จำคุก!บุญทรง48ปี ‘ลูกชาย’ช็อกฎีกาเพิ่มโทษ/โรงสีโดนหางเลขด้วย


เพิ่มเพื่อน    

  ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์คดีจีทูจียาว 7 ชั่วโมง เพิ่มโทษจำคุก “บุญทรง” อีก 1 กระทงรวม 6 ปี ทำให้ยอดจำคุกจาก 42 ปี พุ่งเป็น 48 ปีเท่าเสี่ยเปี๋ยง กลุ่มโรงสีเจอโทษจากยกฟ้องให้จำคุก-ปรับ 7 ราย แต่รอลงอาญา 3 ปี “เดชนัฐวิทย์” รับช็อกแต่น้อมรับคำพิพากษา เผยพ่อบอกให้เข้มแข็ง รอลุ้นอภัยโทษ

    เมื่อวันศุกร์ที่ 6 กันยายน องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 9 คน ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ ในคดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ ฟ้องนายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว และพวกรวม 28 คน ในคดีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)  
โดยคดีดังกล่าว ศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุกนายบุญทรงและจำเลยร่วมคนอื่นๆ รวม 15 ราย คนละ 4-48 ปี และยกฟ้องกลุ่มเอกชน 8 ราย ต่อมา อสส.ยื่นอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยบางคน และให้ลงโทษกลุ่มบริษัทโรงสีข้าว ขณะที่จำเลยก็ได้ยื่นอุทธรณ์ตามกฎหมายใหม่  
ขณะที่นายนรินทร์ สมนึก ทนายความของนายบุญทรง ได้เดินทางมาถึงศาลตั้งแต่เวลา 09.00 น. เพื่อเตรียมความพร้อม โดยนายนรินทร์ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า ก่อนหน้านี้ 2-3 วันได้พูดคุยกับนายบุญทรงในเรือนจำ ซึ่งได้รับทราบหมายศาลแจ้งกำหนดนัดฟังคำพิพากษาแล้ว ก็มีอาการเครียดอยู่บ้างเล็กน้อย เราก็หวังว่าจะได้รับความเมตตาจากศาล 
สำหรับนายบุญทรงและจำเลยร่วมคนอื่นๆ ที่ ต้องคำพิพากษาตามศาลฎีกาในครั้งแรกนั้น 15 รายศาลได้เบิกตัวมาจากเรือนจำ ซึ่งศาลได้เบิกตัวมาพักอยู่ในห้องควบคุมตัวบริเวณชั้น 1 ของศาลฎีกา โดยนายบุญทรงได้ใส่เฝือกอ่อนที่คอ เนื่องยังป่วยด้วยหมอนรองกระดูกเคลื่อนมารับฟังด้วย ทั้งนี้ นายเดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) บุตรชายนายบุญทรง ก็ได้เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจบิดา 
    ส่วนบรรยากาศบริเวณอาคารศาลฎีกา ได้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและ รปภ.ของศาลกระจายอยู่โดยรอบ และได้นำแผงกั้นมาวางยาวตลอดแนวถนนประมาณ 300-400 เมตรฝั่งคลองหลอดด้านหลัง เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับสื่อมวลชนที่ติดตามมาถ่ายภาพทำข่าว ซึ่งในการฟังคำพิพากษาครั้งนี้ ศาลฎีกาได้กำหนดข้อปฏิบัติสำหรับสื่อมวลชนไว้เข้มงวด โดยไม่อนุญาตให้เข้าไปในบริเวณอาคารศาลและในห้องพิจารณาคดี เช่นเดียวกับกลุ่มทนายความและญาติจำเลย โดยอนุญาตให้เฉพาะคู่ความในคดีและผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น 
    และเมื่อเวลา 12.00 น. องค์คณะได้เริ่มอ่านคำพิพากษา ใช้เวลาทั้งสิ้นกว่า 7 ชั่วโมงจึงอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น โดยคณะวินิจฉัยอุทธรณ์มีคำพิพากษาในสาระสำคัญว่า โครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2554 กำหนดให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการเจรจาการซื้อขายข้าวตามโครงการรับจำนำของรัฐบาลและข้าวในสต๊อกของรัฐบาลกับผู้แทนหน่วยงานของรัฐบาล หรือที่ได้รับมอบหมายให้มีอำนาจเต็มในการซื้อขายจากรัฐบาลของทุกประเทศ แต่ปรากฏว่าสัญญาซื้อขายข้าวทั้ง 4 ฉบับ ระหว่างผู้ร้องที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐผู้เสียหาย กับบริษัท กว่างตงฯ และบริษัท ไห่หนานฯ เกิดจากการกระทำโดยทุจริต จึงไม่เป็นสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐตามมติ ครม.ดังกล่าว จำเลยที่ 1 และ 2 เห็นชอบให้ทำและแก้ไขสัญญาซื้อขายทั้ง 4 ฉบับ ระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับบริษัท กว่างตงฯ และบริษัท ไห่หนานฯ ตามการดำเนินการของจำเลยที่ 4-5 โดยบริษัทดังกล่าวไม่ได้เป็นผู้ชำระเงินค่าข้าวตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ เนื่องจากจำเลยที่ 1-6 กำหนดเงื่อนไขที่มีการเปิดช่องให้ไม่ต้องส่งข้าวตามสัญญาไปสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้งเลือกวิธีการชำระเงินด้วยแคชเชียร์เช็ค ไม่ใช้วิธีการชำระเงินด้วยการเปิด L/C จึงเป็นการตัดการโอนเงินระหว่างประเทศ อีกทั้งบริษัทดังกล่าวมิได้ส่งข้าวไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนแต่อย่างใด เป็นผลให้กลุ่มจำเลยที่ 7-18 จำเลยที่ 20 และ 21 นำข้าวไปเวียนขายให้แก่ผู้ค้าข้าวในประเทศ และรับประโยชน์อันเกิดจากส่วนต่างจากราคาตามสัญญาซื้อขายข้าวทั้ง 4 ฉบับกับราคาตลาดไปเป็นของตนโดยทุจริต 
ข้อเท็จจริงตามที่วินิจฉัยข้างต้น จำเลยดังกล่าวไม่สามารถทำได้เฉพาะลำพังคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นการร่วมกันทุจริตระหว่างนักการเมือง ข้าราชการประจำ และนักธุรกิจ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 22-28 ต่างประกอบกิจการค้าขายข้าวมาก่อน ได้ซื้อข้าวตามสัญญาตามฟ้องในราคาต่ำกว่าท้องตลาดซื้อในปริมาณมาก และมีมูลค่าสูงโดยไม่มีสัญญาซื้อขายหรือเอกสารตามแบบราชการใดๆ หรือแม้แต่หลักฐานการซื้อขายแบบบุคคลทั่วไปตามปกติ ทั้งไม่มีการออกใบเสร็จรับเงินด้วย ต่อมาได้รับใบเบิกข้าวเป็นเอกสารใบส่งสินค้าเเละใบแจ้งหนี้ที่ไม่ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 22-28 เป็นผู้ซื้อในการชำระเงิน จำเลยดังกล่าวซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายกรมการค้าต่างประเทศ และจำเลยที่ 22-26 นำไปชำระค่าข้าวที่เก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าของตนเอง ส่วนจำเลยที่ 26-28 นำไปชำระค่าข้าวที่เก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าที่ผู้ร้องที่ 2 หรือผู้ร้องที่ 3 เช่า เชื่อว่าจำเลยที่ 22-28 ทราบว่ามีการทุจริตร่วมกันอย่างเป็นขบวนการในโครงการรับจำนำข้าว โดยจำเลยที่ 22-28 ควรทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยการไม่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แต่ยังเลือกที่จะเข้าไปเจรจาต่อรองแล้วตกลงซื้อและรับข้าวในโครงการรับจำนำข้าวที่เก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าของผู้ร้องที่ 2 หรือผู้ร้องที่ 3 โดยร่วมกับจำเลยที่ 15 กระทำการดังกล่าว
พฤติการณ์บ่งชี้ว่าจำเลยที่ 22-28 ได้กระทำดังกล่าวมาโดยผ่านกระบวนการคิดไตร่ตรองและตระหนักถึงผลดีผลเสียเป็นอย่างดีแล้ว จึงเลือกที่จะซื้อข้าวในโครงการรับจำนำข้าวโดยผ่านการติดต่อของจำเลยที่ 15 เพียงเพื่อให้ได้ข้าวมาประกอบธุรกิจของตน โดยมิได้คำนึงว่าการกระทำนั้นๆ เป็นการซื้อข้าวที่ได้มาจากการทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และจะส่งผลเสียหายหรือไม่เพียงใด การกระทำของจำเลยที่ 22-28 จึงเป็นความผิดตามฟ้อง อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้นศาลวินิจฉัยในส่วนแพ่งซึ่งผู้ร้องทั้ง 5 อุทธรณ์ว่าผู้ร้องดังกล่าวเป็นผู้เสียหาย และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเพิ่มขึ้น
ศาลเห็นว่า จำเลยที่ร่วมกันทุจริตย่อมก่อให้เกิดความเสียหายผู้ร้องที่ 1 เป็นคู่สัญญา ส่วนผู้ร้องที่ 2-3 มีหน้าที่สำคัญตั้งแต่การรับจำนำข้าวเปลือก แปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร และเก็บรักษาข้าวดังกล่าวมาตั้งแต่ปีการผลิตก่อนผู้ร้องที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ในข้าว สำหรับผู้ร้องที่ 4 ก็มีหน้าที่กำกับการให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์การระบายข้าว และผู้ร้องที่ 5 มีหน้าที่สนับสนุนงบประมาณผู้ร้องทั้ง 5 จึงเป็นผู้เสียหาย เมื่อจำเลยร่วมกันทำสัญญาดังกล่าวโดยทุจริตนำข้าวออกไป สัญญาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ผูกพัน ฝ่ายผู้ร้องทั้ง 5 จึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องทั้ง 5 โดยต้องคืนข้าวซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องทั้ง 5 เสียไปจากการละเมิดแต่คดีนี้ผู้ร้องทั้ง 5 ขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นการชำระค่าเสียหาย ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าการคืนข้าว จึงกำหนดค่าสินไหมทดแทนเป็นการชำระค่าเสียหาย 
ทั้งนี้ การที่ผู้ร้องทั้ง 5 ต้องปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกันเพื่อระบายข้าว ต้องใช้ความรู้ความสามารถร่วมกันเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ จึงเป็นผู้เสียหายร่วมกัน ที่ฝ่ายจำเลยแก้อุทธรณ์ว่าผู้ร้องทั้ง 5 มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนั้น ศาลเห็นว่ากระทรวงและกรมในราชการจัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารราชการแผ่นดินและประโยชน์สาธารณะเป็นนิติบุคคลในทางมหาชน เมื่อมิได้ออกคำสั่งเพื่อกำหนดนโยบายระบายข้าวผิดพลาด จึงไม่ได้เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดดังที่ฝ่ายจำเลยแก้อุทธรณ์ องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า พิพากษาแก้ จำคุกนายบุญทรง จำเลยที่ 2 เพิ่มอีกกระทงหนึ่งเป็นเวลา 6 ปี รวมโทษจำคุกนายบุญทรงจากโทษเดิม 42 ปี เป็นจำคุกทั้งสิ้น 48 ปี และให้ลงโทษจำคุกกลุ่มบริษัทโรงสี ได้แก่ นายปกรณ์ ลีศิริกุล กรรมการบริษัท เค.เอ็ม.ซี. อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด จำเลยที่ 26 และนางประพิศ มานะธัญญา กรรมการบริษัท เจียเม้ง จำกัด จำเลยที่ 28 คนละ 4 ปี พร้อมปรับคนละ 25,000 บาท 
นอกจากนี้ ยังให้ปรับนิติบุคคลซึ่งเป็นโรงสีอีก 4 ราย คือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงสีกิจทวียโสธร จำเลยที่ 22, บริษัท กิจทวียโสธรไรซ์ จำกัด โดยนายทวี อาจสมรรถ กรรมการ จำเลยที่ 24, บริษัท เค.เอ็ม.ซี. อินเตอร์ไรซ์ (2002) จำกัด จำเลยที่ 25 และบริษัท เจียเม้ง จำกัด จำเลยที่ 27 อีกรายละ 25,000 บาท โดยที่การกระทำของนายทวี อาจสมรรถ หุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 23 เป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษ 2 กระทง รวมจำคุกจำเลยที่ 23 จำนวน 8 ปี และปรับ 50,000 บาท โดยที่พฤติการณ์ของกลุ่มโรงสี จำเลยที่ 23, 26, 28 นั้น เห็นสมควรให้รอลงอาญาไว้คนละ 3 ปี และนอกจากนี้ยังให้กลุ่มโรงสีจำเลยที่ 22-23 ชดใช้เงิน 27 ล้านบาทให้กับกระทรวงการคลัง, จำเลยที่ 25-26 รวมกันชำระเงิน 15 ล้านบาท และจำเลยที่ 27-28 ให้ร่วมกันชดใช้เงิน 55 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ได้มีการกำหนดในคำพิพากษานี้ตามที่ อสส.โจทก์ยื่นอุทธรณ์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาเดิม 
โดยตามคำพิพากษาเดิม จำเลยกลุ่มนักการเมือง ข้าราชการ และเอกชนที่สำคัญ อาทิ นายภูมิ จำเลยที่ 1 จำคุก 36 ปี, นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง จำเลยที่ 14 จำคุกสูงสุด 48 ปี, นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 4 จำคุก 40 ปี, นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 5 จำคุก 32 ปี และนายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง อดีต ผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ จำเลยที่ 6 จำคุก 24 ปี
“วันนี้องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ได้ออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุดของจำเลยแต่ละคนตามคำพิพากษาแล้ว พร้อมออกคำบังคับการชดใช้ค่าเสียหายในส่วนแพ่งให้กับกระทรวงการคลังตามคำพิพากษาด้วย”
ผู้สื่อข่าวรายงาน ระหว่างที่ศาลอ่านคำพิพากษา ซึ่งใช้เวลายาวนาน ปรากฏมีจำเลย 2 คนมีอาการคล้ายจะเป็นลม เนื่องจากเลยเวลากินข้าว ทำให้พยาบาลต้องเข้าปฐมพยาบาลเบื้องต้นทันทีจนมีอาการดีขึ้น ขณะที่รถพยาบาลของกรมราชทัณฑ์ 3 คัน และรถเรือนจำได้ออกจากศาลในเวลา 20.00 น.
ด้านนายเดชนัฐวิทย์ กล่าวภายหลังรับทราบคำพิพากษาว่า ค่อนข้างช็อกกับผลคำพิพากษา แต่ก็ต้องน้อมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งการที่เราได้โอกาสที่ 2 ในการพิสูจน์ตัวเอง ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีมากแล้ว ส่วนรายละเอียดของคดี ขอให้ถามจากทนายความจะดีที่สุด ซึ่งในทางกฎหมายถือว่าสิ้นสุดแค่นี้แล้ว ส่วนการขอพระราชทานอภัยโทษก็เป็นขั้นตอนต่อไปที่คณะทำงานจะพิจารณาดำเนินการ
“หลังจากที่ได้ทำการผ่าตัดที่คอไปแล้วสุขภาพดีขึ้น ยังเหลือการผ่าตัดที่หลังเพื่อรักษาอาการชาที่ขาต่อไป แต่ยังเดินได้ปกติ วันนี้ได้เจอพ่อตั้งแต่เช้า ท่านได้ย้ำว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรขอให้เดินหน้าทำหน้าที่ต่อไป ส่วนหลังจากฟังคำพิพากษาแล้ว คุณพ่อก็ย้ำว่าลูกต้องเข้มแข็งนะ” นายเดชนัฐวิทย์กล่าวถึงอาการนายบุญทรง.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"