
เผลอแป๊บเดียวเข้าสู่ครึ่งหลังของปี 2562 กันแล้ว ดูโดยรวมประเทศไทย หรือดูแบบเผินๆ ยังไม่ค่อยมีหน้าเป็นห่วง เพราะหลังจากที่ผ่านการเลือกตั้ง ผ่านการคัดสรรบุคคลที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเข้ามาบริหารประเทศแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะเศรษฐกิจของบ้านเราจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งนักลงทุนต่างก็เฝ้ารอ เฝ้าลุ้นกันว่า การเลือกตั้ง การฟอร์มทีมรัฐบาลชุดใหม่ จะแล้วเสร็จและเริ่มบริหารประเทศได้เมื่อไร???
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้แม้เราจะได้นายกรัฐมนตรีมาแล้ว ในเบื้องต้นเชื่อว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับเหล่านักลงทุน ผู้ประกอบการภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศให้มีกำลังใจที่พร้อมจะเริ่มดำเนินการลงทุน เพื่อเป็นการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของไทยได้เดินหน้าต่อไปได้อย่างที่ควรจะเป็น และ เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนรอคอยกับความหวังที่ได้คาดหมายจากการเลือกตั้งในครั้งนี้
แต่ทั้งนี้ หากเรามองเฉพาะแค่ในประเทศเราเองนั้น ก็อาจจะมองว่าเศรษฐกิจยังเดินหน้า แม้จะมีปัญหาภายในมากระทบให้นักลงทุนตื่นเต้นเป็นบางครั้ง ทั้งนี้ หากมองจริงๆ แล้ว ไม่ใช่แค่มีปัจจัยภายในประเทศอย่างเดียวเท่านั้นที่มีสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในบ้านเรา เพราะยังมีปัญหาจากปัจจัยภายนอก ที่มาจากเศรษฐกิจโลกที่ทุกวันนี้ยังคงมีปัญหาและสร้างความผันผวนต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัญหาสงครามการค้า หรือเทรดวอร์ ระหว่างสหรัฐกับจีน ที่ทุกวันนี้ยังคงยืดเยื้อสร้างผลกระทบไปทั่วโลก
และด้วยเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง เป็นที่แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) ได้แสดงความคิดเห็นของเศรษฐกิจไทยว่า เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างชัดเจนในไตรมาสแรก โดยเฉพาะในภาคต่างประเทศ ซึ่งการส่งออกสินค้าและบริการที่แท้จริงหดตัวลง 4.9% และมีส่วนสำคัญที่ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ติดลบค่อนข้างมาก
รวมไปถึงยังเป็นตัวฉุดรั้งให้จีดีพีของประเทศ ดังนั้น ปัจจัยที่จะเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจในปี 2562 จึงจำเป็นต้องพึ่งการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยคาดการณ์จีดีพีปี 2562 ไว้ที่ 3.3% ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ออกมาปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจลงมาอยู่ที่ 3.1% จากเดิม 3.7% โดยมีปัจจัยจากสงครามการค้า และรวมถึงผลกระทบจากข้อพิพาทการค้า โดยเฉพาะปริมาณการส่งสินค้าชั้นต้นและชั้นกลางไปยังจีนที่หดตัวลงมาก
ขณะที่สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ได้ออกมาระบุถึงสถานการณ์การส่งออกเดือนพฤษภาคม 2562 มีมูลค่า 21,017.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -5.8% ส่งผลให้การส่งออกในช่วง 5 เดือน ที่ผ่านมา (ม.ค.-พ.ค.) มีมูลค่ารวม 101,561 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -2.7% คิดเป็นมูลค่าการส่งออกในรูปเงินบาทที่ 3,204,470 ล้านบาท หดตัว -2.3% ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 100,830 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -1.0% หรือคิดเป็นมูลค่า 3,229,146 ล้านบาท หดตัว -0.5% ทั้งนี้ สรท.ก็ได้มีการปรับคาดการณ์การส่งออกในปี 2562 เติบโตลดลง -1-0%
โดย สรท.ให้เหตุผลถึงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้การส่งออกลดลง มาจากความผันผวนของค่าเงินบาท มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งไม่สอดคล้องกันสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน และความไม่ชัดเจนในการดำเนินนโยบายเพื่อจัดการอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารแห่งประเทศไทยและภาครัฐ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสำคัญที่น่าจับตาในระยะต่อไป โดยปัจจัยที่น่าติดตามข้อแรกคือ สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ที่อาจเพิ่มความรุนแรงได้อีก
ในส่วนของการส่งออกข้าวของไทยก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ซึ่งจากการรายงานของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยระบุว่า การส่งออกข้าวไทยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-พฤษภาคม) มีปริมาณ 3,779,313 ตัน มูลค่า 62,418 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1,975.2 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยปริมาณส่งออกลดลง 14.8% และมูลค่าลดลง 12.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มีการส่งออกปริมาณ 4,437,335 ตัน มูลค่า 71,177.2 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2,262.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ในปี 2562 นี้ การส่งออกของไทย ยังจะต้องเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยปัจจัยที่น่าติดตามข้อแรกคือ สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ที่อาจเพิ่มความรุนแรงได้อีก รวมไปถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพราะในปัจจุบันนี้ค่าบาทของไทยยังคงแข็งค่าอยู่ คงต้องลุ้นกันต่อไปยาวๆ ว่าการส่งออกของไทยจะ "รุ่งหรือร่วง".
ศรยุทธ เทียนสี
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |