'คณิต'ชี้ถึงเวลาปฏิรูปสายพานกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ ตำรวจ อัยการ ศาล


เพิ่มเพื่อน    


30 ก.ค.62 -ที่โรงแรม เดอะ สุโกศล  สถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ  และมหาวิทยาลัยบูรพา จัดเสวนา เรื่อง “จะปฏิรูประบบงานสอบสวนและการสั่งคดีของอัยการอย่างไรให้เกิดความยุติธรรม และประชาชนเชื่อถือเชื่อมั่น” โดยมีตัวแทนหน่วยงานจากที่เกี่ยวข้องร่วมเสวนา มีคุณชนิตร์นันทน์ ปุณณะนิธิ เป็นผู้ดำเนินรายการ

โดยศ.ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด และประธานที่ปรึกษาสป.ยธ.  กล่าวปาฐกถา พิเศษหัวข้อ “วิกฤตกระบวนการยุติธรรมอาญาไทย จะปฏิรูปอย่างไรให้ผู้คนเกิดความเชื่อถือเชื่อมั่น” ว่า กระบวนการยุติธรรมไทยมีปัญหา ทั้งระบบ เพราะการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีการพัฒนาด้นสังคมด้วย ดังนั้นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมต้องให้หลายภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม และการสร้างความเข้าใจแก่สังคม ปัญหาปัจจุบันของกระบวนการยุติธรรม คือ การวางเฉยของศาลยุติธรรม และ การขาดองค์ความรู้บทบาทอัยการ ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมไทย มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก  รวมถึงองค์กรในการกระบวนการยุติธรรม ระบบภายในใหญ่โตขาดประสิทธิภาพ จึงต้องลดค่าใช้จ่าย แต่สามารถอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนได้ดีขึ้น และอัยการต้องสังกัดในกระทรวงยุติธรรม เพื่อบูรณาการการทำงาน

 “กระบวนการที่ดี คือ การบังคับใช้กฎหมาย ที่เข้มแข็ง ต้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลได้ แต่รัฐบาลปัจจุบันยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนเท่าไร ขณะที่เกาหลีใต้ สิ่งแรกของผู้นำประเทศเข้ามารับตำแหน่ง คือ ปราบคอร์รัปชัน โดยใช้ อัยการ เป็นเครื่องมือสำคัญในการปราบปรามคอร์รัปชัน” ศ.ดร.คณิต กล่าว

ศ.ดร.คณิต กล่าวว่า "สายพาน” กระบวนการยุติธรรมไทยตั้งแต่ ตำรวจ อัยการ ศาล และ กรมราชทัณฑ์ ที่สร้างปัญหา “นักโทษล้นคุก”ดังนั้นต้องลดคดีเข้าสู่สายพานกระบวนการยุติธรรมให้น้อยที่สุด จึงอยากเสนอแนวทางในการปฏิรูป ดังนี้ ควรมีการผลักดันการศึกษาด้านกฎหมายโดยเฉพาะฝ่ายอัยการ ต้องมีความรับผิดชอบ 4 ประการ คือ 1.ความถูกต้องของกฎหมาย 2.ความถูกต้องตามระเบียบ 3.ความรอบคอบ และ 4.ความเชื่อถือศรัทธาของอัยการ  จึงต้องปฏิรูปการตรวจสอบความจริงก่อนการประทับรับฟ้อง เพื่อลดปริมาณคดีในชั้นศาล

 อดีตอัยการสูงสุด กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องทำการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอาญาไทย คือ การสอบสวนฟ้องร้องต้องเป็นกระบวนการเดียวกัน องค์กรที่มีอำนาจตรวจสอบความจริงชั้นเจ้าพนักงานต้องร่วมมือกันทำงาน ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อัยการ หรือแม้แต่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  (ปปช.) หรือ คณะกรรมการป้องกันการทุจริตภาครัฐ(ปปท.) ที่สำคัญฝ่ายการเมืองต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวไม่ได้ บทบาทอัยการในการร่วมสอบสวนคดีพิเศษ และการปฏิรูปการทำงานองค์กรต่างๆ ต้องกล้าทำ รวมถึงการปฏิรูป “ศาลพิจารณา” คือ ศาลอุทธรณ์ และ ศาลฎีกา ต้อง เป็นศาลทบทวนข้อกฎหมาย รวมถึงต้องสร้างความเข้าใจทางสังคม เพราะปัจจุบันสังคมไทยเข้าใจเรื่องนี้อ่อนมาก

“พฤติกรรมของคนในกระบวนการยุติธรรม ขาดภาวะวิสัย ทำงานด้วยความกลัว และร้ายที่สุด คือ กลัวการเมือง มักประจบประแจงฝ่ายการเมือง หากเป็นแบบนี้ประชาชนจะพึ่งพาใครได้ ยิ่งประสิทธิภาพการบริหารจัดการยิ่งแย่ คุมคามสิทธิ และ ค่าใช้จ่ายในการกระบวนการยุติธรรมสูง จึงถึงเวลาในการปฏิรูป” ศ.ดร.คณิต กล่าว  

ด้าน ดร.น้ำแท้ มีบุญสร้าง   อัยการจังหวัดสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ์และช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า ระบบกระบวนการยุติธรรมที่ทำให้ “คนชั่วทำเลวไม่ได้” คือ ทำอย่างไรให้การเก็บรวบรวมพยานหลักฐานสมบูรณ์ที่สุด เพื่อนำไปเสนอในชั้นศาล ที่เหลือเป็นอำนาจในการตัดสินของศาล แต่หากพยานหลักฐานในพื้นที่เกิดความหละหลวม โดยมีหน่วยงานเดียวผูกขาด คือ ตำรวจ เก็บพยานหลักฐานเพียงหน่วยงานเดียว เช่น กล้องวงจรปิด ลายนิ้วมือ หรือ รอยเลือด ฯลฯ เช่น คดีเสือดำ หรือ คดีจ่านิว ดังนั้นกระบวนการยุติธรรมที่ดี คือ การเก็บพยานหลักฐานที่ดีครบถ้วน แต่ปัจจุบันการเก็บพยานหลักฐานถูกผูกขาดเพียงหน่วยงานเดียวนั้นคือ ตำรวจ  

ดร.น้ำแท้ กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมไทย ปัจจุบัน คือ จับผู้ต้องหาเข้าคุกทันที แต่กลับพบว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ในภายหลังและอัยการไม่สั่งฟ้อง ทำให้ผู้ต้องหาติดคุกฟรีและไม่ได้รับการเยียวยาจากภาครัฐด้วย ขณะที่บทบาทอัยการต้องเป็นสากลคือ ต้องได้มาซึ่งความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ทำคดีให้ได้มาซึ่งบทลงโทษ การที่อัยการสั่งไม่ฟ้องอย่าไปกังวล หากมีพยานหลักฐานสามารถสั่งฟ้องได้อีก และหากอัยการอยู่ในกระบวนการเก็บพยานหลักฐานถือเป็นการคานอำนาจ “ตำรวจ” จึงไม่ควรกลัวอัยการจะเข้าไปอยู่ในที่เกิดเหตุ ขณะที่การสั่งคดีของอัยการในต่างประเทศ จะสั่งคดีเมื่อมั่นใจว่าศาลจะพิพากษาลงโทษ ไม่ว่าคดีนั้นจะร้ายแรงเพียงใด และ การกักขังผู้ต้องหาด้วยเหตุผล คือ หลบหนี คดีร้ายแรง ไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน หรือ ภัยอันตรายต่อสังคม แต่สังคมไทย คือ จะปล่อย หรือ ขังใคร คือ มีเงินมีอำนาจหรือไม่

“การฟ้องคดีปัจจุบัน อัยการไม่เห็นพยานหลักฐานจนวันสืบพยาน หรือวันฟ้องร้อง นี่คือจุดอ่อนของกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างมาก นี่คือ กระบวนการยุติธรรมกบในกะลา เพราะไม่รู้ว่าระบบยุติธรรมสากลเป็นอย่างไร คือ ขังก่อน สั่งไม่ฟ้องทีหลัง นี่คือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ดังนั้นถ้าให้คะแนนความยุติธรรมแก่ประชาชน คือ ศูนย์” ดร.น้ำแท้ กล่าว  

 พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม กล่าวว่า  กระบวนการยุติธรรมไทยวิปริตจากความไม่ยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรม จับแพะ จับผิด และ ศาลยกฟ้องคนบุริสุทธิ์ที่ถูกคุมขังฟรี โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม “ในชั้นสอบสวนที่เป็นคนยากจน” ที่สำคัญชั้นสอบสวน อัยการ และ ศาล แต่สังคมกลับมุ่งจับผิดไปที่ศาล แต่อย่าลืมว่าการเริ่มต้นทำคดี คือ "ตำรวจ" อำนาจสอบสวนและสั่งฟ้องอยู่ในคนๆเดียวกัน ระบบไทยถอยหลังไปไกลยิ่งกว่าสมัยอดีตรัชกาลที่ 5 ด้วยซ้ำไป เพราะระบบสอบสวนในอดีตฝ่ายปกครองเป็นผู้รับผิดชอบดูแลโดยกระทรวงมหาดไทย แต่อำนาจสอบสวนได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือตำรวจ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างมาก และไม่ถูกตรวจสอบหรือถ่วงดุลจากหน่วยงานอื่นๆ ยกเว้นประชาชนร้องขอความเป็นธรรม ดังนั้นการตรวจสอบจากองค์กรภายนอกถือเป็นสิ่งสำคัญ เช่น  ฝ่ายปกครองจังหวัด เป็นต้น นี่คือปัญหาใหญ่ ให้เข้ามารับรู้การเก็บรวบรวมพยานหลักฐานด้วย
 
“คำพิพากษาที่ดีคือต้องมีมาตรฐานทั้งคนจน หรือ คนรวย อย่างเช่น ศาลชั้นต้น พิจารณาพิพากษาอย่างหนึ่งศาลอุทธรณ์พิจารณากลับอีกอย่างหนึ่ง จึงควรปฏิรูปได้แล้ว เพราะคนจนอึดอัดมากจากผลกระทบจากกระบวนยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรม หลายๆประเทศในโลกเจริญได้เพราะกระบวนการยุติธรรมที่ดีนี่คือเหตุผลทำไมนักโทษล้นคุก”

พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมที่ดี คือ ติดตามจับกุม สืบสวนสอบสวน และ การสั่งฟ้องต้องมีประสิทธิภาพ แต่ฝ่ายนโยบาย หรือ รัฐสภายังให้ความสำคัญเรื่องดังกล่าวน้อยมาก แต่จะมุ่งไปเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศว่าจะคุมตำรวจและดูแลการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเอง จึงอยากให้เวลา พล.อ.ประยุทธ์ 1 ปี ในฐานะดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ว่าจะทำได้จริงหรือไม่
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"