เพิ่มโทษเสี่ยเบนซ์ 4ปี-ชนนิสิต2ศพ


เพิ่มเพื่อน    


    ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษทายาทธุรกิจพันล้านเป็นจำคุก 4 ปีไม่รอลงอาญา คดีซิ่งเบนซ์ชน 2 นิสิตปริญญาโทจนถูกไฟคลอกเสียชีวิตคารถ 2 ศพเมื่อปี 59 พ่อแม่ผู้ตายระบุต้องการทำคดีนี้ให้เป็นบรรทัดฐานทางสังคม
    เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีอาญา หมายเลขคดีดำที่ อ.1528/2559 คดีหมายเลขแดงที่ อ.2443/2560 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โจทก์ นายเจนภพ วีรพร จำเลย ในคดีนายเจนภพขับรถเบนซ์ชนรถฟอร์ด เป็นเหตุให้นายกฤษณะ ถาวร และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย ถูกไฟคลอกเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 มี.ค.2559 สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน และไม่รอลงอาญา ต่อมาฝ่าย โจทก์และโจทก์ร่วมที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นครอบครัวของ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย ได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้เพิ่มโทษจำเลย และในวันนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย นายเจนภพ วีรพร โดยแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เพิ่มโทษตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
    ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำคุกนายเจนภพ วีรพร ฐานเสพแอมเฟตามีนขับรถเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ด้วยการลงโทษจำคุก 6 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้บางส่วน เหลือลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี ไม่รอลงอาญา
    นายวิเชียร ชุบไธสง ในฐานะทนายของนายทิวากร ฮ้อแสงชัย และนางกมลรัตน์ ฮ้อแสงชัย โจทก์ร่วมที่ 3 และที่ 4 ผู้เป็นบิดามารดาของ "น้องเบนซ์" นางสาวธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย ผู้ตาย ระบุว่า ต้องการทำคดีนี้ให้เป็นบรรทัดฐานทางสังคมต่อไป
    คดีนี้ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2559 นายเจนภพ วีรพร อายุ 37 ปี ขับรถเบนซ์ ซีเอสแอล สีดำ พุ่งชนท้ายรถยนต์ฟอร์ด เฟียสต้า บนถนนพหลโยธินขาออก ช่วงใกล้แยกวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทำให้รถฟอร์ดเกิดไฟลุกไหม้รุนแรง คลอกนายกฤษณะ ถาวร และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย นิสิตปริญญาโท คณะพุทธศาสน์ สาขาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เสียชีวิตทั้งคู่ ส่วนนายเจนภพได้รับบาดเจ็บ
    สำหรับนายเจนภพ เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลัคโซติค ออโตโมทีฟ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทนำเข้ารถหรู ขณะที่ธุรกิจครอบครัวคือ “เลนโซ่กรุ๊ป” อันมีบริษัทน้อยใหญ่ในเครือมากมายนับสิบแห่ง ทั้งธุรกิจเคมีภัณฑ์ขนาดใหญ่ ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจค้าอุปกรณ์สำนักงานอัตโนมัติ อาทิ ตู้โทรศัพท์สาขาอัตโนมัติ เครื่องโทรสาร ล้อแม็ก มีรายได้รวมกันหลายพันล้านบาท
    คดีนี้ได้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมอย่างกว้างขวางถึงการทำคดีของตำรวจที่ล่าช้า และไม่มีการตรวจสารเสพติดหรือการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์หลังเกิดอุบัติเหตุทันที กระทั่งมีการโอนย้ายคดีจาก สภ.พระอินทร์ราชา ไปอยู่ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สรุปสำนวนเสนอพนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้อง
    ต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม 2560 ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยานัดฟังคำพิพากษา โดยพนักงานอัยการและโจทก์ร่วมยื่นฟ้องนายเจนภพ วีรพร จำเลยใน 7 ข้อหา คือ 1.ขับรถโดยประมาทอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สินเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ขับรถด้วยความเร็วเกินกว่ากฎหมายที่กำหนด 3.ขับรถในขณะเมาสุรา หรือเมาอย่างอื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 4.เป็นผู้ขับรถเสพยาเสพติดให้โทษ ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 5.ขับรถในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ 6.ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น และ 7.เป็นผู้ขับฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือพนักงานสอบสวนที่สั่งให้มีการทดสอบและตรวจสอบผู้ขับรถตามกฎหมาย โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ขณะที่จำเลยยอมรับสารภาพเพียง 3 ข้อหา คือ 1.ขับรถโดยประมาท 2.ขับรถด้วยความเร็ว และ 3.ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ส่วนอีก 4 ข้อหาจำเลยให้การปฏิเสธ
    ศาลมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต ตามประมาลกฎหมายอาญา มาตรา 291 มีโทษจำคุก 5 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา และเพิกถอนใบขับขี่ตลอดชีวิต ส่วนความผิดในข้อหาเมาแล้วขับ รวมถึงเสพยาเสพติด ศาลตัดสินยกฟ้อง เพราะเหตุว่ามีข้อสงสัยชั้นพนักงานสอบสวน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"