นายกฯเบรกเมาถึงตี4กระทบสังคม


เพิ่มเพื่อน    

 เครือข่ายต้านน้ำเมาบุกยื่น รมว.ท่องเที่ยวฯ ค้านนโยบายเปิดสถานบันเทิงตี 4 อัดอย่าหน้ามืดมุ่งหาเงินจนลืมผลกระทบทางสังคม ย้อนคำถามอุบัติเหตุเจ็บ ตาย พิการ จากน้ำเมายังไม่พออีกหรือ   "พิพัฒน์" อ้างไม่ได้ปูพรมทั่วประเทศ แต่จัดโซนนิ่ง จว.ท่องเที่ยวยอดนิยม สั่ง ททท.เก็บข้อมูลก่อนชง ครม.เศรษฐกิจ นายกฯ เบรกหัวทิ่มอย่าแก้ปัญหาหนึ่งไปสู่อีกปัญหา โดยเฉพาะปัญหาสังคม วัยรุ่น สิ่งแวดล้อม ต้องดูภาพรวมทั้งหมด

    ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วันที่ 22 สิงหาคม นายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ พร้อมด้วยนายคำรณ  ชูเดชา ผู้ประสานงานเครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา นำกลุ่มเหยื่อเมาแล้วขับ, เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่, เครือข่ายลดอุบัติเหตุ, มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล, มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา, เครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน และนักศึกษากว่า 40 คน ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผ่านทางนายอารัญ บุญชัย ผู้ช่วยปลัดกระทรวง เพื่อคัดค้านการขยายเวลาปิดสถานบันเทิงผับบาร์เป็นตี 4
    ทั้งนี้ เครือข่ายได้เปิดปราศรัยในประเด็นผลกระทบ ทั้งในมิติอุบัติเหตุ ความรุนแรงในครอบครัว ปัญหาต่อเด็กและเยาวชน อาชญากรรม มิติทางเศรษฐกิจที่ได้ไม่คุ้มเสีย พร้อมทั้งแต่งกายล้อเลียนเป็นผีเหยื่อเมาแล้วขับ ผีทะเลาะวิวาท ร่วมกันทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ชื่อ “หยุดขยายเวลาปิดผับ  หยุดทำสังคมเสื่อม”  
    นายชูวิทย์กล่าวว่า จากดำริของ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ที่เสนอให้ขยายเวลาปิดสถานบันเทิงผับบาร์เป็นเวลา 04.00 น. จากเดิม 02.00 น. เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ โดยจะไปทำการศึกษาก่อนว่าพื้นที่ไหนควรจะทำเพื่อขอหารือกับนายกฯ ในการประชุม ครม. ต่อมานายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จะดำเนินการทั่วประเทศ เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้จ่าย เน้นนักท่องเที่ยวต่างชาติและเตรียมลงพื้นที่พบปะกับผู้ประกอบการสถานบันเทิงใน พัทยา จังหวัดชลบุรี คาดว่าจะช่วยเพิ่มค่าใช้จ่ายกินดื่มอีก 25% จากปัจจุบันที่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เฉลี่ย 5,000-6,000 บาท แม้ว่าล่าสุดนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นว่าเรื่องนี้เป็นแค่เพียงแนวคิดเท่านั้น ต้องไปทำการศึกษาให้รอบคอบก่อน ก็มิได้หมายความว่าเรื่องดังกล่าวจะยุติ  
    เครือข่ายต้องการมาแสดงจุดยืนและคัดค้าน และจะสานพลังจากทุกภาคส่วนเพื่อต่อต้านเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด เนื่องจากเป็นแนวคิดที่ไม่รอบคอบ อ้างเพิ่มการท่องเที่ยว การจับจ่าย เอาข้อมูลหรืองานวิชาการที่ไหนมารองรับ ตัวเลข 25% มาได้อย่างไร ต้องเอาความจริงมาตีแผ่กัน เมื่อวิเคราะห์จากข่าวในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา จะพบว่าทั้งอุบัติเหตุ การทะเลาะวิวาท ฆ่ากันตาย ตลอดจนความรุนแรงในครอบครัว ปล้นจี้ ผู้ก่อเหตุมักจะกินดื่มมาจากสถานบันเทิง และมีจำนวนไม่น้อยที่ก่อเหตุในสถานบันเทิงด้วยจากการเมาขาดสติ
    "ขอตั้งคำถามกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ว่าวันที่ทุกฝ่ายทุ่มเทในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุเมาแล้วขับ ปัญหาทะเลาะวิวาท ความรุนแรงและอาชญากรรม ที่มีแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยร่วมสำคัญ กระทรวงไม่รู้ร้อนหนาวถึงความยากลำบากในการทำงานและความสูญเสียที่เกิดขึ้นเลยหรือ คิดเป็นแต่จำนวนนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินเพียงอย่างเดียวกระนั้นหรือ เป็นเรื่องน่าเศร้าใจมาก งานวิจัยพบว่าเงิน 1 บาทที่เราได้จากวงจรน้ำเมา ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องจ่ายในการดูแลรักษา ค่าเสียโอกาสในการทำงานและอื่นๆ รัฐต้องจ่ายไปถึง 2 บาท มันได้ไม่คุ้มเสียอยู่แล้ว ยังจะมีการขยายเวลาเสี่ยงขึ้นไปอีก" นายชูวิทย์กล่าว
    ด้านนายคำรณกล่าวว่า ตกลงประเทศไทยจะเอาจุดขายในการเพิ่มเวลาเมากันแล้วหรือ แต่ละประเทศเขามีแต่จะจำกัด ควบคุม เหตุใดจึงไม่สนใจผลกระทบอันตราย อุบัติเหตุเจ็บตายพิการ ทะเลาะวิวาท และสร้างความรำคาญให้ประชาชนคนในชุมชนมากขึ้น แค่ปิดตามเวลาปกติเจ้าหน้าที่ยังเอาไม่อยู่ ควบคุมปัญหาไม่ได้ ดังนั้นในเรื่องนี้เครือข่ายขอคัดค้านจนถึงที่สุด ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ 1.ไม่มีหลักฐานในเชิงประจักษ์ ว่าการขยายเวลาจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ หรือเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจริง ที่สำคัญยังไม่มีประเทศไหนในโลกที่ออกมาตรการนี้เพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ
     2.ในการดำเนินการตามแนวคิดนี้ต้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ ซึ่งจะเป็นการทำลายเจตนารมณ์ของกฎหมายเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง เช่น พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ที่จำกัดเวลาขายไว้แค่เที่ยงคืน และการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้บุคคลที่มึนเมาครองสติไม่ได้ รวมถึงคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 22/2558, 46/2559 ว่าด้วยเรื่องการควบคุมร้านเหล้าผับบาร์รอบสถานศึกษาที่กำหนดพื้นที่ควบคุมเอาไว้ ก็ต้องถูกแก้ไขลดทอนพื้นที่ควบคุมลงไป เพียงเพื่อเปิดพื้นที่ให้นักท่องเที่ยว รวมไปถึง พ.ร.บ.สถานบริการและกฎหมายอีกหลายฉบับ
     3.จะเกิดผลกระทบตามมาในทุกมิติ ทั้งอุบัติเหตุ ทะเลาะวิวาท ความรุนแรงทางเพศ ความไม่สงบสุขในชุมชน คดีความและอาชญากรรมย่อมตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีข้อมูลเชิงประจักษ์ชัดเจน ว่าผลกระทบทางสังคมในแทบทุกเรื่องมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเป็นปัจจัยร่วมสำคัญ การป้องกันแก้ไขปัญหาที่ภาครัฐและทุกภาคส่วนได้ทุ่มเทสรรพกำลังลงไป จะไม่มีความหมายและถอยหลังลงคลอง
    4.เม็ดเงินที่คาดการณ์ว่าอาจจะเกิดขึ้น จะกระจุกตัวอยู่กับร้านเหล้าผับบาร์ กับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น มิได้เป็นการกระจายรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่ เจ้าของพื้นที่ตัวจริง เหมือนกับการท่องเที่ยวในรูปแบบอื่น ที่ประชาชน ชุมชนในพื้นที่ได้ประโยชน์ มีความยั่งยืน ไม่เสี่ยง
    5.กระทรวงควรตระหนักว่าประเทศไทยมีดีมากกว่าการให้ร้านเหล้าผับบาร์เป็นจุดขาย เราคงไม่ภาคภูมิใจการสร้างจุดขายที่ผิดเพี้ยนแบบนี้ สิ่งที่กระทรวงควรทำคือเร่งพัฒนาสร้างความปลอดภัยในการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยว มากกว่าสร้างความเสี่ยงให้เกิดขึ้นเพียงเพราะหวังเม็ดเงิน          
    ด้านนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า สัปดาห์นี้ได้สั่งการให้ ททท. ไปสุ่มเก็บข้อมูลที่พัทยา ถึงผลกระทบหากมีมาตรการนี้ ทั้งจากผู้ประกอบการ นักท่องเที่ยว และชาวบ้าน ว่ามีเสียงสะท้อนอย่างไร รวมถึงการคำนวณตัวเลขว่าจะได้เม็ดเงินกลับมาเท่าไหร่ ซึ่งหากได้ตัวเลขที่ชัดเจนแล้วจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจต่อไป โดยอาจเริ่มทำที่จังหวัดนำร่องก่อน เช่น กรุงเทพฯ จ.ภูเก็ต จ.กระบี่ จ.สงขลา เพราะตอนนี้กำลังเข้าช่วงไฮซีซั่น หวังว่าเราจะได้นักท่องเที่ยวตามที่รัฐบาลกำหนดไว้ประมาณ 41 ล้านคน
    “ต่อให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศเท่าเดิม แต่เราได้รายได้เพิ่มเติมโดยเฉลี่ยอีก 20% จากการขยายเวลาถึงตี 4 ก็เท่ากับเรามีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหลายล้านคน สำหรับคนที่เป็นห่วง ผมย้ำว่าเราไม่ได้ปูพรมทำทั่วประเทศ แต่จะจัดโซนนิ่งเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ ตอนนี้กำลังจะหารือผู้ว่าฯ และตำรวจว่าควรเป็นจุดใดที่เจ้าหน้าที่สามารถดูแลได้100%” นายพิพัฒน์กล่าว 
    ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องทบทวนว่าทำได้หรือไม่ จะมีผลกระทบอะไรหรือเปล่า อย่าแก้ปัญหาหนึ่งไปสู่อีกปัญหาหนึ่งที่จะตามมา โดยเฉพะอย่างยิ่งปัญหาสังคม วัยรุ่น สิ่งแวดล้อม คนไทยอาจจะชอบแบบนี้อะไรที่สบายได้ชอบหมด แต่รัฐบาลต้องดูแลในภาพรวม.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"