เมืองโบราณหวงซาน งดงามราวภาพวาดปลายพู่กัน


เพิ่มเพื่อน    

(สถาปัตยกรรมจีนสวยงามใจกลางถนนโบราณถุนซี)

    “เมืองหวงซาน” มณฑลอันฮุย อาจไม่ใช่จุดหมายหลักของคนที่เลือกจะไปเที่ยวสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นครั้งแรก เพราะส่วนใหญ่มักมุ่งหน้าไปเมืองใหญ่อย่างนครเซี่ยงไฮ้ ไม่ก็ปักกิ่ง แต่หากใครที่เคยไปจีนบ้างแล้วจะรู้ว่าประเทศนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลนัก และมีสถานที่น่าสนใจอีกเพียบ แน่นอนว่าเมืองหวงซานคือหนึ่งในนั้น
    นับว่าเมืองหวงซานมีความลึกลับพิสดารหลายประการ คือ ตั้งอยู่ที่เส้นละติจูด 30 องศาเหนือ อันเป็นละติจูดเดียวกับพีระมิดของอียิปต์และสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองแห่ง "วัฒนธรรมของโลก" "มรดกโลกทางธรรมชาติ" และ "อุทยานธรณีวิทยาโลก" 3 สิ่งในเมืองเดียวกัน เป็นเมืองที่เป็นแหล่งอารยธรรมโลกมายาวนาน จากการขุดค้นพบโบราณวัตถุทางวัฒนธรรม แล้วยังเป็นแหล่งกำเนิดวัฒนธรรมฮุยโจวอีกด้วย พูดมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะงงว่าวัฒนธรรมฮุยโจวคืออะไร ความโดดเด่นของวัฒนธรรมนี้จะปรากฏให้เห็นตามสิ่งปลูกสร้าง ไม่ว่าจะเป็นอาคาร สวน วัด ศาล ถ้ามีความใหญ่โตหรูหรา มีการแกะสลักบนไม้ อิฐ และหิน จะต้องสันนิษฐานก่อนว่าเป็นวัฒนธรรมฮุยโจว

(ถนนโบราณถุนซี ถนนคนเดินเล็กๆ ที่เมืองหวงซาน)

    ครั้งที่แล้วไปลัดเลาะรอบภูเขาหวงซานกับซีพี ออลล์ และอาศรมสยามจีน กลับลงมาจากเขาจึงไม่พลาดที่จะเที่ยวชมความเป็น "เมือง" ของหวงซานต่อ ได้ไปเดินถนนโบราณถุนซี ถนนคนเดินสายเล็กๆ ยาว 1,200 กว่าเมตร ตัดอยู่กลางเมือง เคยอ่านเจอในอินเทอร์เน็ตมีคนเคยรีวิวว่า คนไทยเรียกถนนโบราณนี้ว่า ตลาดหมึกและพู่กัน แต่ไม่ได้อธิบายว่าทำไมถึงเรียกแบบนี้ จากที่ได้เห็นมากับตาเดาว่าน่าจะเป็นเพราะมีโรงงานเล็กๆ ผลิตก้อนหมึก พู่กัน และกระดาษสีหม่น เนื้อหยาบ แบบที่ใช้เขียนภาพวาดพู่กันจีนอยู่หลายร้าน 
    ไกด์เล่าว่า จุดเด่นของถนนสายนี้อยู่ที่อาคารสองฝั่งที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยหมิง-ชิง ปัจจุบันยังมีอาคารเก่าแก่มากมายบนสองฝั่งถนนเล็กๆ ภายในอาคารแต่ละหลังปัจจุบันกลายเป็นร้านค้าขายสินค้า อาหาร ขนม รวมถึงของที่ระลึกอย่างสมุดจดปกสีน้ำเงินเย็บด้วยเชือกสีขาว ดูขลังเหมือนคัมภีร์โบราณและของเก่าแก่อีกมากมาย บางร้านก็ขายชาจีนที่มีมากมายหลายชนิด เราตามหาหม่าล่า ที่เป็นพวกเนื้อเสียบไม้รสชาติเผ็ดชา แบบที่บ้านเรากำลังฮิต เลยอยากมาลองที่จีนที่เป็นต้นตำรับ แต่ปรากฏว่าหาไม่เจอ เจอแต่ร้านขายเต้าหู้และไก่ย่างธรรมดาๆ อยู่ร้านหนึ่ง ก็เลยปล่อยผ่านไปเพราะราคาแพงกว่าบ้านเรา

(นักศึกษาจีนนั่งวาดภาพหมู่บ้านโบราณริมทะเลสาบ)

    อีกไฮไลต์เมืองหวงซานที่ไม่ควรพลาด คือหมู่บ้านหงชุน มรดกโลก หมู่บ้านโบราณเล็กๆ แห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา มีประวัติศาสตร์กว่า 800 ปี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก เมื่อ ค.ศ.2,000 หมู่บ้านนี้เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำหนังจีนสไตล์ฮอลลีวูดเรื่อง Crouching Tiger, Hidden Dragon ซึ่งคว้ารางวัลออสการ์ปี 2001 มาแล้ว ตัวหมู่บ้านตั้งห่างจากเขตภูเขาหวงซาน 35 กิโลเมตร  ในตำนานบอกว่า ด้วยความงามเฉพาะตัวตามสายธารและสระน้ำขุดดั้งเดิม ทำให้ที่นี่ได้รับสมญานามว่า “หมู่บ้านในภาพวาดระบายสีของจีน” ที่สำคัญคือที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมฮุยโจวที่ได้พูดถึงตอนแรก ในเรื่องของสิ่งปลูกสร้างที่มีความใหญ่โตหรูหรา มีการแกะสลักบนไม้ อิฐ และหินที่สวยงาม แต่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของท้องถิ่น แล้วก็เป็นสถานที่ให้ทำความเข้าใจกับประวัติศาสตร์อันเจริญรุ่งเรืองของนักธุรกิจอันฮุยในอดีต

(มุมที่สวยที่สุดอยู่ใจกลางหมู่บ้านหวงชุน สวยราวกับภาพวาด)

    ในอดีต หมู่บ้านหวงซานเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของคน "สกุลวาง" ที่หนีอัคคีภัยจากบ้านเดิมย้ายมาอยู่ที่นี่ และมองเห็นว่าบริเวณที่ตั้งหมู่บ้าน มีภูมิประเทศดี มีแหล่งน้ำดี ด้วยความเชื่อที่ว่าวัวเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง น้ำคือหลักประกันความโชคดีของลูกหลาน เลยออกแบบโครงสร้างหมู่บ้านเป็นรูปวัว โดยที่ภูเขาใกล้ๆ คือหัว ป่าตรงปากทางเข้าหมู่บ้านคือเขาวัว ส่วนตรงกลางหมู่บ้านคือลำตัว สะพานรอบหมู่บ้านซึ่งมี 4 แห่งคือขา และบึงคือกระเพาะวัว ส่วนทะเลสาบคือท้องวัว และเส้นทางน้ำที่คดเคี้ยวก็คือลำไส้ โครงสร้างแบบนี้เป็นเรื่องระบบชลประทาน ป้องกันไฟไหม้ และความสมดุลของธรรมชาติ ภายในหมู่บ้านมีคนอยู่อาศัย 140 หลังคาเรือน ที่มีทั้งบ้านคนในชุมชน วัด โรงเรียน โรงน้ำชา ซึ่งยังคงรักษาสภาพสมัยราชวงศ์หมิงและชิงไว้อย่างสมบูรณ์

(เดินเล่นลัดเลาะตามตรอกซอกซอยหมู่บ้านโบราณหงชุน)

    ภาพหงชุน หรือภาพวิวทิวทัศน์เมืองหวงซานที่เคยเห็นตามอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่เป็นภาพที่ถ่ายตอนช่วงหิมะตกซึ่งดูสวยมาก แต่หงชุนในเดือนเมษายนไม่มีหิมะให้เห็น แต่ก็ยังคงดูสวยงามไม่เปลี่ยน บริเวณหน้าหมู่บ้านมักจะมีกลุ่มนักศึกษามานั่งวาดภาพวิวทิวทัศน์หมู่บ้านอยู่ริมทะเลสาบ
    ภาพตัวบ้านสีขาว หลังคากระเบื้องซ้อนสีเทาดำ และโคมไฟสีแดงแขวนหน้าบ้านเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ เป็นสิ่งที่นักศึกษากำลังพยายามถ่ายทอด และทำให้เราเกิดความอยากรู้ขึ้นมาว่าภายในหมู่บ้านมีอะไรซ่อนอยู่ จึงเดินข้ามสะพานเข้าไปข้างในก็พบว่าผู้คนอยู่อาศัยกันตามปกติ ส่วนใหญ่ทำมาค้าขาย บ้างนำใบชามาคั่วสดๆ บ้างขายขนม บางหลังขายสินค้าของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว บางหลังขายเนื้อสัตว์ พวกขาหมู เนื้อสัตว์ตากแห้ง พืชตากแห้งไว้ ระหว่างที่เดินตามตรอกแคบที่วกวนในหมู่บ้านโบราณแห่งนี้ ก็จะพบกับอาคารโบราณต่างๆ ที่มีศิลปะการแกะสลักเสาไม้ ประตูหน้าต่าง แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษาหนานหู เฉิงจื้อถาง สถานที่พักอาศัยของพ่อค้าเกลือรายใหญ่ในสมัยนั้น เต๋ออี้ถาง อาคารที่ประตูมีหลังคาลายดอกบัวรูปพัด 16 บาน จิงเต๋อถาง ตัวแทนอาคารสมัยปลายราชวงศ์หมิงต้นราชวงศ์ชิง ฯลฯ
    พอเดินเข้ามายังใจกลางหมู่บ้านเห็นบึงแห่งหนึ่งตั้งกลางหมู่บ้าน บึงแห่งนี้ชื่อว่า "เย่ว์จ่าว" ไกด์บอกว่าเป็นมุมที่สวยที่สุด เป็นสาเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวยืนออกันอยู่ตรงนี้เพื่อรอถ่ายรูป มุมนี้ไม่ต้องใช้กล้องดีราคาหลายหมื่น แม้แต่โทรศัพท์มือถือก็ยังถ่ายออกมาได้สวยงาม บ้านที่เรียงรายได้สะท้อนเงาลงมายังบึงน้ำใส มองเห็นชัดราวกับกระจก เมื่อนำมาเทียบกับภาพที่ถ่ายตรงทางเข้าหน้าหมู่บ้านยังสู้ภาพที่อยู่ใจกลางหมู่บ้านไม่ได้ ดูยังไงภาพนี้ก็ไม่เหมือนภาพถ่าย มันเหมือนภาพที่ถ่ายจากภาพวาดสีน้ำมาอีกทีมากกว่า จึงไม่สงสัยเลยว่าทำไมชาวจีนนิยมนำภาพหมู่บ้านนี้ไปวาด แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญสถาปัตยกรรมจีน และต่างประเทศยังเรียกหงชุนว่า ไข่มุกแห่งศิลปวัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิม ขณะที่กำลังเพลินกับการเดิน ไกด์ยังบอกว่าเดินในนี้ไม่มีหลง ถ้าจะเดินกลับไปทางออกหน้าหมู่บ้านให้เดินตามสายน้ำที่ไหลไปตามร่องว่าไปทางไหน เพราะสุดท้ายจะไปบรรจบที่ทะเลสาบหน้าหมู่บ้าน

(Starbucks Reserve Roastery ที่เคยใหญ่สุดในโลก อยู่กลางแหล่งความเจริญนครเซี่ยงไฮ้)

    หลังจากเที่ยวชมเมืองโบราณหวงซาน ซึมซับธรรมชาติและวัฒนธรรมแล้ว ใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง ด้วยการนั่งรถไฟความเร็วสูงเดินทางเข้าสู่นครเซี่ยงไฮ้ จากสถานีหวงซานสู่สถานีเซี่ยงไฮ้หงเฉียว เพื่อซึมซับความเจริญของจีนที่เหมือนอีกโลกหนึ่ง หลังจากได้ทานมื้อค่ำกันจนอิ่ม ณ ภัตตาคารแห่งหนึ่ง ก็ได้ไป Starbucks Reserve Roastery เป็นสตาร์บัคส์ สาขาที่เคยใหญ่ที่สุดในโลกมาก่อนด้วยพื้นที่ 2 ชั้น รวม 29,000 ตารางฟุต หรือประมาณสนามฟุตบอล 1 สนาม ที่บอกว่าเคยใหญ่ เพราะตอนนี้โดนสาขาที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่นแซงหน้าไปแล้วเมื่อไม่กี่เดือนก่อนด้วย พื้นที่ 32,000 ตารางฟุต ส่วนสาขาที่เซี่ยงไฮ้ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับย่านนานกิง  ใจกลางแหล่งความเจริญของเซี่ยงไฮ้ จึงไม่ค่อยแปลกตาที่จะพบว่าพื้นที่นี้เต็มไปด้วยผู้คนแต่งตัวดี มาร่วมใช้พื้นที่เพื่อพบปะและพูดคุยเรื่องต่างๆ กันผ่านเครื่องดื่มกาแฟ ชา และขนมเบเกอรี่อร่อยๆ ความพิเศษของที่นี่คือมีพนักงานกว่า 400 คน และใช้ระบบ AR มีทั้ง Roasting Area เป็นบริเวณที่โชว์การคั่วเมล็ดกาแฟมาใช้ในร้านแบบทันที ทุกครั้งที่เปิดเครื่องจะมีเสียงดูดเมล็ดขึ้นไปด้านบน เป็นอะไรที่ทุกคนต้องสนใจ หยุดถ่ายรูปกันทุกคน และ Pairing Bar ให้ลองกับช็อกโกแลต และยังมีการสกัดใบชาด้วยไนโตรเจนแบบไอน้ำ ที่สำคัญสาขานี้มีบาร์จิบกาแฟถึง 88 ฟุต คณะทัวร์ของเราสั่งกาแฟ เครื่องดื่มอุ่นๆ ขนมมาขบเคี้ยวกัน บางคนก็เดินชมความใหญ่โตของสตาร์บัคส์ ซื้อของที่ระลึก

(ยอดตึกเซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ตึกสูงรูปทรงกระบอกบิดเป็นเกลียว ถูกบดบังด้วยหมอก)

    มาเซี่ยงไฮ้ทั้งทีจะไม่ไปแลนด์มาร์คอย่างเซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ไม่ได้ เพราะเป็นตึกที่สูงที่สุดในกลุ่มตึกที่ติดกัน 3 หลังในเขตผู่ตง อีกสองตึกคือ จินเหมาทาวเวอร์ และศูนย์การเงินโลกเซี่ยงไฮ้ ตึกสูงรูปทรงกระบอกที่บิดเป็นเกลียวนี้ ว่ากันว่าเคยเป็นตึกสูงที่สุดของโลกในปี 2016 ด้วยความสูงชะลูดถึง 632 เมตร จำนวน 128 ชั้น แต่ปัจจุบันตกมาตำแหน่งที่ 2 เพราะอันดับ 1 ตอนนี้คือ บูร์จคาลิฟา เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีความสูง 700 เมตร ที่เซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ขึ้นชื่อเรื่องลิฟต์เร็วที่สุด เลยต้องพิสูจน์โดยการขึ้นไปชมวิวชั้น 118 ก็ได้เห็นว่าความเร็วลิฟต์อยู่ที่ 18-20.5 ชั้น/วินาที โดยรวมเวลาที่ใช้ขึ้นไปดูวิวบนชั้นนั้น อยู่ที่ 51 วินาที ทำเอาหูอื้อไปข้างหนึ่ง และไปถึงก็กะว่าจะชมวิวนครเซี่ยงไฮ้แบบ 360 องศา แต่ปรากฏว่าหมอกหนามาก ไม่เห็นอะไรเลย เพราะวันนั้นฝนตกปรอยๆ เป็นทริปที่เจอหมอกตลอดเวลา เลยพากันไปช็อปปิ้งที่ช็อปขายสินค้าของฝากที่เป็นสัญลักษณ์เซี่ยงไฮ้กลับบ้านแทน.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"