ครม.ใหม่ถวายสัตย์ฯกลางเดือนนี้


เพิ่มเพื่อน    

 ครม.ประยุทธ์ประชุมอำลาแล้ว ก่อนถ่ายรูปทิ้งทวนเป็นที่ระลึก “บิ๊กตู่” ย้ำถวายสัตย์ปฏิญาณกลางเดือนนี้แน่ เตรียมปฐมนิเทศรัฐมนตรีชุดใหม่ แจงพร้อมนำนโยบายทุกค่ายมามัดรวม เพราะเป็นรัฐบาลของคนทั้งประเทศ สนธิรัตน์ชี้นโยบายร่างแรกเสร็จแล้ว เตรียมถกพรรคร่วมวางคิวความสำคัญ “ลุงตู่-ลุงป้อม” ประสานเสียงไม่สนใจแม้ววางมือ

เมื่อวันอังคารที่ 9 ก.ค. ถือเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งสุดท้าย โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่าไม่ได้มีการสั่งการอะไรเป็นพิเศษ 
    ทั้งนี้ เมื่อถามว่ารอเจอหน้ากันตอน ครม.ชุดหน้าเลยหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่ทราบ แต่วันนี้ได้มีการถ่ายรูป ครม.ร่วมกัน ส่วนงานของ ครม.ชุดปัจจุบันยังมีอะไรที่ไม่สำเร็จ และต้องสานต่อใน ครม.ชุดหน้าหรือไม่นั้น ก็ไม่ทราบ ต้องไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 
    นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า ในที่ประชุม พล.อ.ประยุทธ์ได้อวยพรให้ทุกคนไปทำหน้าที่ที่ตัวเองตั้งเป้าหมายไว้ พร้อมกล่าวขอบคุณทุกคนที่ได้อยู่ร่วมกันมาตลอด และบอกว่าหากใครมีปัญหาอะไรก็สามารถโทรศัพท์มาพูดคุยปรึกษาหารือได้ ซึ่งทุกคนต่างยกมือไหว้อำลา ก่อนที่นายกฯ จะชวนทุกคนไปถ่ายภาพหมู่ร่วมกันเป็นที่ระลึก พร้อมมอบเหรียญเงินรัชกาลที่ 10 ที่จัดทำโดยสำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์
    ด้าน พ.อ.หญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า นายกฯ กล่าวขอบคุณและบอกว่ารัฐบาลเป็นรัฐบาลของปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ของใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ถึงแม้ต่อไปไม่ได้ทำงานให้ ครม.แล้ว แต่ทุกคนสามารถช่วยเป็นที่ปรึกษาให้นายกฯ ได้ตลอด มีอะไรก็เสนอแนะเข้ามา โดยในวันนี้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และ น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ ได้ลาประชุม จึงเหลือรัฐมนตรีร่วมประชุมและถ่ายภาพร่วมกันทั้งสิ้น 15 คน
    ต่อมาเวลา 12.15 น. พล.อ.ประยุทธ์แถลงภายหลังการประชุม ครม.นัดสุดท้ายว่า หลายคนคงอยากถามว่าจะมีการโปรดเกล้าฯ รายชื่อ ครม.ชุดใหม่เมื่อใด ขอให้ใจเย็นๆ นิดหนึ่ง เพราะคงเร็วๆ นี้ ส่วนขั้นตอนต่อไปจะเป็นการทำเรื่อง ขอวันเวลาในการเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ เชื่อว่าคงไม่เกินกลางเดือนนี้ ขอยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของรัฐบาล
    “หลังจากเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณแล้ว ผมตั้งใจคุยกับคณะรัฐมนตรีสักครั้งหนึ่งก่อน เหมือนการปฐมนิเทศ พบปะหารือ โดยวางแผนไว้ว่าหลังพิธีเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ข้อสำคัญต้องพิจารณาร่วมกันในเรื่องนโยบายของรัฐบาล” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ใช้นโยบายทุกพรรค
นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้ได้มีการหารือเรื่องนโยบายในระดับของพรรคการเมืองต่างๆ ไปบ้างแล้วว่าจะมีความสอดคล้องกันอย่างไร ไม่ใช่เขียนแค่ของตัวเองอย่างเดียว ซึ่งทำไม่ได้ ต้องเป็นนโยบายของพรรคการเมืองทั้งหมด โดยให้เอานโยบายของพรรคฝ่ายค้านมาดูด้วยว่ามีเรื่องใดที่ตรงกันบ้าง ซึ่งบางอย่างก็ทำไปบ้างแล้ว แต่อาจได้ไม่มากเท่าที่ต้องการ หรือที่หาเสียงกันมา ซึ่งก็เห็นใจอยู่ แต่เมื่อเราเป็นรัฐบาลแล้วทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบวงเงินงบประมาณ เพราะเรามีหลายพรรคการเมืองที่รวมกัน เชื่อมั่นว่าทุกพรรคการเมืองรักชาติและประชาชน
    “วันนี้ยืนยันว่าได้เอานโยบายของทุกพรรคมาดู ทั้งของพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพราะถือว่ารัฐบาลเป็นของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งต้องดูแลเรื่องเหล่านี้ให้ทั่วถึงและเป็นธรรม ที่สำคัญที่สุด จะทำอย่างไรให้งบที่ใช้จ่ายด้านบุคลากรนั้นน้อยลง จึงได้สั่งการให้ ก.พ.และ ก.พ.ร.ไปพิจารณาแผนบรรจุข้าราชการประจำปีใหม่” นายกฯ ระบุ
    พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงการวิจารณ์ว่าการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าส่งผลต่อนโยบายนั้น ยืนยันว่าไม่มีผลอะไร เพราะได้เตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว หน่วยงานต่างๆ สามารถใช้งบประมาณปี 2562 ได้ก่อน เพราะมีการตั้งงบประมาณไว้ไม่เกิน 50% ของวงเงินงบประมาณปี 2562 ทั้งนี้ ไม่ห่วงว่าฝ่ายค้านจะตีรวนเรื่องดังกล่าว เพราะคนที่จะเสียผลประโยชน์คือประเทศและประชาชน ดังนั้นใครที่คิดจะตีรวนในเรื่องนี้ขอให้ใคร่ครวญให้ดี และอยากบอกประชาชนว่า ทุกอย่างจะทำไม่ได้ทั้งหมด ถ้างบประมาณไม่ผ่าน จึงขอให้คำนึงผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เป็นประเด็นทางการเมืองมากนัก
    เมื่อถามว่ารู้สึกเหนื่อยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่เหนื่อย ชินแล้ว ผ่านมา 5 ปีแล้ว ถ้าจะมีก็ใจนี่แหละ เพราะอยากทำงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และคิดว่าได้ทำเต็มที่แล้ว ที่สำคัญคนไทยด้วยกันเองต้องคำนึงถึงการพูดและการแสดงความคิดเห็น ทั้งในและต่างประเทศต้องนึกถึงคำว่าประเทศไทย เพราะเราเป็นประเทศอิสระมาช้านาน ไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยวในกระบวนการภายในของเรา โดยเฉพาะข้อกฎหมาย ถ้ามันใช่ ก็พอรับได้ แต่ถ้าไม่ใช่ แล้วพูดในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง บิดเบือน ก็อย่าทำให้ประเทศเสียหาย ทำให้ความเชื่อมั่นลดน้อยลง
    “วันนี้เราได้รับการยอมรับจากต่างประเทศพอสมควร เพราะเห็นจากผลงานและการปฏิบัติหน้าที่มาตลอด 5 ปี หลายอย่างเราทำได้ดี ถือเป็นการปฏิรูปที่ไม่ได้รับการแก้ไขมานาน ต่างประเทศเขาพอใจตรงนี้ แต่คนของเราเองอาจไม่เข้าใจว่ามีการปฏิรูปแล้วหรือยัง เพราะการปฏิรูปการเมืองไม่ใช่รัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของพรรคการเมืองและนักการเมืองต้องมีการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพของตัวเองด้วย ขอร้องว่าอย่าใช้เวทีสภามาเป็นเรื่องด้อยค่าหรือล้มรัฐบาล ขอให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและประชาชน เพราะถือว่าสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ทุกอย่างก็พัฒนาต่อไปไม่ได้ การที่รัฐบาลกำหนดกรอบยุทธศาสตร์ประเทศด้านต่างๆ นั้น ไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ แต่สืบทอดการแก้ไขปัญหาที่ทุกคนมีส่วนร่วม” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธตอบคำถามหลังเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณจะแถลงนโยบายได้เมื่อใด 
    ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะทำงานประสานงานพรรคร่วมในการจัดทำนโยบายรัฐบาล กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดทำร่างนโยบายว่า ร่างแรกเสร็จแล้ว และ 1-2 วันจะนำเข้าที่ประชุมพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อหารือให้นโยบายนำมาปฏิบัติได้จริง ซึ่งทุกนโยบายไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ รวมไปถึงนโยบายกัญชาเสรี ต้องพูดคุยให้เห็นพ้องร่วมกันในรัฐบาล 
    “เมื่อเราหารือกับพรรคร่วมเสร็จได้นโยบายร่วมกันแล้ว ได้งบประมาณที่จะนำไปใช้แล้ว ก็จะนำไปสู่แผนปฏิบัติการ เรียงลำดับว่าอะไรจะเป็นเรื่องเร่งด่วนของพรรคของรัฐบาลที่จะทำ เร็วๆ นี้น่าจะได้กรอบทั้งหมด” นายสนธิรัตน์กล่าว
     ต่อมาเวลา 13.45 น. ที่พรรค พปชร. นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรค พปชร. หนึ่งในทีมทำงานร่างนโยบายรัฐ รับข้อเสนอจากตัวแทนพรรคประชาธิปไตยใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่สอดคล้องกับนโยบายของพรรค โดยนายกอบศักดิ์กล่าวขอบคุณในข้อเสนอของพรรคร่วม และระบุว่าพรรคจะนำไปพิจารณาต่อไป
สนธิรัตน์จูบปากสามมิตร
    วันเดียวกัน ยังคงมีความเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะปัญหารอยร้าวในพรรค พปชร. ซึ่งบรรยากาศในการประชุม ส.ส.ประจำสัปดาห์เป็นไปอย่างชื่นมื่น ต่างจากสัปดาห์ก่อนอย่างมาก โดยก่อนการประชุม นายสนธิรัตน์ได้เข้าไปพูดคุยกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ส.ส.บัญชีรายชื่อ แกนนำกลุ่มสามมิตร ซึ่งคาดว่าจะปรับความเข้าใจกันหลังเกิดข้อพิพาทเรื่องโควตา รวมถึงการขับไล่ให้พ้นเก้าอี้เลขาฯ พรรค
    นอกจากนั้น การปรากฏตัวของนายสนธิรัตน์ ยังถือเป็นครั้งแรกในรอบ 2 สัปดาห์ที่มีปัญหาเรื่องโควตา และการล่าชื่อขับไล่ โดยนายสนธิรัตน์ระบุว่า ไม่มีอะไรชี้แจง เรื่องก็ไม่มีอะไร เป็นเรื่องปกติในการทำงาน ที่มีสมาชิกหลากหลาย มีอะไรก็รับฟังกัน ถือเป็นเรื่องในบ้าน ไม่มีอะไร
    ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมองหน้ากันได้ตามปกติหรือไม่ นายสนธิรัตน์กล่าวว่า มองได้ตามปกติ คนทำงานกันก็คุยกัน ไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างจบไปหมดแล้ว  เมื่อถามย้ำว่าได้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัวกับคนที่มีปัญหาด้วยหรือไม่ นายสนธิรัตน์กล่าวว่า คุยกันแล้วไม่ต้องห่วง และเมื่อถามถึงกระแสข่าวการปรับโครงสร้างคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ยังไม่ทราบ ข่าวก็มีมาตลอดเวลา ในส่วนของตนเองยืนยันว่ายังทำงานได้ และยังทำอยู่ทั้งการประสานนโยบายก็ยังทำ
    เมื่อถามถึงความชัดเจนของบุคคลที่เป็นรัฐมนตรีต้องลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะสรุปให้ชัดในการประชุม ส.ส.เลยหรือไม่ นายสนธิรัตน์กล่าวว่า จะเริ่มหารือกัน ทุกอย่างต้องทำเป็นขั้นตอน เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายใน ไม่ยากอะไร อย่ากังวลใจ แต่ละพรรคมีวิธีการทำงานไม่เหมือนกัน ส่วนตำแหน่งข้าราชการทางการเมืองอื่นๆ ยังไม่ถึงเวลาพิจารณา เพราะยังไม่โปรดเกล้าฯ ครม.ลงมา 
          สำหรับกรณีการส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยคุณสมบัติของ พล.อ.ประยุทธ์สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เหตุเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่นั้น นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า นายวิษณุอธิบายบิดเบือนมาตลอดว่า คสช.ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ใช่หน่วยงานบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งผิดถนัด เพราะหลักฐานที่ควรพิจารณาโยงไปว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่ 1. พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งหัวหน้า คสช.  และ 2.คำสั่งของ คสช.ที่ออกมาทั้งหมดเป็นคำสั่งในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งหมด ดังนั้นจึงเสนอหลักฐานทั้งสองอย่างนี้ให้สังคมและนายวิษณุนำไปพิจารณา
          นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียง พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวเช่นกันว่า นายวิษณุพูดเหมือนรู้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญล่วงหน้า หรือต้องการชี้นำคำวินิจฉัยกรณีความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐของ พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ เพราะการอ้างมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยจงใจไม่พูดถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ชี้ชัดว่าหัวหน้า คสช.เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้พฤติกรรมของนายวิษณุมีเหตุอันควรสงสัย ทั้งนี้ แม้ กกต.จะเป็นองค์กรที่มีอำนาจเต็มในการพิจารณาคุณสมบัติผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ แต่เมื่อบางประเด็นในข้อวินิจฉัยดังกล่าวขัดหรือแย้งกับคำพิพากษาศาลฎีกา ไม่ถือว่าเป็นเหตุอันควรสงสัยเลยหรือ
          “ถ้ามติ กกต.ถือเป็นที่สุดก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่ทุกอย่างต้องไปจบที่ศาล แล้วคำพิพากษาศาลฎีกาจะถูกเพิกเฉย ไม่แม้แต่จะนำมาสงสัยได้อย่างไร ถ้าพูดให้ถึงที่สุดการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. ยิ่งมีเหตุอันควรสงสัย ทั้งเรื่องแบ่งเขต สูตรคำนวณคะแนน ความล่าช้าเรื่องการเปิดผลคะแนนแต่ละหน่วย แม้กระทั่งการพิจารณาข้อร้องเรียนต่างๆ ดูเหมือนว่าฝ่ายเสียประโยชน์จะอยู่ตรงข้ามรัฐบาล ส่วนที่ได้ประโยชน์คือฝ่ายสืบทอดอำนาจหรือไม่” นายณัฐวุฒิกล่าว
“พี่ป้อม-น้องตู่”เมินแม้ว
ขณะที่นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ส่งเรื่องขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาและมีความเห็นเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีเห็นว่าการประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกฯ เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 159 วรรคสองหรือไม่ ว่าเรื่องนี้มีการอ้างถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือรัฐสภา ซึ่งต้องฟังข้อเท็จจริงและความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน จึงจะมีหนังสือไปยังประธานรัฐสภาเพื่อขอให้ชี้แจงกลับมา ซึ่งปกติผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะให้ชี้แจงกลับมาภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับหนังสือ
          วันเดียวกัน ยังมีการแสดงความคิดเห็นถึงกระแสข่าวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะวางมือทางการเมือง โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ไปถามเขาสิ”
    พล.อ.ประวิตรกล่าวทำนองเดียวกันว่า ต้องไปถามนายทักษิณ ถามตนเองคงไม่รู้ 
    ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายทักษิณวางมือจริง จะส่งผลดีต่อทางการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า ท่านอยู่ต่างประเทศ ความจริงก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรอยู่แล้ว ส่วนจะมีตัวแทนที่จะเดินเกมทางการเมืองต่อหรือไม่นั้น ไม่ทราบ
    และเมื่อย้ำถามว่า หากนายทักษิณต้องการซุ่มเงียบเพื่อหวังที่จะเดินเป็นเกมทางการเมืองต่ออย่างลับๆ หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่ทราบ สื่อคิดอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้นแหละ และเมื่อถามอีกครั้งว่า คิดว่านายทักษิณจะวางมือทางเกมการเมืองจริงหรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ไม่เคยคิดว่านายทักษิณจะวางมือหรือไม่วางมือ เพราะไม่เกี่ยวกับตนเอง ทั้งนี้ เมื่อถามว่าแล้ว พล.อ.ประวิตรจะวางมือด้วยหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวเช่นกันว่า ไม่ทราบ. 
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"