เหตุการณ์ที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย  ดอดเงียบยื่นหนังสือถึงประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา ขอให้แก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

            ต่อมา ไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนเพื่อการปฏิรูปร่อนจดหมายซ้ำอีกครั้ง เสนอให้เซตซีโรสมาชิกพรรคการเมืองเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันทุกพรรคนั้น

            เป็นสัญญาณที่สามารถนำมาประเมินได้ว่าผู้มีอำนาจในบ้านเมืองคิดจะทำอะไร!!!!

            ผนวกกับความเคลื่อนไหวของรัฐบาลและ สนช.ที่มีท่าทีสอดรับกันไปเสียทุกเรื่อง

            ฟันธงว่าจะมีพรรคทหารในการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอน

            เพียงแต่ตอนนี้ติดปัญหาหลายเรื่อง จึงหาประเด็นถ่วงเวลาให้ตัวเองได้ตั้งหลักสู้ รวมทั้งหามือฉมังทางการเมืองเดินเกมให้แทนที่ทหารจะออกหน้าเสียเอง

            หนึ่งในนั้นหลายคนสงสัยในตัว สุเทพ กระทั่งถึงบางอ้อเมื่ออดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ วัชระ  เพชรทอง ออกมาแฉ แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ถ้าไม่ใช่ไก่อ่อนนักก็ต้องรู้ว่า

          “กำนันใต้คนดัง” คือใคร????

            ความจริงเป็นที่ทราบกันมาสักพักว่าจะมีพรรคทหาร ในนามพรรคประชารัฐ และมี "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" รองนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าพรรค

            จนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมากระแสดังกล่าวถูกเด็ก ปชป.คอนเฟิร์ม

            อีกทั้งมีประเด็นเพิ่มเติมว่า ลุงกำนัน รับหน้าที่ทำงานเบื้องหลังและเป็นมือประสานสิบทิศ ซึ่งถือเป็นการหักกับพรรคที่ตัวเองสังกัดมาเป็นเวลานาน ส่วนความสัมพันธ์กับคนที่เคยให้ความเคารพและพี่น้องร่วมพรรคคงไม่ต้องพูดถึงอีก 

            กระแสการแยกตัวของ กำนันสุเทพ ภายในประชาธิปัตย์พูดกันมาพอสมควร ถึงขั้นประเมินว่าหาก  สุเทพ ไม่สามารถยึดพรรคได้ก็จะตั้งพรรคใหม่ และดึงอดีต ส.ส.ใต้จำนวนหนึ่งไปด้วย โดยเฉพาะในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตระกูล เทือกสุบรรณ รวมทั้งอดีต ส.ส.จังหวัดชุมพร ชุมพล จุลใส เป็นต้น

            และอาจแบ่งอดีต ส.ส.กทม.ที่กำลังจะอกหักจากการที่พรรคไม่ส่งลงสมัครเลือกตั้งไปพักใจ  

            นอกจากนี้ยังแว่วมาอีกว่าได้ไปทาบทาม พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ มาร่วมด้วยช่วยพรรคทหารอีกด้วย

            กระนั้นก็ต้องกินแห้ว เนื่องจาก ผู้ว่าฯ อัศวิน ส่ายหน้า เพราะยังต้องการสังกัดค่ายแม่พระธรณีบีบมวยผมอยู่

            อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลทำตัวลักปิดลักเปิดแบบนี้ เป็นเพราะพี่ใหญ่แห่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คิดช้า เพราะในทีแรกคิดแค่ว่า ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคก็ได้ และตัวเองจะมีพรรคการเมืองให้พึ่งพา

            แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นสัญญาณจะมีพรรคการเมืองใดให้การสนับสนุนทหาร โดยในส่วนประชาธิปัตย์ถือเป็นงานหิน เพราะด้วยความเป็นตัวตนของ หัวหน้ามาร์ค-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มั่นอกมั่นใจในความคิดของตัวเอง จึงเป็นการยากที่จะให้หนุนอย่างไม่มีเงื่อนไขตามเสียงนกหวีด 

            เมื่อพี่ใหญ่ คสช.รู้ตัว (เมื่อสาย) ว่าต้องมีพรรคเป็นของตัวเอง ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะกติกาได้ออกเป็นกฎหมายพรรคการเมืองแล้ว

            ด้วยประการฉะนี้ จึงส่งคู่ค้าการเมืองออกมาร้องแรกให้แก้กฎหมายพรรคการเมือง โดยมีเจตนาแค่ประวิงเวลาให้พรรคตัวเองพร้อมเท่านั้น.