"หวงซาน ขุนเขาในม่านหมอก" มรดกโลกจีน


เพิ่มเพื่อน    

(นักท่องเที่ยวแห่ชมเขาหวงซาน)

    เมื่อช่วงปลายเดือนเมษา. ขณะที่บ้านเราอากาศกำลังร้อนระอุ ได้มีโอกาสหนีร้อนไปเที่ยวเมืองจีน โดยคำชวนของซีพี ออลล์ และอาศรมสยาม-จีนวิทยา ที่พาคณะสื่อมวลชนบินลัดฟ้าพาไปเยือนจีน ไฮไลต์หลักอยู่ที่ “เมืองหวงซาน” มณฑลอันฮุย แหล่งกำเนิดอารยธรรมโบราณ ที่ตั้งของภูเขาหวงซานที่ขึ้นชื่อว่าเป็นขุนเขาอัศจรรย์อันดับหนึ่งในแผ่นดิน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 5A หรือระดับ 5 ดาวของจีน ทั้งยังเป็นตัวแทนโดดเด่นทางด้านทัศนียภาพของภูเขาที่งดงามและวัฒนธรรมรุ่งโรจน์ เหมือนกับแม่น้ำแยงซี กำแพงเมืองจีนและแม่น้ำฮวงโห ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก

(ล่องเรือแม่น้ำหวงผู่ ชมวิวนครเซี่ยงไฮ้)

    วันแรกปักหลักที่เซี่ยงไฮ้ก่อน พอถึงสนามบินนานาชาติซ่างไห่ผู่ตง และกว่าผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองก็ใช้เวลาไปเกือบ 1 วันเต็มแล้ว พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว และหลังจากรับกินอาหารมื้อค่ำเสร็จก็ต่อด้วยโปรแกรมล่องเรือแม่น้ำหวงผู่ ชมบรรยากาศค่ำคืน ตึกรามบ้านช่องริมสองฝั่งแม่น้ำที่ประดับไฟสวยงาม เราใช้เวลาล่องเรือราว 1 ชั่วโมงเพื่อชมความงดงามอลังการนครเซี่ยงไฮ้ ที่ว่ากันว่าเจริญที่สุดในแดนมังกร
    สองฝั่งของแม่น้ำ ฝั่งหนึ่งเป็นฝั่งเดอะบันด์ (The Bund) แต่คนจีนเรียกว่า ว่ายทาน เป็นจุดชมวิว ฝั่งนี้เป็นสัญลักษณ์เซี่ยงไฮ้ยุคเก่า เนื่องจากเป็นเมืองอาณานิคมมาก่อนจึงมีสถาปัตยกรรมเป็นสไตล์ยุโรปโบราณและยังคงอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ที่มองเห็นก็มีอาคารธนาคาร Bank of China โรงแรม Peace Hotel อาคารสำนักงานศุลกากรและอาคารธนาคาร HSBC ฯลฯ สถาปัตยกรรมเหล่านี้แม้จะไม่ได้มาจากฝีมือสถาปนิกคนเดียวกัน และไม่ได้สร้างในยุคสมัยเดียวกัน แต่พอมองรวมๆ แล้วดูกลมกลืนกันมาก มีทั้งความทรงพลัง หรูหราอย่างบอกไม่ถูก ว่ากันว่าเรื่องราวของเดอะบันด์ก็คือ เรื่องราวของนครเซี่ยงไฮ้ ตึกทุกตึกพรรณนาถึงเซี่ยงไฮ้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเอาไว้อย่างดีเลยล่ะ เห็นแล้วก็นึกถึงหนังเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ที่โด่งดังในอดีต ซึ่งเคยมาถ่ายทำที่นี่ด้วย ส่วนอีกฝั่งเป็นฝั่งหอไข่มุก หรือฝั่งเมืองใหม่ เป็นศูนย์กลางความเจริญ สองฝั่งดูสวยงามสมกับคำกล่าวที่ว่า “นครเซี่ยงไฮ้ไม่เคยหลับใหล” ทำให้อดคิดถึงแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเราไม่ได้

(นั่งรถไฟความเร็วสูงจากเซี่ยงไฮ้สู่เมืองหวงซาน)

    วันต่อมาออกเดินทางสู่เมืองหวงซานแต่เช้าตรู่ ด้วยรถไฟความเร็วสูงจากสถานีเซี่ยงไฮ้ ถึงสถานีหวงซาน "เป่ย" ไกด์บอกว่าเป็นเส้นทางใหม่ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อช่วงปลายปี 2018 ค่าโดยสารอยู่ที่คนละ 206 หยวน หรือประมาณ 1,000 กว่าบาท สถานีรถไฟฟ้าความเร็วสูงของจีนมีการตรวจตราที่ค่อนข้างเข้มงวดมาก พอๆ กับการไปขึ้นเครื่องบินเดินทางไปต่างประเทศ ตั้งแต่การสแกนกระเป๋าเข้าสถานี มีเครื่องตรวจจับสิ่งผิดปกติ ได้ยินแว่วๆ ว่าในอนาคตการตรวจจะไฮเทคกว่าเดิม มีการนำโปรแกรมตรวจสอบใบหน้ามาใช้   ทั้งการเดินทาง การชำระเงิน
    ด้วยความเร็วของรถไฟสูงสุดอยู่ที่ 300 กม./ชม.ทำให้ใช้เวลาเพียง 3 ชม.ก็ถึงเมืองหวงซาน จากนั้นมุ่งหน้าไปยังภูเขาหวงซานในทันที ลืมบอกว่าก่อนที่จะเดินทางมาถึงที่นี่  ได้รับคู่มือนำเที่ยวที่บอกเล่าประวัติและความน่าสนใจของเซี่ยงไฮ้ หวงซาน ที่ทางอาศรมสยาม-จีนวิทยาจัดทำมาให้อย่างละเอียด

(หวงซาน ขุนเขาในม่านหมอก)

    ในคู่มือนำเที่ยวนั้นได้กล่าวถึงตำนานภูเขาหวงซานเอาไว้ว่ามีอายุมากกว่า  800 ล้านปีแล้ว มีชื่อเดิมว่า "ภูเขาอีซาน" ที่หมายถึงภูเขาดำ เนื่องจากยอดเขามีสีครามปนดำ ตั้งตระหง่านท่ามกลางทะเลหมอกเสมือนภาพวาดพู่กันจีน และได้เปลี่ยนเป็นชื่อหวงซานในสมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง ประมาณ ค.ศ.747 มีการบันทึกไว้ในหนังสือเก่าแก่ของลัทธิเต๋า สมัยราชวงศ์ถัง ภูเขาแห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญในอดีตหลายท่าน

(หลังจากลงจากกระเช้าก็แบกเป้เดินเท้าไปยังโรงแรมหวงซาน ซีไห่ ท่ามกลางฝนปรอยและหมอกหนา)

    ทางขึ้นสามารถขึ้นได้หลายทาง แต่คนจีนนิยมเดินขึ้น ไกด์บอกว่าใช้เวลาราว 3 ชม. แต่ก็มีบางคนเดินถึง 7 ชม. การนั่งกระเช้าขึ้นไปจึงเป็นทางที่สะดวกกว่า เพียงจ่าย 160 หยวน หรือประมาณ 800 กว่าบาท จะได้ตั๋วมา 2 ใบ คือตั๋วขึ้นกระเช้ากับตั๋วเข้าอุทยาน ตอนขึ้นกระเช้าไปกะว่าจะได้เห็นวิวสวยๆ แต่กลับมองไม่เห็นอะไรเลยเพราะฝนตกและหมอกหนามากเป็นสีขาวทึบมองไม่เห็นวิว รู้สึกได้เพียงแต่กระเช้าค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลาเพียง 10 นาทีก็ถึงจุดหมาย แต่ก็ไม่ใช่จุดหมายซะทีเดียว พอลงจากกระเช้ายังต้องเดินต่อไปอีกหลายกิโลเมตร ใครที่แบกกระเป๋าไม่ไหวก็ต้องใช้บริการลูกหาบ แต่ราคาแพงมากๆ ขึ้นอยู่กับน้ำหนัก บางใบ 50-80 หยวนแนะนำสะพายเป้ติดตัวจะดีกว่ามาก

(จุดชมวิวหน้าโรงแรมหวงซาน ซีไห่)

    เดินมาเกือบชั่วโมงจำไม่ได้ว่าระยะทางเท่าไหร่ น่าจะประมาณ 4-7 กม. ก็มาถึงถึงโรงแรมหวงซาน ซีไห่ จุดชมวิวและเป็นสถานที่พักผ่อนในคืนนั้น เป็นระยะทางที่ฟังดูเหมือนไม่ไกลมาก แต่เล่นเอาหอบเลยทีเดียว ลืมบอกไปว่าความสูงของพื้นที่ชมวิวภูเขาหวงซานอยู่ที่ประมาณเฉลี่ย 1,000 เมตร อาจไม่ได้ระฟ้าเท่ากับยอดเขาเหลียนฮัว หรือยอดเขาดอกบัวที่สูงถึง 1,864.8 เมตร แต่สำหรับเราถือว่าสูงมาก จนทำให้อึ้งว่ามีการสร้างโรงแรมบนนี้ได้อย่างไร ไหนจะลิฟต์ เตียงนอน อุปกรณ์ต่างๆ ที่ขนขึ้นมา แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่จีนทำไม่ได้ และไม่แปลกที่ข้าวของทุกอย่างจะแพง แม้แต่น้ำดื่มในโรงแรมไม่มีให้ฟรี ต้องซื้อและจ่ายเงินด้วยระบบ Alipay หรือ WeChat จึงเป็นสาเหตุที่ไกด์บอกให้ถือน้ำขึ้นไปเองคนละ 2-3 ขวดพอดื่ม

(อีกหนึ่งการผจญภัยบนภูเขาหวงซาน มีลอดถ้ำเล็กน้อย)

    พักผ่อนเต็มอิ่ม ตื่นเช้ามาก็มาถ่ายรูปสวยๆ ตรงจุดชมวิวหน้าโรงแรม แล้วเดินออกไปชมวิวต่อ โชคดีที่วันนี้ฟ้าเปิดหลังจากหมอกหนาทั้งวันทั้งคืน จากที่มองอะไรไม่เห็น วันนี้มองเห็นภูเขาสลับทับซ้อน เห็นหินเป็นแท่งๆ แปลกตาจำนวนมากที่ถูกธรรมชาติสร้างสรรค์โดยลม ฝน กัดกร่อนจนกลายเป็นรูปทรงที่มองแล้วจินตนาการได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหินบิน หินสิงโตชมทะเล ฯลฯ ภาพภูเขาและหินที่ว่านี้ สวยขึ้นทันตาเมื่อหมอกที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังค่อยๆ เคลื่อนตัว ลอยออกมาอย่างช้าๆ กลายเป็นทะเลหมอกสวยงาม และสิ่งที่พบเห็นเยอะสุดคือต้นสนประหลาด เพราะที่นี่สภาพอากาศและการเจริญเติบโตที่ความสูง 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป ทำให้สนมีลักษณะใบสั้น หนา ยอดต้นสนไม่แหลม เห็นทั้งสนโบราณ สนรับแขกที่ลักษณะต้นโค้งคำนับเหมือนรับแขก สนเล็บมังกรที่รากคล้ายกับเล็บมังกร สนคู่รักที่ยืนเคียงคู่กัน เขาบอกว่าที่นี่มีน้ำตก น้ำพุร้อนด้วย แต่ไกด์ไม่ได้พาไปเลยไม่เห็น ระหว่างเดิน หนทางก็เริ่มผจญภัยมากขึ้น มีลอดถ้ำนิดหน่อย มีบันไดขึ้นลงเป็นระดับ ได้ยินมาว่ามีบันไดกว่า 6 หมื่นขั้น นี่เป็นอีกความสามารถที่น่าทึ่งของคนจีนที่ช่วยกันสร้างทางที่มีทั้งลอยฟ้า ลัดเลาะริมเขา จนเราอยากจะเรียกมันว่าสกายเวย์บนเขาเลยล่ะ

(ต้นสนโบราณงดงามเหมือนดังภาพวาด มีให้ชมตลอดทางเดินบนเขา หวงซาน)

    พอเดินไปเรื่อยๆ จนเริ่มสายแล้ว นักท่องเที่ยวเริ่มหลั่งไหลเข้ามามากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน มีเกาหลีบ้าง แต่ไม่พบคนไทย การเดินเท้าลัดเลาะตามทางเดินทำเอาเหนื่อยพอควร จนท้อใจถอยกลับไปเสียก่อน แล้วก็พบว่ามีหลายคนในทริปไปไม่สุดทางเช่นกัน ส่วนหนึ่งก็อยากจะเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้เดินตอนกลับไปนั่งกระเช้าเนี่ยแหละ แอบเสียดายเล็กน้อยที่ไปไม่สุดทาง แต่คิดถูกที่เดินกลับ เพราะนักท่องเที่ยวเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ เบียดเสียดกันจนเดินยาก
    กลับจากผจญภัยชมวิวก็ต้องสะพายกระเป๋าสัมภาระออกไปขึ้นกระเช้าเหมือนตอนมา ทางกลับไม่ใช่ทางเดิมแต่วิวสวยไม่แพ้กัน ออกจะสวยกว่าตอนขึ้นมาด้วยซ้ำ เพราะมองเห็นทะเลหมอกเคลื่อนตัวระหว่างภูเขาใกล้กว่าเดิม ชวนหยุดถ่ายภาพ แต่พอถ่ายไปถ่ายมา หมอกก็เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ จนแทบมองไม่เห็นวิวอีกแล้ว สมกับที่ได้รับขนานนามว่า "ขุนเขาในม่านหมอก"  นี่แหละคือเสน่ห์ และค่อนข้างเห็นด้วยกับนักเขียนสมัยราชวงศ์หมิงท่านหนึ่งชื่อ "สวีเสียเค่อ" ที่เคยเขียนชื่นชมความสวยงามของหวงซานเอาไว้ว่า  “ภูเขาที่ใดก็สวยไม่เท่าภูเขาหวงซาน ขึ้นภูเขาหวงซานแล้วก็ไม่อยากไปภูเขาไหนในแผ่นดินอีกเลย” กับ "กลับจากภูเขาทั้ง 5 ไม่มองภูเขาอื่น กลับจากหวงซานไม่มองภูเขาทั้ง 5" ซึ่งประโยคหลังที่พูดถึงภูเขาทั้ง 5 นั้นหมายถึงภูเขาที่มีชื่อเสียงของจีน 5 แห่ง คือ เหิงซานเหนือ-ใต้ ไท่ซ่าน ฮั่วซาน ซงซาน เช่นเดียวกันกับเรา ที่มาหวงซานแล้วก็ไม่อยากไปภูเขาที่ไหนอีกเลย.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"