‘สมคิด’เชื่อทีมศก.ไร้ปัญหาเอกชนเต้นบาทแข็งพ่นพิษ


เพิ่มเพื่อน    

 

"สมคิด" มั่นใจทีมเศรษฐกิจ ครม.ใหม่ไร้ปัญหา พรรคร่วมทำงานด้วยกันได้ ยันประคอง ศก.ไม่ให้ถดถอยกว่านี้ บาทแข็งพ่นพิษ! กกร.หั่นเป้าส่งออก-ปรับลดจีดีพี จ่อหารือผู้ว่าการ ธปท.เร่งออกมาตรการชะลอ

    เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ไม่อยากให้ทุกฝ่ายกังวลเกินกว่าเหตุในการจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล เนื่องจากเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีเป้าหมายทำงานเพื่อประเทศชาติ และเชื่ออีกว่าจะสามารถทำงานร่วมกันได้ปกติ เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจทุกพรรคใกล้เคียงกันอยู่แล้วที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนฐานราก โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้กำกับดูแลทั้งหมด พร้อมทั้งยังได้สั่งการให้ไปหารือกับพรรคร่วม ในการจัดทำร่างนโยบายรัฐบาลเพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร
    “อย่ากังวลเกินกว่าเหตุว่ารัฐบาลพรรคร่วมแล้วจะทำงานด้วยกันไม่ได้ ซึ่งเมื่อมี ครม.ชุดใหม่ออกมา ทุกอย่างก็จะเดินไปข้างหน้า และขอให้มีการแสดงความคิดเห็นต่อทีมเศรษฐกิจชุดใหม่น้อยลงหน่อย ผมเป็นคนไม่มีพรรค แต่ผมมีพวก ทุกอย่างที่ทำมา ก็ทำเพื่อบ้านเมืองทั้งนั้น” นายสมคิดระบุ
    นายสมคิดกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยตอนนี้เจอปัญหา 2 เด้ง คือ 1.ปัญหาการเมืองในประเทศ และ 2.ปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งจะกระทบกับการส่งออก การลงทุน และการท่องเที่ยว แต่เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นทั่วโลก เราต้องพยายามยืนหยัดผ่านไปให้ได้ โดยพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่น ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ใช้ได้ และการที่ได้นายกรัฐมนตรีคนเดิม นโยบายด้านเศรษฐกิจคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) จะเปลี่ยนไม่ได้ เพราะถือเป็นเครื่องหมายการค้าของประเทศไทยไปแล้ว ถ้าทำลายทิ้ง ก็ถือว่าไม่โง่ก็บ้าแล้ว ดังนั้นทุกอย่างจะต้องเหมือนเดิม
    นอกจากนี้ เศรษฐกิจที่ขยายตัว 3% ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าพอใจหรือไม่พอใจ แต่รัฐบาลต้องทำให้ดีที่สุด และไม่ควรให้เศรษฐกิจไทยถดถอย จะต้องผ่านไปให้ได้ ซึ่งขณะนี้อาจมีปัญหาเรื่องการจัดทำงบประมาณปี 2563 ที่ล่าช้าไปบ้าง แต่น่าจะชดเชยด้วยอย่างอื่นได้ โดยเฉพาะการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับการเชื่อมั่นและไม่ควรที่จะชักปืนยิงใส่เท้าตัวเอง ขณะเดียวกันไม่ต้องกังวล ทุกสถาบันการเงินของรัฐพร้อมจะทำตามนโยบายของรัฐบาลในเรื่องที่จำเป็นอยู่แล้ว ไม่ใช่การกระตุ้นที่เกินกว่าเหตุ
    สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้ สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด โดยภาคการเมืองไม่ควรเข้าไปแทรกแซงค่าเงิน เพราะถ้าประเทศไม่ดีจริง เงินลงทุนคงไม่ไหลเข้ามา แต่ตอนนี้ มีเงินลงทุนเข้ามาทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว แต่ที่ไทยต้องการคือเงินลงทุนระยะยาว ขณะที่เงินลงทุนระยะสั้นก็ต้องกำกับดูแลให้ดี
    ทางด้านนายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย ว่าในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา เศรษฐกิจของไทยยังอ่อนตัว สะท้อนการส่งออกและลงทุนภาครัฐที่หดตัว ที่ประชุมจึงมีมติปรับกรอบอัตราการเติบโตของการส่งออกในปี 2562 ลงมาจากกรอบเดิม ที่คาดว่าจะโต 3.0-5.0% ลงมา -1.0 - 1.0% แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังแต่ก็มองว่าอาจจะไม่เพียงพอที่จะชดเชยได้
    ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงจากความซบเซาของการค้าโลก รวมถึงปัจจัยค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าอีกหากธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทย ทำให้แนวโน้มการส่งออกทั้งปีนี้อาจจะไม่ขยายตัว กกร.จึงมีมติปรับกรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 62 นี้ด้วยลงมาอยู่ที่ 2.9-3.3% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตอยู่ในระดับ 3.7-4.0% สำหรับอัตราเงินเฟ้อปีนี้ ยังคงไว้ที่กรอบเดิมคือ 0.8-1.2%
    นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ที่ประชุมได้เตรียมเข้าไปหารือกับผู้ว่าการ ธปท. เพื่อหามาตรการชะลอการแข็งค่าของค่าเงินบาทออกมาโดยเร็วที่สุด เนื่องจากค่าเงินบาทเป็นสกุลเงินที่แข็งค่ามากที่สุดในช่วงนี้กว่า 5-6% หากไม่รีบดำเนินการอาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของการส่งออกมากขึ้น รวมถึงตัวเลขการเติบโตของจีดีพีประเทศ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวแล้ว หากปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อไปเรื่อยๆ จะยิ่งส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจออกไปเป็นวงกว้าง ขณะเดียวกัน ต้องการให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการประชุมนัดพิเศษเพื่อพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 1.75% เพื่อชะลอการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ ลดแรงกดดันต่อการแข็งค่าของเงินบาท 
    นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาหอการค้าฯ เตรียมหารือกับ ธปท. เพราะค่าเงินบาทไม่ควรแข็งค่าเกินประเทศคู่แข่งทางการค้า และไม่ควรจะผันผวนมากเกินไป โดยเงินบาทที่เหมาะสมควรอยู่ที่ระดับ 32 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อีกทั้ง กกร.ยังเตรียมจัดทำสมุดปกขาวเพื่อที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เพื่อให้ดำเนินการ โดยเฉพาะการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของเอกชน การทำงานของรัฐที่ควรร่วมกับเอกชนมากขึ้น การดำเนินโครงการต่างๆ ของรัฐให้ต่อเนื่อง เป็นต้น.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"