ห้องรับประทานอาหารที่บ้านพักของสถานทูตฝรั่งเศส ติดกับโรงแรมโอเรียนเต็ล

                ก็มีการกล่าวกันถึงว่า ไฉน (ในสมัยนั้น) อเมริกาจึงรังเกียจชาวผิวดำจากแอฟริกากันจนออกหน้าออกตา

                ชายนักทูตชาวอเมริกันท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นแขกของงาน จึงอธิบายถึงปัญหานี้แก่ทุกท่านที่โต๊ะ เป็นใจความว่า

                ...เป็นเพราะชาวอเมริกันขาว ซึ่งไปต้อนและซื้อขายชาวแอฟริกันผิวดำมาเป็นทาส เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว และอยู่กับชาวผิวดำมาจนถึงทุกวันนี้

                ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นขนบธรรมเนียม ประเพณี ไม่เคยเห็นวัฒนธรรมใดๆ ทั้งสิ้นในป่า ในเขา ของแอฟริกา

                ...ท่านว่าต่อไปว่า.....

                ในความตื้นๆ ของความเป็นคนอเมริกันทั่วๆ ไป (ซึ่งผมว่าเราทุกคนในโลกนี้ ไม่ว่าชนชาติไหน มีสิทธิ์ที่จะจมปลักอยู่ในความตื้น และแคบๆ แบบนั้น)

                เราอาจดูถูกพวกเขา ชาวผิวดำ แต่ไม่ใช่เพราะสีผิวของพวกเขาหรอกนะ

                ทั้งนี้และทั้งนั้น.....

                เพราะพวกเขา เสมือนขาดบรรพบุรุษสำคัญ

                ขาดประวัติศาสตร์ ขาดวัฒนธรรม ขาดขนบธรรมเนียมประเพณี ที่เป็นกิจจะลักษณะ เป็นงานเป็นการ เป็นพิธีรีตอง เป็นสัญลักษณ์และเอกลักษณ์ ที่เราอาจชื่นชมและเคารพนับถือ

                แล้วท่านหันมาที่ผม ซึ่งเป็นคนไทยคนเดียวที่โต๊ะอาหาร ท่านว่า.........

                'เช่น ประเทศของคุณไงครับ ทุกอย่างที่นี่น่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง...(ท่าน) ว่าประวัติศาสตร์ของยู is so  rich ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของที่นี่หรือก็สูงส่ง สวยงามมาตลอดกาลนาน'

                แล้วท่านชี้ไปที่แอนทิ้คไทยต่าง ๆ ที่ประดับสถานทูต ...ท่านว่า ยูควรภูมิใจมากนะที่ยูเป็นคนไทย ..

                'You (ไม่ใช่ผมนะครับ แต่ท่านหมายถึงประเทศไทย)...are so very special'

                ผมไม่เคยลืมคำเหล่านั้นเลย

                แต่ที่สำคัญที่สุดคือ กระทั่งตัวผมเอง ซึ่งตอนนั้นยังไม่เคยออกนอกประเทศ ไม่ได้นึกถึง ไม่ได้ตรึงใจ  ไม่ได้ใส่ใจกับประวัติศาสตร์ไทย หรือขนบธรรมเนียมประเพณีของเรามากมายนัก           

                นั่นคือ ความรู้เท่าไม่ถึงการของเราชาวไทยเช่นผมในตอนนั้น

                ความตื้น ที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า เรา take it for granted หรือเรามีกันแล้วเราไม่รู้ตัวเอาเลย มีแล้วลืมไม่เอาใจใส่ ไม่ปฏิบัติ ไม่ปลาบปลื้ม

                ความหมายง่ายๆ คือเราๆ มากหลาย ทั้งที่อยู่ที่บ้านเราและที่อยู่กันรอบโลก

                อาจลืมว่า เรามีวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีเหล่านี้ของเราจริงๆ

                และมีกันอย่างร่ำรวยอัครมหาศาลด้วยอีกต่างหาก ทุกซอกทุกมุม ทุกระบบและแบบอย่าง

                ดั่งที่เราและทั้งโลกได้ประจักษ์กันอย่างโจ่งแจ้งในวโรกาสสำคัญเช่นในระยะนี้

                ฉะนั้น เราชาวไทย ควรภูมิใจ ควรอนุรักษ์และทะนุถนอมความเป็นไทยของเราไว้ให้อยู่ยาวนานและยืนยงคงกระพันที่สุด เท่าที่จะอยู่ได้

                จงอย่าได้ทอดทิ้งความเป็นไทย ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเราเป็นอันขาด

                ไม่ว่าเราจะอยู่จะกินกันที่ไหนก็ตามทีนะครับ"

                อีกซักท่านก็ยังได้........

                คือให้ผมคุยฝ่ายเดียว มันเหมือนยัดเยียดความคิดเฉพาะตนให้คนอื่นคลื่นเหียน

                ฉะนั้น วันนี้ ขออนุญาตอีกซักราย คือจากคุณ Sakda Chaiviwat ท่านโพสต์สะท้อนมุมมองถึงพระราชพิธีไว้ ดังนี้

                Sakda Chaiviwat

                "สำหรับคนที่คิดว่าไม่ได้อะไร

                งานนี้ไทยได้เต็มๆ

                ข่าวลงทั่วโลกไม่ต้องจ่ายสักบาท ผู้คนอีกมากมายได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า 'วัฒนธรรมไทย'

                ได้เห็นสถานที่สวยงามอย่าง 'พระมหาราชวัง'

                ถนนที่ประดับไฟ และต้นไม้ สวยงาม

                นักข่าวหลายช่องมีเก็บตกสตรีทฟู้ด อาหารและขนมไทย เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว

                เห็นนักข่าวญี่ปุ่น จีน ฝรั่ง ลงทุนแต่งชุดไทยสมัยนิยมยืนรายงานข่าว ดูมีสง่า อดยิ้มไม่ได้

                ต่างชาติที่มาท่องเที่ยวไลฟ์สดกันมากมาย

                ทั่วโลก เห็นความมีรากของไทย เห็นรอยยิ้มของคนไทย เห็นความมีน้ำใจของคนไทย

                เดินมา มีคนแจกน้ำ อาหาร ผลไม้ ที่เคยต้องซื้อกิน งานนี้ทำเอางง ชี้นิ้วถาม it free?

                ไทยได้อะไร ได้ประโยชน์ไหม พีอาร์ให้คนทั่วโลกรู้จัก กระตุ้นต่อมอยากมาเที่ยวเมืองไทยได้อักโข

                งานนี้อเมซิ่งไทยแลนด์ โดยไม่ต้องใช้งบด้านพีอาร์เลยสักบาท

                งานนี้ไทยได้เต็มๆ คนคิดไม่เป็น ปากก็พร่ำไป แต่แค่จะโดนมองจากคนที่เข้าใจ แล้วก็คงตอบกลับไปว่า

                ที่พูดว่า 'งานนี้ไม่ได้อะไร' นี่โง่จริงๆ หรือโง่เพราะถูกคนอื่นเสี้ยมสอนมา

                นอกจากความสุขที่คนไทยได้รับ คนอีกมากมายหลายล้านคน

                วันนี้ ได้รู้จักประเพณีและวัฒนธรรมไทยเพิ่มมากขึ้นจากงานนี้"

                เอาล่ะ มาในส่วนทัศนะผมต่อ จากงานพระราชพิธีนี้

                ที่ตื่นตา-ตื่นใจ เป็นนิมิตหมายมงคลนำชาติ คือ

                "พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว" พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ กับประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ในความเป็น "พสกนิกร" ของพระองค์

                "สถาบันกษัตริย์-อาณาราษฎร"........

                ผนึกแน่น เป็นเนื้อเดียวกัน ได้รวดเร็ว ราบเรียบ ไร้รอยต่อ ชนิดต้องขอใช้คำว่า

                ธ ประทับอยู่หว่างกลางใจประชาชนได้เร็ว

                "เหนือคาดหมาย"!

                รวมทั้งครอบครัวแห่งพระองค์ ทั้ง "สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี"

                "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี"

                "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา"

                และ "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร"

                ตลอด ๓ วัน ดังปรากฏในพระราชพิธี ทุกพระองค์ สู่ความเป็น "อันเป็นที่รัก-เคารพ-เทิดทูน" ของประชาชน สนิทแนบแน่นใจ

                "สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี" และ "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี"

                ที่ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบ "ทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์"

                ทรงพระดำเนินในริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ในขบวนพยุหยาตราสถลมารค เมื่อวันที่ ๕ พฤษภานั้น

                ต้องบอกว่า.........

                ชนะใจประชาชน เป็นที่ปีติ ปลาบปลื้ม เอ่ยปากชื่นชมกันถ้วนทั่ว ความรู้สึกดีๆ เกิดกับประชาชนท่วมท้นใจ

                สรุป ก็คือ.........

                บัดนี้ ประเทศไทย เป็นแผ่นดิน รัชกาลที่ ๑๐ อันมี "พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว" ทรงเป็นพระมหากษัตริย์สมบูรณ์ทุกประการแล้ว

                ด้วย "พระปฐมบรมราชโองการ"

                 "เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป" นั้น

                พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงนำพาพสกนิกรของพระองค์ และประเทศชาติ สู่ความวิไล-รุ่งเรือง แน่นอน

                ขอพระองค์ทรงพระเจริญ. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"