ชิมช้อปใช้3วันแรก294ล. พท.โวยเข้ากระเป๋าเจ้าสัว


เพิ่มเพื่อน    

 "ชิมช้อปใช้" 3 วันแรกไม่คึก! แค่ 294 ล้านบาท ใช้สิทธิ์ 3.7 แสนราย คลังยันแอปเป๋าตัง-ระบบไม่ล่ม ชี้ร้านค้าบริหารจัดการไม่ดีเอง โลตัสเผย 20 สาขาให้บริการตามปกติแล้ว "หญิงหน่อย" ซัดแจกเงินคนจนเข้ากระเป๋าเจ้าสัว พท.รอสับ "บิ๊กตู่" เวทีอภิปรายงบฯ 

    เมื่อวันที่ 30 กันยายน นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวสรุปมาตรการชิมช้อปใช้ช่วงแรกว่า ภาพรวมการดำเนินงานโครงการเป็นไปอย่างน่าพอใจ โดยกระทรวงการคลังได้ส่งเอสเอ็มเอสยืนยันสิทธิให้แก่ผู้ที่ลงทะเบียนช่วง 4 วันแรก วันที่ 23-26 ก.ย.2562 แล้ว 3.11 ล้านคน จากผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 4 ล้านคน โดยมีผู้ไม่ผ่านการตรวจสอบ 8.9 แสนราย ส่วนยอดการยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชันมีแล้ว 2.5 ล้านคน ในจำนวนนี้ทำเสร็จสมบูรณ์ 1.9 ล้านคน รัฐโอนเงินให้แล้ว 1.9 พันล้านบาท ส่วนอีก 6 แสนรายทำยืนยันไปแล้ว แต่อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูล
    “ยอมรับว่าการยืนยันตัวตนอาจจะเข้มงวดไปบ้าง แต่เพื่อแลกกับปลอดภัย และป้องกันไม่ให้เกิดการสวมสิทธิ์จึงต้องทำ ซึ่งที่ผ่านมาคนที่มีปัญหายืนยันตัวตนในแอปฯ ไม่ผ่าน โดยหน้าไม่ตรงบัตรประชาชนมีประมาณ 1 แสนราย ดังนั้นต่อไปหากใครสแกนใบหน้า 3 ครั้งแล้วยังไม่สามารถใช้งานได้ ขอให้ไปยืนยันตัวตนที่สาขาของธนาคารกรุงไทย” นายลวรณระบุ
    สำหรับยอดการใช้จ่าย 3 วันแรก ตั้งแต่วันที่ 27-29 ก.ย.2562  มีผู้ใช้จ่ายเงินแล้ว 3.7 แสนราย รวมเป็นวงเงินกว่า 300 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้จ่ายเงิน 1,000 บาท 294 ล้านบาท ส่วนใหญ่ 50% เป็นการใช้จ่ายร้านประเภทช้อป กลุ่มร้านโอท็อป ร้านวิสาหกิจชุมชน ร้านธงฟ้าประชารัฐ 148 ล้านบาท ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์ที่รัฐที่ช่วยเหลือผู้ค้ารายย่อย รองลงมาเป็นร้านประเภทชิม ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม  60 ล้านบาท ร้านประเภทใช้ เช่น โรงแรม โฮมสเตย์ 7 ล้านบาท ส่วนร้านค้าทั่วไป เช่น โมเดิร์นเทรด ห้างสรรพสินค้า 79 ล้านบาท ขณะที่การใช้สิทธิแคชแบ็กรับเงินคืน 15% มีการใช้เงินไปประมาณ 5 ล้านบาท 
    นายลวรณกล่าวว่า การลงทะเบียนรับสิทธิชิมช้อปใช้ช่วง 8 วันแรก มีผู้ลงเต็มตามโควตา 1 ล้านรายทุกวัน โดยล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 30 ก.ย.2562 มีการลงทะเบียนครบ 1 ล้านคน ในเวลา 03.06 น.  จากนั้นระบบใช้เวลาตรวจสอบ 3 วันทำการ และส่งเอสเอ็มเอสแจ้งยืนยันเพื่อนำไปใช้สิทธิยืนยันตัวตนในแอปพลิเคชันเป๋าตัง และเริ่มใช้เงินได้ในวันถัดไป ซึ่งการใช้จะต้องเปิดแชร์สถานที่หรือโลเกชันด้วยทุกครั้ง เพื่อยืนยันว่ามีการไปใช้สิทธิ์ในจังหวัดที่เลือกจริง 
    ในส่วนของการตรวจสอบร้านค้าที่ไม่ทำตามวัตถุประสงค์ และถูกตัดสิทธิ์ออกจากชิมช้อปใช้ไปแล้ว 350 แห่ง ส่วนใหญ่มีทั้งการจำหน่ายลอตเตอรี่ สุรา แอลกอฮอล์ รวมถึงบางรายมีการโฆษณาตั้งโต๊ะรับแลกเงินสด ส่วนกรณีร้านค้าปลีกสมัยใหม่บางรายมีปัญหาไม่สามารถรับจ่ายเงินจากประชาชนได้ ขอยืนยันว่าปัญหานี้ไม่ได้ขัดข้องจากแอปพลิเคชันเป๋าตัง และระบบของรัฐบาลไม่ได้ล่ม แต่สาเหตุเกิดจากการบริหารจัดการของผู้ประกอบการเอง
    “เดิมทีกระทรวงการคลังตั้งใจเปิดให้เฉพาะร้านค้ารายย่อยเข้าร่วมชิมช้อปใช้ได้เท่านั้น แต่เห็นว่าเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนซื้อ จึงให้ร้านโมเดิร์นเทรด ห้างสรรพสินค้าเข้ามาได้ ซึ่งมีประมาณ 50 แห่ง แต่มีเงื่อนไขให้ใช้ 1 ทะเบียนการค้า เลือกได้ 1 จังหวัด และได้ช่องชำระเงินเพียง 20 ช่อง ดังนั้นถ้าร้านโมเดิร์นเทรดเลือกเปิด 20 สาขา ก็แสดงจะรับชำระเงินได้แค่สาขาละช่องเท่านั้น หากคนมาเยอะไม่พอก็มาจากการบริหารของผู้ประกอบการเอง ซึ่งห้างขนาดใหญ่แห่งอื่น ก็เลือกจะลดสาขาไม่เปิดเต็มทั้ง 20 แห่ง เพื่อต้องการให้มีจุดรับชำระเงินในแต่ละสาขาเพิ่มขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน” ผู้อำนวยการ สศค.ระบุ
    ทั้งนี้ ร้านค้าที่เข้าร่วมชิมช้อปใช้ จะรับชำระเงินด้วยแอปพลิเคชันถุงเงิน ช่อง 1 วงเงิน 1,000 บาท จากรัฐบาล จะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีของร้านค้าไม่เกินเวลา 21.00 น. ของวันทำการถัดไป ส่วนช่อง 2 รับแคชแบ็ก 15% ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ประชาชนเติมเอง จะได้รับเงินโอนเข้าบัญชีของร้านค้าในวันถัดไปไม่เกินเวลา 06.30 น. ของทุกวัน แต่สำหรับยอดใช้จ่ายช่วงวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์  จะต้องรอโอนเงินเข้าพร้อมกันในวันจันทร์ เพราะตรงกับวันหยุดทำการ
    ส่วนกรณีที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มีแผนจะดำเนินมาตรการชิมช้อปใช้ระยะสองนั้น ขณะนี้ได้ทราบข่าวจากสื่อ แต่จะต้องรอรับฟังนโยบายทางการอีกครั้ง ซึ่ง สศค.กำลังติดตามการดำเนินการชิมช้อปใช้อยู่ และจะมีการสรุปผลการดำเนินงานเพื่อรายงานให้รัฐบาลรับทราบต่อไป
ยันระบบชิมช้อปใช้ไม่ล่ม
    นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการชิมช้อปใช้ขณะนี้มีจำนวน 76,961 ร้านค้า โดยยังคงตั้งจุดรับสมัครต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 15 ต.ค.นี้ คาดว่าหลังจากปิดรับสมัครจะมีร้านค้าเข้าร่วมมาตรการไม่น้อยกว่า 80,000 ร้านค้า ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกอบการร้านค้ามั่นใจได้ว่าได้รับเงินจากการใช้สิทธิของประชาชนที่เข้าร่วมมาตรการชิมช้อปใช้อย่างแน่นอน ขณะที่กรมบัญชีกลางและธนาคารกรุงไทยได้ดำเนินการตรวจสอบการดำเนินการของร้านค้าทุกร้านที่เข้าร่วมมาตรการด้วย หากพบว่ามีพฤติกรรมหรือการกระทำที่ผิดวัตถุประสงค์หรือส่อไปในลักษณะการทำผิดเงื่อนไขของมาตรการ จะดำเนินการระงับการจ่ายเงินไว้ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงเรียบร้อย
    ทางด้านธนาคารกรุงไทย ได้ออกหนังสือชี้แจงถึงกรณีที่มีการแชร์ข่าวในโซเชียลมีเดียว่าระบบชิมช้อปใช้ล่ม ทำให้ประชาชนทิ้งรถเข็นที่มีสินค้าในห้างเทสโก้โลตัสหลักสี่ เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2562 นั้น ธนาคารขอยืนยันว่าเมื่อวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา แอปพลิเคชันชิมช้อปใช้ ทั้งเป๋าตังและถุงเงิน ไม่ได้ล่มตามที่ปรากฏเป็นข่าว แต่ปัญหาที่เกิดความไม่สะดวกในห้างดังกล่าว เป็นเพราะการบริหารจัดการของห้างเอง ซึ่งห้างเทสโก้โลตัสได้ลงทะเบียนที่กรุงเทพฯ และให้สาขาจำนวนมากถึง 20 สาขาใช้ ทำให้ห้างเทสโก้โลตัสแต่ละสาขามีจุดรับชำระเงินเพียง 1 จุด ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในบางสาขา อย่างไรก็ตาม หากลดจำนวนสาขาลง และเพิ่มจุดรับชำระต่อ 1 สาขาให้มากขึ้น เช่นเดียวกับห้างอื่นๆ จะสามารถบริการลูกค้าได้ดีมากกว่า โดยไม่ได้ฉกฉวยประโยชน์ แต่คำนึงถึงความสะดวกสบายของประชาชนเป็นที่ตั้ง
    ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวได้ทำการสอบถามไปยังเทสโก้โลตัส ซึ่งได้รับคำยืนยันจากโลตัสว่าขณะนี้ระบบสามารถใช้ได้ตามปกติที่สาขาที่ร่วมรายการทั้ง 20 สาขาแล้ว
    ขณะที่ นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการปรับลดคาดการณ์จีดีพีปี 2562 ลงเหลือ 2.8% จากคาดการณ์เดิมที่ 3.3% ว่าเป็นผลมาจากปัญหาสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการค้าโลกให้ชะลอตัวลง ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศไทยอย่างรุนแรง จากเดิมคาดว่าปัญหาสงครามการค้าจะคลี่คลายได้ในช่วงปลายปีนี้ แต่จากข้อมูลล่าสุดพบว่าปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มยืดเยื้อออกไป และทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพ โดยยืนยันว่าการปรับลดคาดการณ์จีดีพีปีนี้ลง ไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะวิกฤติ
     โดยการประมาณการเศรษฐกิจล่าสุดของ ธปท. ได้มีการนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมาพิจารณาเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ ซึ่ง ธปท. ไม่ได้มีการปรับลดคาดการณ์การบริโภคภาคเอกชนลงจากเดิม เพราะเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายดังกล่าว จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้จริง แต่ยังต้องใช้เวลาในการประเมินว่าจะมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน 
    นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การขยายตัวเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีจะวัดจากอุปสงค์ในประเทศเป็นหลัก ซึ่งแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังจะแย่กว่าครึ่งปีแรก โดย ธปท. อยู่ระหว่างรอลุ้นมาตรการจากผลของมาตรการชิมช้อปใช้ แต่ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 3 จะขยายตัวได้สูงกว่าไตรมาส 2 ที่ขยายตัวได้ 2.3% ซึ่งเป็นการขยายตัวจุดต่ำสุดแล้ว แต่จะได้มากแค่ไหน ก็อยู่ที่ผลของมาตรการ รวมทั้งการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดี 
โวยเข้ากระเป๋าเจ้าสัว
    ที่พรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงโครงการชิมช้อปใช้ของรัฐบาลว่า หากเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือหมุนเวียนให้กับเศรษฐกิจฐานรากได้ก็เป็นเรื่องดี แต่จากการติดตามข่าวและจากการลงพื้นที่สำเพ็งและเยาวราช พบว่าร้านค้ารายย่อยไม่มีโอกาสที่จะได้รับผลดีจากมาตรการนี้ เท่าที่เห็นเงินกลับไปที่ร้านสะดวกซื้อของเจ้าสัว ก็กลับไปที่อีหรอบเดิม คือแจกเงินคนจนไปเข้ากระเป๋าคนรวย ดังนั้นขอให้รัฐบาลทบทวนและหามาตรการที่ชาญฉลาด ที่เมื่อแจกเงินไปถึงมือคนจนแล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเกิดกำลังซื้อได้จริง และกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
     “เราติเพื่อก่อ และคิดว่ารัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี น่าจะรู้มากกว่าเราด้วยซ้ำว่ามาตรการนี้ไม่ก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแน่นอน รัฐบาลควรปรับปรุงแก้ไข และฝ่ายค้านจะทำหน้าที่เสนอแนะข้อมูลและข้อเท็จจริงที่เราได้ไปสัมผัสเพื่อให้รัฐบาลไปแก้ไข จริงๆ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์สามารถเสิร์ชกูเกิลดูเอาก็ได้” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
         นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนเป็นจำนวนมากตลอดสัปดาห์ถึงโครงการชิมช้อปใช้ ว่ามีปัญหาอย่างมาก ทั้งแนวคิด วิธีทำและผลที่จะได้รับ นอกจากความไม่พร้อมและเร่งรีบในการใช้เงินภาษีของประชาชนที่ไปล้วงเอามาจากงบกลาง แสดงให้เห็นถึงแนวคิดเชิงนโยบายที่ไม่มีวิชันของรัฐบาล เพราะโดยทั่วไปแล้วจะต้องบรรจุอยู่ในงบประมาณปกติ โครงการนี้เป็นโครงการเลือกปฏิบัติต่อประชาชนอย่างน่ารังเกียจ เพราะประชาชนกว่า 40 ล้านคนไม่มีโอกาสเข้าถึงระบบดังกล่าว ทั้งนี้ ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ฝ่ายค้านจะชำแหละถึงแนวคิดของรัฐบาลในการใช้เงินภาษีของประชาชนที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะทำให้เศรษฐกิจดีได้อย่างไร แถมยังได้กลิ่นตุๆ ว่ามีคนได้รับผลประโยชน์ไม่กี่กลุ่ม ซึ่งนโยบายเรื่องนี้ถือว่า คนคิดฉลาดที่จะได้รับผลประโยชน์ แต่คนซวยก็คือประชาชนและคนทั้งประเทศที่ต้องเสียภาษีไปกับเรื่องนี้ ที่เรียกได้เลยว่าเป็นมหกรรมการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
    นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวตอบโต้คุณหญิงสุดารัตน์ว่า ขณะนี้โครงการดังกล่าวได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างมาก และประชาชนได้ประโยชน์จริงๆ ซึ่งอยากจะฝากถึงคุณหญิงสุดารัตน์ว่ารัฐบาลนี้ไม่ทำอะไรเพื่อนายทุนเหมือนรัฐบาลในอดีตแน่นอน อยากให้เปิดใจให้กว้าง เสนอแนะรัฐบาลอย่างเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่ค้านลูกเดียว.
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"