ความคิด 'ส่วนเกิน' ประชาธิปัตย์


เพิ่มเพื่อน    

 

   "พรรคประชาธิปัตย์" ปีนี้ อายุ ๗๓ ปีเต็ม

                ย่างเข้า ๗๔

                ถ้าเป็นคน ก็ต้องบอกว่าเป็น "รุ่นแรก" ในถนน "ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต"

                แต่ละย่างก้าวของคนปูนนี้

                สมควรเป็น "รอยเท้า" บอกทางให้คนรุ่นหลัง ยึดถือ "กันหลง" ได้บ้าง!

                "นายควง อภัยวงศ์" ก่อร่างสร้างตระกูล "ประชาธิปัตย์" เมื่อปี ๒๔๘๙ เพื่อลงสนามเลือกตั้งในยุค "อภิวัฒน์ประชาธิปไตย"

                ที่ "คณะราษฎร" ยึดอำนาจการปกครองไปจาก "พระมหากษัตริย์" เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๗๕

                ถึงปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๖๒ ประชาธิปัตย์เข้าสู่ รุ่นที่ ๘ แล้ว

                "นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" เป็นผู้นำรุ่นนี้

                จากเลือกตั้งภายในพรรค เมื่อ ๑๕ พ.ค.๖๒ ต่อจาก "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ที่แสดงสปิริต "ลาออก"

                ด้วยสำนึก นำพรรคแพ้เลือกตั้ง "พังคาบ้านตัวเอง"

                ประชาธิปัตย์ เป็นพรรคเดียวในประเทศ ที่มีสมาชิกพรรคมากที่สุด คือร่วม ๓ ล้านคน

                แต่ใน กทม. "เมืองหลวงประชาธิปัตย์" แท้ๆ

                ๓๐ ที่นั่ง......

                ประชาธิปัตย์ "พังหมด"!!

                บางอย่าง-บางเรื่อง ต้องพูด ต้องอธิบายขยายความ จึงจะเข้าใจ

                แต่กรณี คนกรุงเทพฯ ให้บทสำนึก โดย "ไม่เลือกประชาธิปัตย์" แม้แต่คนเดียว

                ไม่ต้องบอก ไม่ต้องอธิบายขยายความใดๆ ก็เป็นที่เข้าใจได้ชัด

                ว่า..........

                เพราะอะไร คนจึงไม่เลือกประชาธิปัตย์?

                แต่เป็นกระเง้า-กระงอด "ชั่วครั้ง-ชั่วคราว" เท่านั้น              ระหว่างพรรคอันเป็น "สถาบันการเมือง" ประเทศกับ "ประชาธิปไตยชน" ในถนนเลือกตั้ง

                ประชาธิปัตย์ เจ็บมาเยอะ

                ขณะเดียวกัน ประชาธิปัตย์ก็ ผยองมาเยอะ

                หมายถึงว่า ๗๓ ปี ของประชาธิปัตย์ มีทั้งผงาด มีทั้งล้มลุกคลุกคลาน

                แต่รวมๆ แล้ว จากรุ่นสู่รุ่น........

                แต่ละรุ่น ก่อร่างสร้างตระกูลประชาธิปัตย์เติบใหญ่ เรียกว่าเป็นปึกแผ่น มั่นคง

                เป็นเสาหลักทางการเมืองให้บ้านเมือง มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมือง

                ที่รวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี หมื่นล้าน-แสนล้าน ก็มาก ที่จน ชนิดไม่มีบ้านซุกหัว ต้องอาศัยบ้านคนอื่นเขาอยู่ ก็มี!

                รวมๆ แล้ว.........

                คนตระกูลประชาธิปัตย์ ไม่มีใคร "จนประชาธิปไตย" ในหัวใจเลยซักคน

                แต่หยุมหยิม แอบจิต คิดคับแคบ "ในหัวใจ" นั่นแค่ "วิสัยปุถุชน" น่ะ!

                คิดแล้วแปลกอยู่เรื่อง.......

                แต่ถ้าไม่คิด ก็ไม่แปลก

                คือในความเป็นตระกูลการเมืองใหญ่โตของประชาธิปัตย์ ระดับ "สถาบันการเมือง" ของประเทศ

                คิดอ่านสร้างบ้าน-สร้างเมือง เป็นรัฐบาลนำบริหารประเทศ ก็หลายครั้ง

                แต่ไม่มีผู้นำ หรือสมาชิกพรรคคนไหน........

                จะคิดหาที่-หาทาง "สร้างที่ทำการพรรค" ให้มันโอ่อ่า ภูมิฐาน กว้างขวาง สมเป็นพรรคมาตรฐาน "สถาบันการเมือง" ประเทศบ้างดอกหรือ?

                ที่ทำการพรรคปัจจุบัน "ริมซอยเศรษฐศิริ" เป็นร้านกาแฟน่ะ..ใช่

                แต่ใช้เป็นที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ ดูมัน "กระจอก" ไม่สมมาตรฐานของความเป็นพรรค "คู่บ้าน-คู่การเมือง" เลย!

                ทั้งด้านทำเลภูมิศาสตร์และภูมิสถาปัตย์ ถ้าไม่มี "แม่พระธรณีบีบมวยผม" ให้เห็นเป็นสัญลักษณ์

                มีอะไรให้ดู ให้เรียนรู้ ให้ศึกษา และมีอะไรบ่งบอกถึงพรรคสะท้อนการเมืองประเทศคู่ประชาธิปไตย จากสภาพ "พรรคร้านกาแฟ" เปิดๆ ปิดๆ ทุกวันนี้บ้าง?  

                ถ้าประชาธิปัตย์เป็นสัญลักษณ์ประชาธิปไตย ก็ต้องบอกว่า

                ประชาธิปไตย "ป่วย" ตลอดชาติ!

                เพราะพรรคซุกอยู่ข้างๆ โรงพยาบาล ถูกเงาโรงพยาบาลซึ่งสูง ๒๐-๓๐ ชั้น ทอดทับตลอดทั้งวัน

                แล้วประชาธิปไตย "ประชาธิปัตย์" จะแข็งแรง เผยอหัว-เผยอหน้า ได้อย่างไร?

                ก็กระป่อก-กระแป่ก เป็นพรรคที่เจ็บป่วยไปอย่างนี้ ที่จะกระปรี้-กระเปร่า แข็งแรง เลือกตั้งแล้วพรวดพราดเป็น "พรรคเดียว" ตั้งรัฐบาลได้

                ชาติหน้าบ่ายๆ ฝัน..ก็ยังยาก!       

                คนรวย คนหัวกะทิ คนรุ่นเก่า-รุ่นใหม่ เวิลด์ คลาส-โลว์ คลาส "ล้นพรรค"

                แต่มีใครมั้ย....?

                ที่จะนำเปลี่ยน จากคิดหยุม-คิดหยิม, คิดหยิ่งผยอง, คิดใหญ่, คิดได้-คิดเสีย, เฉพาะตน

                ไปเป็นคิดหาทำเลสร้างพรรคให้มันผึ่งผาย บ่งบอกตำนานการเมือง ให้มากกว่าเป็นร้านขายกาแฟนั่นน่ะ?    

                บางที การจุดประเด็นใหม่ๆ ในความเป็นพรรค ให้เกิดประกายเป็นความสนใจร่วม จะเป็นตัวเปลี่ยนโลกทัศน์

                เกิดมุมมองร่วมใหม่ๆ....

                สู่ยุคใหม่ของประชาธิปัตย์จริงจัง ทั้งเนื้อหาและรูปแบบขึ้นบ้างก็ได้!

                ตรรกะประชาธิปไตยในสังคมขณะนี้ กำลังก่อมิติใหม่

                "ประชาชนเป็นใหญ่" ในวรรคแรก ตามสโลแกนประชาธิปัตย์ ไม่เปลี่ยน

                แต่วรรคหลังที่ว่า "ประชาธิปไตยสุจริต" นั้น สังคมโลกยุคไอที เขาถามว่า ประชาธิปไตยคืออะไร  สุจริตคืออะไร?

                เขารู้แต่ว่า........

                โลกไร้พรมแดน จะทำอะไร ที่ไหน แบบไหน เขาเป็นคน ฉะนั้น เขามีสิทธิ์  

                เพราะยุคไอที ทุกคำตอบมนุษย์จะอยู่ที่ บิ๊ก ดาตา ที่ IOT ที่ AI อันเร็วกว่าการเดินทางของแสง

                ไม่ใช่ประชาธิปไตย-เผด็จการ, ไม่ใช่ทหาร, ไม่ใช่สถาบัน และไม่มีสุจริต-ทุจริต อันเป็นเรื่องจิตใจ

                ยุค บิ๊ก ดาตา ไม่มีจิตใจ

                มีแต่ที่...กูพอใจ!         

                ประชาธิปัตย์ ในฐานะสถาบันการเมืองประเทศ ต้องรับรู้ ตระหนัก คิดแก้-คิดนำ บนฐานรับผิดชอบด้วย "สำนึกการเมือง"

                ให้มากกว่า........

                นำความคิด, หลักการ ไปหมกมุ่นคิดแค้นอยู่กับเปลือกอารมณ์ "เผด็จการ-ประชาธิปไตย"

                แล้วตัดสินใจทำอะไรเพียงเพื่อสนองอีโก้เก็บกด เป็นวัยรุ่น อันมิใช่วัยคนผ่านร้อน-ผ่านหนาว ยาวนานถึง ๗๓ ปี พึงทำ

                แบบนั้น โลกจะนินทา.......

                รอยตีน ๗๓ ปี อีโก้ พาประเทศ "หลงทาง"!

                เก่า-ของคนเก่า นั้น.......

                "เก่า" แบบ "พระกรุ" จะมีค่า-มีราคา "คู่เมือง"

                แต่ถ้า "เก่า" แล้ว "อวดใหม่" แบบ "กางเกงในเก่า" แบบนั้นทำ "ผ้าเช็ดตีน" คนยัง "แขยงตีน"!

                ผมว่า ถึงเวลา ได้ฤกษ์งาม-ยามดี สำหรับประชาธิปัตย์ แล้วเช่นกัน ที่ "ผลเลือกตั้ง" มาสะกิดเตือน

                เตือน...

                ให้แต่ละคนในพรรค "ขัดสนิมกรุ" เสียที ก่อนจะถูกสังคมศตวรรษใหม่กลืนหาย หมดนิยม-หมดความหมาย ไปกับคำว่า "ประชาธิปไตยบริสุทธิ์" ไร้แก่นคิด

                ผมดูแนวสอนเด็กรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น-จีน ที่ให้เด็กขึ้นพูดเปิดใจ-เปิดความรู้สึกของตัวเอง ให้ผู้ปกครอง และเพื่อนนักเรียนทุกคนได้ฟัง

                เห็นว่า ประชาธิปัตย์น่านำมาประยุกต์ใช้ เพื่อ "ละลายพฤติกรรม-อีโก้-ความคิด" ของแต่ละคน

                แล้ว "หลอมรวม" เป็น "ผลึกประชาธิปัตย์" อันทรงพลังกันใหม่ จะเป็นคุณประโยชน์ทั้งคน ทั้งพรรค และทั้งสังคมชาติ

                ที่การเมืองต้องช่วยกันผดุงด้านจิตใจไว้

                ไม่ให้กระแสสังคมไอที ฉุดกระชากลาก "ความเป็นคน" ไปกิน จนหมด!

                ปิดห้อง ประชุมกัน.......

                ให้แต่ละคนขึ้นมา "เปิดอก-เปิดใจ" พูดเลย ชอบ-ไม่ชอบ, ต้องการ-ไม่ต้องการ, พอใจใคร-ไม่พอใจใคร

                ให้แต่ละคนต่างละลายพฤติกรรมแต่ละคนให้หมด เปิดใจ เทใจ พูดออกมาให้หมด

                จบจากนี้แล้ว จบ...

                ห้ามทุกคนรื้อฟื้นอะไรขึ้นมาอีก!

                ตั้งต้นเป็น "ประชาธิปัตย์" สถาบันการเมืองตัวอย่าง โตควบคู่สังคมเป็นอนาคตชาติประชาชนจริงๆ  ทั้งกายและใจและพฤติกรรม

                แบบนี้แหละ ที่เขาเรียก "สูงสุดคืนสู่สามัญ"

                ต่อไป....

                ใครก็มิกล้า "ทั้งฆ่า-ทั้งหยาม"! 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"