เรื่องแค่คิดกับ 'รองฯ สมคิด'


เพิ่มเพื่อน    

                 "รัฐบาลประยุทธ์ ๒"

                นับจากนี้ .......

                เป็น "เรือใบออกท่า-ปลาฉนากออกอ่าว" กันซะที

                หลังผ่านพิธีกรรม "รับน้องใหม่" ในรัฐสภาจน "รู้หมู่-รู้จ่า" เป็นรัฐสภา "สามัคคีไทย" เรียบร้อยไปแล้ว

                ไม่มี "ฝ่ายเขา-ฝ่ายเรา" ต่อแต่นี้

                มีแต่ "สมาชิกรัฐสภา" ๗๐๐ คน แบกหามบ้านเมืองด้วยสำนึกภาวะ รับใช้เจ้านายใหญ่คนเดียวกัน คือ "ประชาชน"

                เพื่อ "อยู่เย็น-เป็นสุข" กัน ตามฐานานุรูป!

                ที่เรียก "รัฐบาลเรือใบ" หมายถึง ตอนนี้หลายประเทศเขาจะรบสร้างสรรค์กัน ก็ให้เขารบ

                ส่วนเรา "รบไม่ยุ่ง มุ่งแต่ค้า"

                วางตำแหน่งประเทศเป็นหน่วย "ส่งกำลังบำรุง" เพราะเมืองเราเป็นเมืองเกษตรกรรม คือเป็น "ครัวโลก"

                ดังนั้น ต้องทำตัวให้สมตำแหน่ง ฝ่ายไหน ต้องการกิน-ต้องการใช้สินค้าอะไร...บอกได้เลย

                ไทยยินดีบริการ "ราคามิตรภาพ" ไม่เลือกที่รัก-มักที่ชัง ขายให้ทุกฝ่าย ส่งให้ถึงที่ ไม่มีชาร์จ แต่อาจมีแชร์บ้าง!

                เราไม่เป็นฉลามไล่กินใคร แต่เป็น "ปลาฉนาก"

                รู้จักกันมั้ย..ปลาฉนากน่ะ!?

                น่าจะไม่มีใครเคยเห็น ผมก็ไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ เห็นแต่จะงอยปากที่ยื่นยาวเป็นใบเลื่อย มีซี่เหมือนซี่ "ฟันเลื่อย" ทั้งสองข้าง ยาวเป็นศอก

                ตอนเด็กๆ ไปตลาดแม่กลองทีไร เดินเลาะเขื่อนแม่น้ำหน้าโรงพยาบาลสมุทรสงคราม ต้องผ่าน "ศาลหลักเมือง" ข้างโรงพักเก่า

                ที่ "ศาลหลักเมือง" มีฟันเลื่อยปลาฉนากอยู่ในศาลด้วย ตอนเห็นก็ ๗๐ กว่าปีมาแล้ว

                และตอนนี้ เขาย้ายศาลไปตั้งอยู่ตรงไหนผมก็ไม่ทราบ เห็นจะต้องไปเลาะหาเพื่อไหว้สักการะอีกสักครั้ง จะได้ดูด้วยว่า "ฟันเลื่อยปลาฉนาก" ยังอยู่ดี

                หรือใคร "สะแฮ้บบบ" ไปซะแล้ว!?

                จากฟันใบเลื่อย แสดงว่า ปลาฉนากตัวนั้น ต้องใหญ่ระดับ Super Big Brother เลยทีเดียว!

                ปลาฉนาก น่ากลัว-น่าเกรงขามขนาดนั้น อยู่ทั้งแม่น้ำและในทะเล แต่ไม่ทำร้ายใคร เป็น "สุภาพบุรุษปลา"

                แต่ถ้าใครทำร้ายมัน......

                มันจะใช้ฟันเลื่อย "ฟันฉับเดียว" ขาด ๒ ท่อน!

                เนี่ย...ไทยรูปลักษณ์ใหม่ จะเป็นแบบนี้ 

                ๕ ปีที่ผ่าน "ตู่-นายกฯ รัฏฐาธิปัตย์" ทั้งรื้อ ทั้งลงรากฐานใหม่ ทั้งบูรณะ-เสริมสร้าง และทั้งต่อยอดใหม่

                ๔ ปี "ตู่-นายกฯ เลือกตั้ง" นับจากนี้

                ต้องก่อร่างสร้างต่อจากรากฐาน ๕ ปี นั้น ให้เกิดมรรค-เกิดผลเป็นรูปธรรมให้ได้

                คือสรุปว่า จากปี ๒๕๕๗ ไปจนถึงปี ๒๕๖๖ ถ้ากัปตันประยุทธ์ไม่สามารถนำ "เรือใบออกท่า-ปลาฉนากออกอ่าว" ได้

                ไม่แค่ประยุทธ์ตาย.........

                ทั้ง "ยอดยาง-ยอดหญ้า" ก็จะตายกันหมดทั้งประเทศ ด้วยเหตุ "รากฐานเศรษฐกิจ" ที่คิดว่าใช่ในระยะกลาง และระยะไกล

                มันจะกลายเป็นไม่ใช่ไปทันที!

                ที่พูดๆ กันในงานแถลงนโยบายวันก่อน หนักไปทาง "เอาฮา-เอาดรามา-เอามัน" และการเอาเรื่องส่วนตัวมาคิดบัญชีแค้นเป็นส่วนรวม

                แบบนั้น "ชาวบ้านชอบ" เพราะเคี้ยวง่าย-ถ่ายคล่อง

                แต่อะไรที่เป็นสาระ เป็นเนื้อหา ชาวบ้านไม่ค่อยสนใจ เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา หรือไม่ก็...ไม่สนใจฟังเลย

                ต้องชี้หน้า ขึ้นเสียง ด่าพ่อล่อแม่ ท้าตี ท้าต่อย สำนวน-ลีลาสำรากถ่อยเรื่องเท็จสาดใส่กัน อย่างนั้นละก็ แฟนๆ หน้าจอตะโกนเลย

                เฮ้ย..อย่าบัง เปิดเสียงอีกหน่อย!

                อย่าว่าแต่ชาวบ้านเลย แม้แต่สื่อ ยุคนี้เป็นยุคสื่อดิจิทัล อีก ๕-๖ เดือน ก็จะถึงยุค ๕ จี

                บอกได้เลย อุปกรณ์ทันสมัย แต่วิสัยทัศน์นำเสนอ ยังอยู่ในยุค "วิทยุแร่"

                ใครเคยเห็นบ้าง วิทยุแร่ จะฟังที ต้องเขี่ยเอา กรอดๆๆๆ แกรกกๆๆๆ กว่าจะได้ยินเหมือนเสียงผีนางตานีโหย

                ๒-๓ วันมานี่ ดูข่าวโทรทัศน์ ไม่ว่าช่องไหน เอาแต่ตรงที่ทะเลาะกัน ด่ากัน มาเวียนฉาย-เวียนพล่าม เป็นข่าวประจำชาติ วันละ ๓-๔ รอบ

                แล้วก็ทำโพลถามกัน ฝ่ายไหนชนะ ใครเป็นดาวสภา?

                ผมไม่เห็นมันจะได้อะไร เรื่องอย่างนี้ ทีเดียว ผ่านแล้ว ก็ให้มันผ่านเลย

                ไม่ควรเอามาจี้-มาย้ำ เป็นรายวัน รายชั่วโมง มันมีแต่จะตอกย้ำ ทำให้คนฝังเครียด-ฝังแค้น

                ที่ท่านรองนายกฯ "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" ลุกขึ้นพูดในรัฐสภา รอบบ่ายกับรอบดึก ถ้าจำไม่ผิด วันที่ ๒๖ ก.ค.

                นั่นแหละ....

                ที่ผมว่าสื่อและชาวบ้านควรจะฟังและนำเผยแพร่วันละ ๒ รอบ ๓ รอบ

                เพราะเป็น "สาระที่สุด" ในการประชุม ๒๕-๒๖ ก.ค.นั้น ซึ่งคุ้มค่าเช่าสถานที่วันละเป็นสิบล้าน

                แต่แทบไม่มีช่องไหน นำมาฉายสั้น-ฉายยาว เหมือนตอน "ตู่เล็ก-ตู่ใหญ่" ตัดสายสะดือ กับตอน "เลียรองเท้า VS รับใช้โจร" นั่นเลย

                ที่ท่านรองนายกฯ สมคิดพูดทั้ง ๒ วาระ ผมว่า "สมฐานะ-สมวุฒิ" ผมกำลังแกะเสียงตามเว็บข่าวอยู่  อยากได้ครบคำที่ท่านพูดทั้ง ๒ วาระ

                ตั้งใจว่า ครบแล้วจะนำมาให้อ่านกันทางตัวหนังสือ ฟังทางหูจากโทรทัศน์ มันจะเข้าขวา-ออกซ้ายไปหมด

                สู้อ่านทางตาไม่ได้.....
                มันจะได้ค่อยๆ ซึมเข้าใจ ทำให้เห็นอะไรๆ ในเรื่องสร้างบ้าน-สร้างเมือง ที่สุจริตและตั้งใจจริง

                ว่า มันคนละเรื่องกับการ "ขายบ้าน-ขายเมือง" ที่มันง่าย พูดวันนี้ พรุ่งนี้ ก็เห็นผลแล้ว........

                แค่สั่งหยุดราชการวันที่ ๓๑ ธันวา วันเดียวก็ได้แล้ว!

                ขึ้นชื่อว่าสัจจะด้วยจริงใจในทำ มันเจ็บปวดเสมอ

                บางที-บางครั้ง

                มันทำให้เจ็บทั้งคนพูดและคนฟัง!

                แต่ "ทำที่เป็นธรรม" เท่านั้น เป็นยาขนานเดียวรักษาได้ และต้อง "เวลา" เท่านั้น "เป็นกระสาย" เพื่อให้ยานั้น "ออกฤทธิ์" เป็นประสิทธิผล

                ผมดูๆ แล้ว วันเดียวไม่หมด ใช้เนื้อที่บีบๆ แล้ว ก็น่าจะไม่หนี ๒ วัน

                ไม่ได้หวังให้ใครเชื่อที่ ดร.สมคิดพูด

                แต่ต้องการให้ "รับรู้อาการ" เศรษฐกิจประเทศ และการวินิจฉัยโรคแล้วให้ยารักษาอาการในช่วง ๕  ปีก่อน

                กับสภาพประเทศตอนต่อจากนี้........

                ว่าทั้งที่ทำไปแล้ว และที่กำลังเดินหน้าต่อ วันนั้นกับวันนี้ บ่งบอกว่า

                "ให้ยาถูกอาการ" หรือไม่-อย่างไร?

                และสร้างความมั่นใจในทิศทางอนาคตประเทศได้ระดับไหน?

                แต่เออ....

                เห็นว่า ครม.วันนี้ (๓๐ ก.ค.๖๒) จะเคาะตัว "โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี" กันมิใช่หรือ?

                "นฤมล ภิญโญสินวัฒน์"

                ส.ส.บัญชีรายชื่อ พลังประชารัฐ ข่าวว่า จะได้นั่งตำแหน่งนี้

                ก็ไม่น่าพลาด เพราะเจ้าตัวยื่นใบลาออกจาก ส.ส.เพื่อไปเป็น "ข้าราชการเมือง" ในตำแหน่งโฆษกรัฐบาลแล้ว

                เห็นชื่อจากข่าว ผมจำได้ทันที ต้องบอกว่า ตั้งได้ "ถูกตัว-ถูกคน" ที่สุด!

                เปล่า...ไม่เคยเห็น-ไม่เคยรู้จัก บังเอิญ วันอภิปรายกันในรัฐสภานั่นแหละ

                จะก่อนหรือหลังรองฯ สมคิดพูดตอนบ่ายก็จำไม่ถนัด ก็ถึงคิวคนอภิปรายต่อไป

                เป็นสุภาพสตรี ขึ้นอภิปราย ผมก็ฟัง..ฟัง เอ๊ะ สะดุดหู-สะดุดใจ ในเรื่องนโยบายด้านเศรษฐกิจ การคลังที่เธอพูด ก็เลยตั้งใจจ้องดูว่า เธอเป็นใคร

                สักพัก หน้าจอเขาขึ้นชื่อว่า.....

                "ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์" ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ

                ฟังจบ ก็ค้นดูปูมประวัติ อ้อ...มิน่าเล่า ถึงได้สามารถ แปลงทฤษฎีเป็นปฏิบัติให้ชาวบ้านเข้าใจ-พอใจได้ในเรื่องยากๆ

                จบสถิติศาสตรบัณฑิต (คณิตศาสตร์ประยุกต์) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

      Master of Science (คณิตศาสตร์ประยุกต์) Georgia State University ประเทศสหรัฐอเมริกา

      Master of Business Administration (Applied Economics) University of Pennsylvania ประเทศสหรัฐอเมริกา

      Doctor of Philosophy (Finance) University of Pennsylvania ประเทศสหรัฐอเมริกา     

                เคยรับราชการ            และเคยเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง

                เขาว่า "บัตรสวัสดิการประชารัฐ" ศาสตราจารย์ท่านนี้แหละเป็น "แกนคิด-แกนทำ"

                ความเป็นศาสตราจารย์ไม่ใช่คำตอบในตำแหน่งโฆษกรัฐบาล

                แต่ความสามารถในการแปลงค่าความสับสนด้วยความไม่เข้าใจของคนต่างระดับให้เป็นความพอใจ "ด้วยเข้าใจ" ผ่านคำพูดง่ายๆ ของคนคนนี้

                ทำให้ "เหมาะสม" ที่สุด!

                ครับ...หมดเวลาคุย พรุ่งนี้ ๓๑ ก.ค.ส่งท้ายเดือน ด้วยศาลฎีกา นัดตัดสินคดี นปช.ล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" เมื่อปี ๕๐

                ซื้อข้าวผัด ก็อย่าลืมโอเลี้ยงด้วยล่ะ ถ้าจะเยี่ยม!

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"