เที่ยวงาน Wonderfruit เทศกาลดนตรี ศิลปะล้อมรักษ์โลก


เพิ่มเพื่อน    

(สนุกสนานไปกับศิลปินชื่อดังมากมายที่จะเวียนมาสร้างสีสัน)

    ถ้าพูดถึงงานเทศกาลดนตรีใหญ่ๆ ต้อนรับลมหนาวปลายปี งาน Big Mountain เขาใหญ่ มักจะเป็นงานที่คนไทยนึกถึงเป็นที่แรกๆ ด้วยพื้นที่จัดงานมีขนาดใหญ่ และผู้เข้าชมงานก็เยอะด้วย ศิลปินที่มาขึ้นเวทีก็มีทั้งระดับแถวหน้าไปจนถึงศิลปินหน้าใหม่ๆ จนกลายเป็นเทศกาลดนตรีที่ทุกคนเฝ้ารอคอยทุกปี นอกจากงานนี้แล้วก็มีอีกหลายๆ งานเกิดขึ้นตามมา รวมถึง “วันเดอร์ฟรุต (Wonderfruit)” ก็เป็นอีกหนึ่งงานที่น่าสนใจ อาจจะเป็นน้องใหม่เมื่อเทียบกับบิ๊กเมาน์เท่นที่จัดมาแล้ว 9 ครั้ง แต่ความจริงวันเดอร์ฟรุตจัดมาแล้วถึง 5 ครั้ง ค่อนข้างโด่งดังมากๆ สำหรับชาวต่างชาติ เพราะถือเป็นงานระดับอินเตอร์เลยล่ะ ซึ่งล่าสุดวันเดอร์ฟรุตก็ประกาศว่ากำลังจะกลับมาอีกครั้งปลายปีนี้ ระหว่างวันที่ 12-16 ธันวาคม ที่เดอะฟิลด์ แอด สยามคันทรีคลับ พัทยา จ.ชลบุรี

(พื้นที่พักผ่อนชิลๆ ก็มี)

    ก่อนอื่นต้องเล่าก่อนว่า วันเดอร์ฟรุตเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองศิลปะ ดนตรี และชีวิต เขาบอกมาว่างั้น ที่บอกว่ามีสเกลระดับอินเตอร์ก็เพราะว่าศิลปินที่มาโชว์ส่วนใหญ่เป็นศิลปินต่างชาติ ทำให้คนที่มางานนี้ล้วนแต่เป็นชาวต่างชาติซะส่วนใหญ่ จะมีคนไทยก็สักประมาณ 40-50% ลักษณะของงาน หลายคนที่เคยไปมาแล้วจะบอกว่าคล้ายๆ กับงาน Coachella เทศกาลดนตรีที่แคลิฟอร์เนีย แล้วก็มีกลิ่นอายของเทศกาล Woodstock ของนิวยอร์ก ในแง่ของความฮิปปี้หน่อยๆ ที่มาในธีมรักษ์โลก ผู้ชาย ผู้หญิงก็จะแต่งตัวจัดเต็ม ทั้งแนวโบฮีเมียน แนวอินเดียน แนวยิปซี ขนนก หมวก ที่คาดหัว รองเท้าบูตส้นสูง ฯลฯ มาหมด

(ภาพบรรยากาศบริเวณจัดงานด้วยพื้นที่ 500 ไร่)

    สำหรับวันเดอร์ฟรุต 2019 ที่กำลังจะมาถึงถือเป็นครั้งที่ 6 แล้ว ปีนี้มาภายใต้คอนเซ็ปต์ “ป๊อปอัพซิตี้” กับแนวคิดเรื่องการสร้างสรรค์เมืองในอุดมคติตามวิถีความยั่งยืน ด้วยการรังสรรค์เมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พูดมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะงงๆ หน่อย ให้ลองนึกภาพตามคือ งานนี้จัดขึ้นที่เดอะฟิลด์ แอด สยามคันทรีคลับ พัทยา โดยใช้พื้นที่เกือบ 500 ไร่ จำลองเป็นเมืองสำหรับงานวันเดอร์ฟรุตโดยเฉพาะ โดยเมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่สร้างขึ้นแบบอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผสานความเป็นศิลปะ อย่างเช่น ภายในงานมีสิ่งก่อสร้างพวกโดม ซุ้ม สะพาน สิ่งตกแต่ง ซึ่งสร้างด้วยวัสดุที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ ทำจากไม้บ้าง เอาของเหลือใช้อย่างเชือก เศษผ้า กองฟาง แห แก้วพลาสติกที่ใช้แล้ว ร่มเชียงใหม่ที่ไม่ใช้แล้ว หรือจะเป็นเสื่อเก่าๆ เป็นต้น เอามาครีเอตให้เป็นสถานที่ผ่อนคลาย และตกแต่งเป็นมุมถ่ายรูปสวยๆ

(คุณพีท ประณิธาน พรประภา ผู้ก่อตั้งวันเดอร์ฟรุต)

    “หลายคนรู้จักว่ามันคือเทศกาลดนตรี ซึ่งไม่ผิด แต่จริงๆ สิ่งที่เราอยากนำเสนอมันมากกว่าดนตรี ก็คือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในวันเดอร์ฟรุต ดนตรีเป็นเพียงแค่ตัวเสริมเท่านั้น” คุณพีท ประณิธาน พรประภา ผู้ก่อตั้งวันเดอร์ฟรุต เกริ่นสั้นๆ ถึงรายละเอียดงาน

(สิ่งก่อสร้างที่รังสรรค์ขึ้นในงาน ผู้ชมสามารถปีนป่ายเล่นได้)

     ก่อนจะเริ่มเล่าต่อว่า วันเดอร์ฟรุตเป็นการต่อยอดมาจากโครงการ Think Earth หรือคืนชีวิตคิดห่วงฝนในผืนโลก ของกลุ่มสยามกลการ ที่ปลูกสร้างจิตสำนึกเยาวชนไทยให้เกิดความหวงแหน ร่วมกันดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เราจึงได้จำลองเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมขึ้นมา เป็นเมืองที่เชื่อมโยงผู้คนให้มาร่วมแสดงพลังในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ที่จะส่งผลต่อสังคมและโลกร่วมกัน สิ่งที่จะได้เห็นภายในเมืองที่เราจำลองขึ้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน คุณจะได้เห็นการก่อสร้างภายในเมืองว่า มีการใช้วัสดุอย่างไร มีการจัดการน้ำอย่างไร รักษาสิ่งแวดล้อมอย่างไร ผ่านกิจกรรมต่างๆ

(โยคะ เป็นหนึ่งในกิจกรรมเพื่อสุขภาพที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด)

    ซึ่งกิจกรรมภายในงาน ช่วงกลางวันจะมีกิจกรรมตามซุ้ม แต่ละซุ้มจะมีการทำเวิร์กช็อปแนวศิลปะ แฮนด์เมดบ้าง กิจกรรมเกี่ยวกับสุขภาพ ชีวิตบ้าง และการรักษาในรูปแบบต่างๆ เช่น การฝึกโยคะ การฟื้นฟูร่างกายและจิตใจด้วยเสียง (sound bath) พิธีกรรมแบบชาแมน (shamanic ceremony) กิจกรรมที่อยู่กับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น มีทั้งฟรีและเสียเงิน 

(แดดร่มลมตกก็มาสนุกไปกับเสียงเพลง)

    แล้วก็มีมุมผ่อนคลายหลายมุม ตกค่ำมาจะครึกครื้นไปด้วยเสียงดนตรี มีหลายเวที แต่ละเวที จากที่ดูรูปภาพของปีก่อนๆ บอกเลยว่าครีเอตมาก อย่างเวทีที่คุณพีทบอกว่าชื่อ Solar Stage เป็นเวทีไม้ที่สร้างสรรค์โดยศิลปินต่างชาติ นอกจากจะสวยงามแล้วยังใช้งานได้ดี มีเวทีใหญ่อยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยแท่นไม้ทรงโค้งอีกสี่อัน ทั้งหมดสามารถปีนป่ายขึ้นไปได้ตามความสามารถ แล้วก็เป็นเวทีไฮไลต์เพราะอยู่เกือบใจกลางงานด้านหน้า จะมีดีเจมาเปิดแผ่นปาร์ตี้สองช่วง คือ ช่วงเย็นกับช่วงเช้า ต้อนรับพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตกดิน เป็นจุดชมพระอาทิตย์ที่สวยที่สุดของงาน แสงอาทิตย์จะส่องลอดโครงของเวที บรรยากาศโรแมนติกและสนุกสนานครึกครึ้นมากๆ เลือกได้ว่าจะขึ้นไปชมวิวด้านบน หรือยืนเต้นอยู่รอบๆ เวที ส่วนไลน์อัพศิลปินที่มาก็มีจากต่างประเทศ อย่างแว่วๆ ได้ยินว่ามีศิลปินค่าย Erased Tapes มาด้วย แล้วก็ Acid Pauli Arp Frique & Family, Daddy G จากวง Massive Attack, Floating Points, Gidge ฯลฯ ใครที่คอเพลงสากลน่าจะรู้จัก นอกจากนี้ก็จะมีการแสดงจากศิลปินไทยอีกหลากหลาย หมอลำก็ยังมี

(พื้นที่รับประทานอาหาร)

    ถึงเวทีหลักจะดูคึกคัก แต่ขณะเดียวกันห่างไปไม่ไกล จุดอื่นๆ ก็จะมีพื้นที่ให้พักผ่อนแบบเงียบๆ ด้วยพื้นที่กว้างขวางของงาน จึงเลือกได้ว่าจะใช้เวลาในจุดไหน แบบไหน เบื่อเสียงเพลงก็เดินออกมา อยากสนุกก็เดินเข้าไป และเวลาการแสดงของเวทีที่เหลื่อมกัน รวมถึงระยะห่างที่พอดีก็ทำให้ไม่มีเหตุการณ์แต่ละเวทีส่งเสียงเพลงตีกัน แต่ได้ยินมาว่าตกเย็นจะปิดไฟทั้งหมด เป็นกลยุทธ์ให้คนมารวมตัวกันในจุดจุดเดียว จะไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่ถ้าอยากใช้ไฟฟ้าสำหรับชาร์จแบตมือถือก็จะมีโซนบริการชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ตรงนี้ฟรีเหมือนกัน แต่มีเวลาเปิด-ปิด

(เที่ยวงานต้องใช้แก้วใบเดียวสำหรับเติมน้ำดื่มแบบรีฟิล)

    ในส่วนของคนที่มางาน หากจองโรงแรมใกล้ๆ บริเวณงานไม่ทัน แอบได้ยินมาว่าโรงแรมมักจะเต็มตลอด สัก 1-2 สัปดาห์ก่อนงานเริ่มก็จะเต็มแล้ว ภายในบริเวณงานก็มีส่วนของที่พัก เต็นท์แบบบูติกขนาดใหญ่และขนาดกลางให้ แล้วก็มีจุดกางเต็นท์ฟรีของงานที่ใครมาถึงก่อนก็ได้พื้นที่ไปเลย ไม่มีการจองก่อน

(ชิมอาหารหลากหลายเมนู)

    ผู้ก่อตั้งวันเดอร์ฟรุตบอกอีกว่า นอกจากความบันเทิงที่จะได้แล้ว ยังให้ความสำคัญกับวิถีความยั่งยืนอย่างจริงจัง เช่น ไม่อนุญาตให้ใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งภายในบริเวณงาน พวกน้ำดื่มน้ำชาภายในงานทั้งหมดมาจากบึงธรรมชาติ และมีนโยบายใช้แก้วแบบรีฟิลเพื่อเติมน้ำ ถ้านำแก้วไปเองจะดีมาก ภาชนะและอุปกรณ์รับประทานอาหารที่ใช้ภายในงานผลิตจากวัสดุธรรมชาติที่สามารถย่อยสลายได้ 100% ลองนึกดูว่าวัสดุธรรมชาติที่ใช้ใส่อาหารได้มีอะไรล่ะ ก็ใบไม้ใบหญ้า ไม้ต่างๆ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติหมด ไม่เว้นแม้แต่ป้าย ทั้งหมดภายในงานยังสร้างขึ้นจากวัสดุเม็ดพลาสติกรีไซเคิล งานนี้พยายามทำให้เกิดขยะน้อยที่สุด แต่ถ้ามีขยะ ทั้งหมดก็จะถูกนำมาคัดแยกประเภทเพื่อวัตถุประสงค์ในการรีไซเคิล โดยแยกเป็นขยะทั่วไป โลหะ ขวดแก้ว กล่องน้ำดื่มเต็ดตรา แพ้ค และภาชนะใส่อาหาร จากนั้นขยะเหล่านี้จะถูกลำเลียงไปที่บริเวณจัดการขยะมูลฝอยที่อยู่ภายในงาน ภาชนะใส่อาหารจะถูกกำจัดด้วยวิธีฝังกลบซึ่งสามารถย่อยสลายได้ 100% ภายใน 180 วัน ส่วนกล่องน้ำดื่มเต็ดตรา แพ้ค จะนำไปผลิตเป็นกระเบื้องมุงหลังคาและแผ่นกระดาษรีไซเคิลสำหรับใช้ประโยชน์ในชุมชนท้องถิ่น ส่วนเศษอาหารเหลือจากการบริโภคถูกนำไปทำปุ๋ยหมัก ซึ่งในปีก่อนสามารถผลิตปุ๋ยหมักได้จำนวน 1,388 กก.เลยล่ะ การันตีเรื่องสิ่งแวดล้อม โดย อบก.รับรอง Carbon Neultral ให้เมื่อปี 2560

(การปลูกต้นไม้ก็เป็นอีกกิจกรรมที่เกิดขึ้นในวันเดอร์ฟรุตปีที่ผ่านมา)

    “วันเดอร์ฟรุตมาในธีมรักษ์โลก ก็มุ่งหวังที่จะสร้างจิตสำนึกให้กับคน แต่การปลูกจิตสำนึกในผู้ใหญ่มันยาก จะง่ายกับเด็กมากกว่า จุดมุ่งหมายก็เพื่อเป็นตัวอย่างของงานอีเวนต์โดยที่ทำลายสิ่งแวดล้อมให้น้อยสุด ในแง่ความบันเทิงเราก็พยายามดึงศิลปินที่หลากหลายมาโชว์ และเชื่อว่าทุกคนจะได้เห็นอะไรในงานนี้มากกว่าการเป็นงานเทศกาลดนตรีแน่นอน” ผู้ก่อตั้งกล่าว 
    ใครสนใจอยากไปเยี่ยมชมเมือง Wonderfruit 2019 จะจัดขึ้นในวันที่ 12-16 ธันวาคม ณ เดอะฟิลด์ แอท สยามคันทรีคลับ พัทยา บัตรเฟสแรกจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 5,900 บาท สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน ราคาบัตร และที่พักประเภทต่างๆ พร้อมทั้งเช็กรายชื่อศิลปินที่ชอบได้ที่เว็บไซต์วันเดอร์ฟรุตเลยจ้า www.wonderfruit.co


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"