กู้วิกฤติค่าโง่9พันล. ศาลถอนคำชี้ขาดอนุญาโตฯให้รัฐชดใช้บ่อบำบัดนํ้าคลองด่าน


เพิ่มเพื่อน    

    ศาลปกครองกลางสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ กรณีสัญญาออกแบบและก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ระบุพยานหลักฐานในคดีอาญาถือเป็นหลักฐานใหม่ที่ชี้ชัดว่ามีขบวนทุจริต จนนำไปสู่การทำสัญญาไม่ชอบ เป็นสิทธิที่ศาลจะเพิกถอนได้เพื่อความสงบเรียบร้อยของ ปชช. ขณะที่โฆษกศาลเผย หากกลุ่มบริษัทเอกชนไม่ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน คดีจะถึงที่สุด
    เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายในโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ จำนวนกว่า  9,000 ล้านบาท ให้กับ 6 บริษัทร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี  
    ศาลเห็นว่า แม้กระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้ร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ไม่ใช่ผู้มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องต่อศาลได้ เนื่องจากไม่ใช่คู่สัญญาและไม่ได้รับผลกระทบจากผลแห่งคำพิพากษาโดยตรง แต่กรมควบคุมมลพิษซึ่งเป็นผู้คัดค้าน เป็นคู่กรณีในฐานะผู้ว่าจ้างฯ และตามคำพิพากษาศาลปกครอง ซึ่งโครงการดังกล่าวต้องใช้เงินงบประมาณจำนวนมาก และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบของราชการ มีการเอื้อประโยชน์ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน คำขอพิจารณาคดีใหม่ จึงเป็นไปเพื่อการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรวม 
        นอกจากนี้ การที่กรมควบคุมมลพิษได้ยื่นบันทึกถ้อยคำของพยานบุคคล พยานเอกสารในชั้นสืบพยานในคดีอาญาที่นายปกิต กิระวานิช อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.), นายศิริธัญญ์ ไพโรจน์บริบูรณ์ อดีตรองอธิบดี คพ. และนางยุวรี อินนา ผอ.กองจัดการคุณภาพน้ำ ตกเป็นจำเลย ในความผิดทุจริตเอื้อประโยชน์เอกชนในการทำสัญญาก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านต่อศาล ถือเป็นหลักฐานที่ไม่เคยปรากฏในการพิจารณาศาลปกครองมาก่อนหน้านี้ จึงถือได้ว่าเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 ระบุว่าหากมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วเปลี่ยนไปในสาระ ศาลสามารถสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ได้ 
        ส่วนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่สั่งให้กรมควบคุมมลพิษต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับเอกชน ศาลมีอำนาจเพิกถอนหรือไม่เพียงใด เห็นว่าจากหลักฐานใหม่ที่ปรากฏพบว่า บริษัท นอร์ทเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้นำโครงการของกิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี ได้กล่าวอ้างคุณสมบัติด้านการเงินของบริษัท นอร์ทเวสต์ วอเตอร์ กรุ๊ป จำกัด โดยไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าบริษัทดังกล่าวจะเข้ามาร่วมรับผิดชอบในโครงการ และบริษัท นอร์ทเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มีส่วนรับผิดชอบการลงทุนเฉพาะงานเดินระบบและซ่อมบำรุง ซึ่งมีมูลค่าของงานประมาณร้อยละ 10 ของราคาโครงการ แต่นายปกิตกับพวก ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของกรมควบคุมมลพิษ กลับไม่ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี ผู้รับจ้าง ให้ผ่านการคัดเลือกเป็นผู้มีสิทธิเข้าประกวดราคา  
    และยังพบว่า นายปกิตกับพวก ในฐานะเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกันออกประกาศท้องที่ที่จะขายที่ดินสำหรับใช้ในโครงการ ซึ่งห่างไปจากที่บริษัท สินธุมอนต์โกเมอรี่วัตสัน เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาโครงการได้ทำการศึกษาไว้กว่า 20 กิโลเมตร โดยไม่มีผลศึกษาที่ดินรองรับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาโครงการที่เพิ่มสูงขึ้น เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท คลองด่านมารีน  แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด เป็นผู้เสนอขายที่ดินในบริเวณดังกล่าว ที่มีความสัมพันธ์ในเชิงบริหาร และเชิงทุนกับผู้บริหารที่มีอำนาจลงนามของบริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทุนในกิจการร่วมค้าเอ็นวีพีเอสเคจี  
    ทั้งนายปกิตกับพวกได้ร่วมกันแจ้งเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อกำหนดการประกวดราคา (TOR) ทำให้ที่ดินของกลุ่มบริษัท มารูเบนี่ คอเปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาอีกรายหนึ่งขาดคุณสมบัติ จึงเหลือที่ดินของบริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ในความควบคุมของกิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี เพียงรายเดียว และเมื่อสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจร่างสัญญาและกำหนดให้กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี และบริษัท นอร์ทเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รับผิดร่วมกันและแทนกันตามสัญญา แต่นายปกิตกับพวกได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความเป็นให้กิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี รับผิดร่วมกัน โดยตัดข้อความที่ให้บริษัท นอร์ทเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ต้องรับผิดร่วมกันออก และในการลงนามในสัญญา ได้ให้บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ผู้ร้องที่ 1 เป็นผู้ลงนามแทนกิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี และบริษัท นอร์ทเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจที่ยื่นครั้งการประกวดราคา ซึ่งต่อมาบริษัท นอร์ทเวสต์ วอเตอร์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัท นอร์ทเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้แจ้งขอถอนหนังสือมอบอำนาจเดิมต่อนายปกิตแล้ว แต่ไม่มีการตรวจสอบ โดยอ้างว่าเป็นปัญหาภายในที่ไม่เกี่ยวกับกรมควบคุมมลพิษ อันเป็นการช่วยเหลือกิจการร่วมค้า หลังจากนั้นได้มีการยินยอมให้บริษัท สมุทรปราการ ออพเปอร์เรทติ่ง จำกัด ผู้ร้องที่ 69 ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์เข้ามาเป็นคู่สัญญาแทนบริษัท นอร์ทเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด  
    ศาลระบุว่า การที่นายปกิตกับพวกซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ย่อมเป็นผู้มีความรู้ มีประสบการณ์เกี่ยวกับระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน มติ ครม.และกฎหมาย กลับกระทำการขัดต่อระเบียบราชการ มติ ครม.และกฎหมายทั้งในขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นผู้มีสิทธิเสนอราคาออกแบบ ร่วมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย เขตควบคุมมลพิษ จ.สมุทรปราการ ฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตก ขั้นตอนการจัดหาที่ดิน ขั้นตอนการประกวดราคา     ทั้งมีการแก้ไขข้อความในร่างสัญญาที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานอัยการสูงสุดในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ จนท้ายที่สุดมีการลงนามในสัญญา โดยผลของการกระทำดังกล่าว เป็นไปในทางที่ทำให้ราชการเสียหาย โดยมีผู้ได้รับผลประโยชน์คือบริษัท คลองด่านมารีน แอนด์ ฟิชเชอรี่ จำกัด และกิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต 
    ดังนั้น การที่นายปกิต อธิบดีกรมควบคุมมลพิษในขณะนั้น ได้เข้าทำสัญญาในฐานะผู้แทนของกรมควบคุมมลพิษ โดยเอื้อประโยชน์ให้คู่สัญญา โดยกระทำการขัดต่อระเบียบราชการ มติ ครม.และกฎหมาย และมีลักษณะเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำแทนกรมควบคุมมลพิษ และเมื่อสัญญาโครงการออกแบบร่วมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษจ.สมุทรปราการ ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก เกิดการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่มีผลผูกพันกรมควบคุมมลพิษ 
    "คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ชี้ขาดให้กรมควบคุมมลพิษ ชำระค่าจ้าง ค่าเสียหาย รวม  4,983,342,383 บาท กับอีก 31,035,780 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวน 4,424,099,982 บาท และจำนวน 26,434,636 ดอลลาร์สหรัฐ ตามสัญญาโครงการออกแบบฯ จึงมีเหตุให้เพิกถอนได้ ตามมาตรา 40 วรรค 3 แห่ง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ 2545 เนื่องจากหากศาลบังคับให้ตามคำชี้ขาด ย่อมเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน" คำพิพากษาศาลปกครองกลางระบุ
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการอ่านคำพิพากษาวันนี้ ได้มีกลุ่มประชาชนชาวคลองด่าน จ.สุมทรปราการ ที่คัดค้านการจ่ายค่าเสียหายในโครงการดังกล่าวมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วย และแสดงความดีใจที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าว 
    นายเฉลา ทิมทอง แกนนำกลุ่ม กล่าวว่า คำพิพากษาที่ออกมาถือเป็นชัยชนะของประชาชนที่ไม่ต้องนำเงินภาษีที่เสียให้กับรัฐไปจ่ายค่าเสียหายให้เอกชนที่กระทำการทุจริตกับเจ้าหน้าที่รัฐบางราย อย่างไรก็ตาม อยากเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกมติ ครม. 17 พ.ย.58 ที่ให้จ่ายเงินค่าเสียหายให้กับเอกชน
       ขณะที่นายประวิตร บุญเทียม โฆษกศาลปกครอง กล่าวว่า โดยตามขั้นตอนกฎหมาย คู่ความคือกลุ่มเอกชน ยังสามารถยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุดได้อีกภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษา ดังนั้นคดีจึงยังไม่ถือว่าสิ้นสุด อย่างไรก็ตามเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด กรมควบคุมมลพิษยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาเดิมของศาลปกครองสูงสุดที่เคยสั่งไว้ ดังนั้นกรมควบคุมมลพิษจะต้องยื่นคำร้ององค์คณะคดีเดิมว่า ขณะนี้ปรากฏข้อเท็จจริงใหม่ตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางในการร้องขอพิจารณาคดีคลองด่านใหม่ ที่ศาลสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยคณะอนุญาโตฯ เพื่อให้องค์คณะคดีเดิมวินิจฉัยว่าจะงดการบังคับคดีต่อไปหรือไม่ อย่างไร โดยศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยและสั่งงดการบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ แพ่ง) มาตรา 289 
    นายประวิตรกล่าวว่า ขณะที่การวินิจฉัยนั้นกลุ่มเอกชน คู่ความ ก็สามารถยื่นโต้แย้งสิทธิได้ ซึ่งศาลก็จะนำมาพิจารณาประกอบกันหลังจากนี้ ต้องดูว่าเอกชน คู่ความ จะยื่นอุทธรณ์ผลคำพิพากษาใหม่นี้ต่อศาลปกครองสูงสุด เพราะหากไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษาใหม่นี้ คดีจึงจะถึงว่าที่สุด คือให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอนุญาโตฯ ที่กรมควบคุมมลพิษหน่วยงานรัฐ ไม่ต้องชำระเงินใดๆ ตามคำวินิจฉัยของคณะอนุญาโตฯ
    นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยหลังศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ให้ คพ.ชดใช้ค่าเสียหายโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จ.สมุทรปราการ หรือกรณี "ค่าโง่คลองด่าน" กว่า 9,000 ล้านบาทว่า เวลานี้คดียังถือว่าไม่สิ้นสุด โดยต้องรอดูว่ากลุ่มกิจการร่วมค้า เอ็นวีพีเอสเคจี จะอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางภายใน 30 วันหรือไม่ โดยหากไม่อุทธรณ์  ก็ยังมีคดีอื่นที่ยังค้างคาอยู่อีกหลายคดี และหลายศาล    

   โดยขณะนี้ คพ.จ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายไปแล้ว 2 งวด งวดแรกกว่า 3,000 ล้านบาท งวดที่ 2 กว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งหากคดีถึงที่สุดแล้ว และ คพ.ชนะคดี ก็จะต้องมีการเรียกเงินที่จ่ายไปทั้งหมดกลับคืนสู่รัฐต่อไป.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"